Showing posts with label กฏแห่งกรรม. Show all posts
Showing posts with label กฏแห่งกรรม. Show all posts

Thursday, June 20, 2013

ไฟของโยคะ


เมื่อดวงวิญญาณมีประสบการณ์การเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณสูงสุด ก็ได้รับแรงบันดาลใจให้แบ่งปันสิ่งที่ได้รับมาจากดวงวิญญาณสูงสุดกับผู้อื่น ดังนั้นรูปแบบของการกระทำก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไฟของโยคะก็จะลบล้างบาปในอดีต และเปลี่ยนสันสการ์ของเราอย่างแท้จริง และพลังจากดวงวิญญาณสูงสุดก็ให้กำลังต่อเราที่จะแสดงการกระทำที่บริสุทธิ์ เพื่อที่จะได้สะสมทุนไว้สำหรับอนาคต

ทุก ๆ เมล็ดของการกระทำที่หว่านลงไป ณ เวลานี้เต็มไปด้วยพลังที่ได้รับจากดวงวิญญาณสูงสุด จะนำผลตอบแทนมาเป็นพัน ๆ เท่า ขณะที่มีการกระทำจากดวงวิญญาณมนุษย์คนหนึ่งต่อดวงวิญญาณมนุษย์อีกคนหนึ่ง การให้และการรับมีผลตอบแทนเป็นเพียงหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเมล็ดของการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความรักจากดวงวิญญาณสูงสุดและพลังที่ได้รับจากดวงวิญญาณสูงสุด เมล็ดนั้นก็กลายเป็นเมล็ดที่เต็มไปด้วยพลังที่จะนำผลตอบแทนมาให้เป็นพัน ๆ เท่า ดังนั้น ทุก ๆ การกระทำที่กระทำในขณะที่คิดถึงพ่อสูงสุด เป็นการกระทำซึ่งเราจะได้รับประโยชน์ และประโยชน์ก็เกิดขึ้นทุก ๆ ด้าน พลังโยคะของคน ๆ เดียวมีผลกับผู้อื่นมากมายกว้างขวางเหมือนกับกลิ่นหอมของธูปซึ่งแทรกซึมไปในบรรยากาศทั่วทั้งห้อง


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

การวิเคราะห์การกระทำของเรา

เรามาพิจารณาดูว่าเกิดผลอะไรขึ้นกับการกระทำบ้างในชีวิตประจำวันของแต่ละคน และพยายามทำความเข้าใจว่ามีบาปเกิดขึ้นมากเท่าใด และมีบุญเกิดขึ้นบ้างไหม





ก. การกระทำเพื่อความอยู่รอด
สิ่งแรกในประเภทของการกระทำทั้งหมดจากชีวิตประจำวันของแต่ละคน ตารางเวลาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน ซึ่งรวมถึงการกิน การนอน การทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ ดูแลสุขภาพร่างกายและอื่นๆ อีกมากมาย แต่ละวันเราใช้เวลาหลายชั่วโมงในการกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตนเอง

ข. ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น
ประเภทที่สองมีการกระทำซึ่งทำเนื่องจากความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ทันทีที่เราออกไปทำงาน มันไม่เพียงแต่เพื่อการยังชีพของเราเท่านั้น มันเป็นการเลี้ยงดูครอบครัวของเราด้วยเช่นกัน เมื่อแม่บ้านทำงานบ้าน เธอก็ไม่ได้ทำเพื่อตนเองเท่านั้น แต่มันเป็นการรับผิดชอบต่อผู้อื่น ๆ ในครอบครัวด้วย

ค. การพักผ่อน
ประเภทที่สามของการกระทำเป็นการกระทำซึ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ อย่างมากในสังคมปัจจุบัน และมันก็เป็นการทำตามจิตใจที่เบี่ยงเบนเท่านั้น การกระทำที่เรียกว่าการพักผ่อนอยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด

ง. งานรับใช้
ประเภทที่สี่เป็นประเภทซึ่งมีการกระทำน้อยมาก บางครั้งการกระทำที่ทำเพื่อรับใช้ผู้อื่นไม่ได้รับความใส่ใจดูแลเลย

