1. พ่อทางกาย(Lokik Pita)
2. พ่อสูงส่ง (Dharam Pita)
3. พระเจ้าผู้เป็นพ่อ (Param Pita)
ขณะที่พ่อสูงส่งได้ลงมายังโลกที่มีตัวตนตามบทบาทของพวกเขาในละครโลก ดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่นับถือ ศาสนาเหล่านั้นก็เริ่มตามพวกเขาลงมายังโลกนี้จากพารามธรรม ดังนั้นในหนทางนี้ผู้ก่อตั้งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะนำดวงวิญญาณเหล่านี้ลงมาบนโลกจากพารามธรรมภาระกิจของการนำดวงวิญญาณทั้งหมดกลับไปจาก โลกที่มีตัวตน (สนามของการกระทำ, Karam Kshetra) ไปยัง โลกที่ปราศจากร่าง (Paramdham) จะกระทำโดยพระเจ้าชีว่าตอนสิ้นกัลป
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าชีว่าเพียงเท่านั้นที่เป็นผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมด พ่อที่สูงส่งก็ทำงานในบทบาทของการบำรุงรักษาศาสนาของพวกเขาด้วยการกลับมาเกิดอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังไม่ได้กลับไปยังพารามธรรม ต้องรอจนกว่าละครโลกจะจบสิ้น ดวงวิญญาณที่นับถือศาสนาเหล่านี้ก็กลับมาเกิดในศาสนาของตนและดวงวิญญาณก็ลงมาเกิดเพิ่มบนโลกนี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือเหตุผลหลักว่าทำไมจำนวนของสาวกของทุก ๆ ศาสนาได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ก่อตั้งศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อการขยายศาสนาในโลกนี้ ขณะที่พระเจ้าชีว่าทำให้ศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้นจบสิ้นลงและมาสถาปนาศาสนาเทพดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งซึ่งเกิดเป็นลำต้นของต้นกัลป พ่อที่สูงส่งทุก ๆ คนได้ให้คำสอนของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้า ความหลากหลายในคำสอนของพวกเขามีมากมาย
ในทุกวันนี้ ในแต่ละศาสนาก็มีปรัชญาและรายละเอียดที่แตกต่างกันของพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้นำสารของพระเจ้า ถ้าเป็นผู้ที่นำสารจริงการสอนและข่าวสารของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้าจะต้องเหมือนกัน ดังนั้นพระเจ้าชีว่าจึงได้ลงมาบนโลกด้วยตัวท่านเอง เพื่อ เปิดเผยความรู้ของพรเจ้าที่เท้จริง
ผู้นำศาสนาต่างทำให้การเสื่อมถอยช้าลง
ดวงวิญญาณผู้ก่อตั้งศาสนาทั้งหมดของศาสนาต่าง ๆ ลงมายังโลกใบนี้ระหว่างยุคทองแดงและยุคเหล็ก ซึ่งหมายความว่าเป็นครึ่งหลังของกัลปเมื่อโลกอยู่ในสภาพที่เก่า บทบาทของพวกเขาก็เปรียบได้กับผู้ที่ซ่อมแซมบ้านที่ทรุดโทรมผุพัง บ้านในที่นี้คือโลก ผลจากความเพียรพยายามของพวกเขาทำให้ความเร็วของความเสื่อมโทรมผุพังช้าลงแต่การเสื่อมทรามก็ยังคงดำเนินต่อไป และเมื่อเวลาสุดท้ายมาถึงก็จะไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับอยู่อาศัยได้อีกต่อไป นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาเพื่อก่อตั้งโลกใหม่ และทำลายโลกเก่า
พระเจ้าชีว่าเท่านั้นที่สามารถขจัดความไม่รู้
ระยะเวลาระหว่างที่ผู้นำศาสนาต่าง ๆ ได้ลงมายังโลก โลกถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา คำว่า กลางคืน ในที่นี้หมายถึงดวงวิญญาณอยู่ในความมืดหรือความไม่รู้นั่นเอง ระหว่างหลางคืนที่มืดมิดมนุษย์ใช้แสงที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อจัดการงานของพวกเขา เช่นกัน ระหว่างช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณอยู่ในความมืด พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากการชี้แนะที่มนุษย์ได้ให้ไว้คือคำสอนของผู้นำศาสนาที่เป็นมนุษย์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงทางศีลธรรมและจริยธรรม เหมือนกับแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นในรูปต่าง ๆ มีตั้งแต่ตะเกียงธรรมดาไปจนถึงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างทรงพลัง
ดังนั้นความรู้ทางดวงวิญญาณที่หาได้จากความคิดธรรมดาของนักบุญธรรมดา เปรียบดั่งเช่น แสงที่มนุษย์สร้างขึ้นที่มีพลังมากที่สุดก็ยังริบหรี่เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงและอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ เช่นกัน ปรัชญาของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ที่เปิดเผยโดยพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์พ่อชีว่าผู้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ญาณสุริยา" (Gyan Suriya) พระอาทิตย์แห่งความรู้
นัยสำคัญของ "ชีว่า ราตรี" (Shiva Ratri)
เหมือนอย่างเช่นแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะมากเท่าไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลางคืนไปเป็นกลางวันได้ ซึ่งรุ่งอรุณนั้นจะมีได้เพียงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เช่นกันความมืดของความไม่รู้จะหายไปเพียงเมื่อพระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาบนโลก ในอินเดีย ประเพณี ชีว่า ราตรี ได้มีการเฉลิมฉลองทุกปีเพื่อเป็นการระลึกถึงการอวตารลงมาอันสูงส่งของพระเจ้า ชีว่า แล้วกลางคืนของบราห์มาก็จบสิ้นลงเมื่อนั้น ยุคทองและยุคเงินซึ่งถูกเรียกว่ากลางวันของบราห์มาก็จะมาแทนที่ ซึ่งในระหว่างเวลากลางวันนั้นแสงที่สร้างขึ้นก็ไม่มีความจำเป็น เช่นเดียวกันจึงไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนาซึ่งเป็นพ่อที่สูงส่งในยุคทองและยุคเงินเพราะว่าไม่มีความจำเป็น
ชีว่า-ราตรี การอวตารที่สูงส่งของพระเจ้า
เทศกาล ชีว่า-ราตรี นั้นมีการเฉลิมฉลองทุก ๆ ปี เพื่อรำลึกถึงการลงมาของชีว่า ณ เวลาที่มืดสนิทหรือขาดความรู้มากที่สุด (ที่แสดงให้เห็นโดยราตรีหรือกลางคืน) เพื่อปลดปล่อยโลกจากบ่วงพันธะของมายาหรือกิเลสทั้ง 5 กล่าวคือ ตัณหา ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยืดติด และความหยิ่งทะนงตน
No comments:
Post a Comment