การวิเคราะห์การกระทำของเรา
ตอนนี้ลองมาดูตารางเวลาของเรา ดูซิว่า อันไหนในสี่ประเภทนี้ที่มีการสร้างบาปและอันไหนที่มีการสร้างบุญ มันเป็นไปได้ในทั้งสี่ประเภทที่จะเป็นบาปหรือบุญก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของการทำเพื่อความอยู่รอดของเรา การกระทำที่เราทำก็อาจจะอยู่บนพื้นฐานของความหลงทะนงตน ความโลภ หรือ เป็นไปด้วยความทะยานอยาก หรือ ความโกรธ ในกรณีของการกระทำเหล่านั้น มันจะไม่เป็นเพียงการกระทำที่เป็นกลาง แต่เป็นการกระทำที่เกิดผลลบ

แม้แต่เรื่องพื้น ๆ ที่เป็นเรื่องของการดูแลร่างกาย มันก็เป็นไปได้ที่ว่ามีความหลงทะนงตน หรือความสูญเปล่าที่เราได้ดูแลร่างกายแห่งวัตถุธาตุนี้ ก็มาอยู่ในประเภทของการสร้างบาปด้วย หรืออาจจะเป็นเพียงการกระทำที่เป็นกลางได้เช่นกัน

เรารู้แล้วว่าร่างกายนี้จะต้องมีการบำรุงรักษา และเราก็จะทำมันด้วยสำนึกแห่งการละวาง และด้วยสำนึกนั้นก็จะไม่มีการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นบุญ แต่มันจะเป็นเพียงขบวนการง่าย ๆ ขจองการกิน การอยู่ การนอน และการดำรงชีพ เพราะว่าเราเป็นเพียงดวงวิญญาณในร่างกายมนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกวัตถุนี้ในสนามของการกระทำนี้ การกระทำบางอย่างเป็นสิ่งจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น เราต้องดูแลร่างกายของเรา แม้กระนั้นมันอาจจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการดูแลร่างกาย แต่จะให้เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์จะทำอย่างไร

ด้วยการอยู่ในสำนึกว่าตัวเองเป็นดวงวิญญาณ และในสำนึกของพ่อสูงสุดของเรา เรารู้ว่าพาหนะที่เป็นร่างกายนี้เป็นเครื่องมือให้เราสามารถทำงานนรับใช้ต่อพ่อผู้สูงสุดของเราได้ ดวงตาทั้งคู่ของเราเราสามารถส่งกระแสของความบริสุทธิ์ ปากของเราเราสามารถให้ข่าวสารที่พ่อให้มา ประสาทรับสัมผัสแต่ละส่วนให้ถือว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องรับผิดชอบ

ในความเป็นจริงเราเป็นเพียงผู้ดูแลร่างกายนี้ และให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำและดูแลร่างกายด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความละวาง และก็อยู่ในสภาวะของสำนึกที่สูงสุดด้วย และการกระทำทุก ๆ การกระทำที่จะกลายเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์

การกระทำประเภทที่สองภายใต้ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เราอาจถูกกระตุ้นด้วยความโลภ ความโกรธ และความผูกพันยึดติด โดยทั้วไป นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วันในทุก ๆ สถานการณ์ แต่ถ้าผู้นั้นเป็นราชโยคี สถานที่ซึ่งเขาทำงานจะเป็นที่ซึ่งเขาแบ่งปันกระแสที่ได้รับมาจากดวงวิญญาณสูงสุด

การกระทำของเขาจะไม่อยู่บนพื้นของแรงกระตุ้นที่ต้องการเงินมากขึ้นอีกต่อไป จะมีแต่ความสบายมากขึ้น เขาจะทำงานและเห็นว่ามันเป็นรายได้ที่เขาควรจะได้รับอย่างถูกต้อง สำหรับความพยายามของเขา ดังนั้นจึงไม่มีบ่วงพันธะเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป แต่สถานที่ทำงานของเขาก็จะเป็นสถานที่ทำงานรับใช้ ซึ่งตัวอย่างและกระแสของเขาจะดลใจผู้อื่นให้อยู่อย่างสงบ บริสุทธิ์และมองโลกในแง่ดี เขาจะเป็นตัวอย่างที่จะนำให้ดวงวิญญาณอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น

ในฐานะที่เป็นแม่ขณะที่กำลังปรุงอาหาร เขาจะไม่เพียงปรุงอาหารตามความต้องการและความชอบในรสชาติของลูก ๆ ของเขา แต่เขาจะปรุงอาหารอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ปรุงขึ้นมาจะต้องถวายให้กับพ่อสูงสุดก่อน แล้วเธอก็จะปรุงอาหารด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดเต็มไปด้วยความรักที่สูงสุด ด้วยสำนึกว่าเราจะต้องอุทิศให้กับพ่อสูงสุดก่อน

ด้วยการปรุงและอุทิศเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำมาแบ่งปันกันในครอบครัว มันไม่เพียงแต่จะบำรุงร่างกายของธาตุทั้งห้าเท่านั้น แต่ มันจะบำรุงเลี้ยงดวงวิญญาณด้วย เพราะว่ามันได้ถูกเติมไว้ด้วยความรักและความบริสุทธิ์ในอาหารนั้น ดังนั้นด้วยการมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เราก็สามารถทำกรรมที่บริสุทธิ์

ประเภทที่สามทุกวันนี้การพักผ่อนหย่อนใจที่มีอยู่โดยทั่วไป ก็เป็นการดึงรั้งของประสาทสัมผัสทางร่างกาย ทุกวันนี้ดวงวิญญาณถูกครอบงำโดยแรงดึงดูดของประสาทสัมผัสและโหยหาความตื่นเต้นที่จอมปลอม โดยไม่ได้รู้ว่าความสุขนั้นอยู่ภายในตนเอง ดังนั้นการกระทำของเขาดึงเขาเข้าไปสู่ส่วนลึกยิ่งขึ้นและหยาบยิ่งขึ้นของสำนึกแห่งความเป็นร่าง และบางครั้งการพักผ่อนหย่อนใจของบางคนก็สร้างความทุกข์และความโศกเศร้าให้กับผู้อื่น แม้กระนั้นเขาก็ย้งมองไม่เห็นเพราะว่าเขาหมกมุ่นอยู่แต่เพียงความสนุกสนานของตนเอง ซึ่งเขาไขว่คว้าหามันในรูปของวัตถุที่สัมผัสได้

ทันทีที่เรากลายเป็นโยคี เราก็กระทำสิ่งที่นำมาซึ่งความพอใจสูงสด และสร้างความพึงพอใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับดวงวิญญาณสูงสุด การกระทำนั้นก็พาให้ดวงวิญญาณเข้าใกล้ดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น และทำให้ดวงวิญญาณนั้นเป็นเครื่องมือสำหรับที่จะทำให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้ท่านมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจทั้งหมดของเขา 
บัดนี้ได้กลายเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ นำดวงวิญญาณให้พบกับความพอใจเหนือประสาทสัมผัส ความสนุกสนานซึ่งอยู่เหนือประสาทสัมผัสรับรู้ทั้งหลาย ดังนั้นการกระทำประเภทที่สามและประเภทที่สี่จึงไม่มีการแยกจากกันอีกต่อไป มันได้กลายเป็นสิ่งเดียวกัน

งานรับใช้ต่อผู้อื่น เป็นการกระทำบนพื้นฐานของระดับที่ไม่มีขีดจำกัด ด้วยการรู้ว่าเป็นงานรับใช้ที่แท้จริงเราสามารถทำเพื่อดวงวิญญาณใด ๆ ก็ได้ นั้นคือสอนดวงวิญญาณนั้นให้รู้จักวิธีการเข้ามาใกล้ชิดกับดวงวิญญาณสูงสุด ดวงวิญญาณจะค้นหาวิธีจะใช้เวลาและพลังในการนำดวงวิญญาณอื่นเข้ามาใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น ด้วยความคิด ดวงวิญญาณสามารถมีความปรารถนาดีต่อดวงวิญญาณอื่น ๆ ได้ โดยผ่านคำพูดก็สามารถแพร่กระจายความรู้ทางดวงวิญญาณที่พ่อสูงสุดได้ถ่ายทอดไว้ และดังนั้นโดยการกระทำที่บริสุทธิ์และสูงส่งด้วยตนเอง เราก็จะทำแต่การกระทำที่บริสุทธิ์ทุกขณะ

ถ้าเราทำเช่นนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลสันสการ์ของเราเกิดขึ้น เราจะสามารถจะใช้เวลากลางคืน (ระหว่างที่เรานอนเราก็ให้ร่างกายพักผ่อน) รับใช้ผู้อื่น  เนื่องจากดวงวิญญาณสามารถรับใช้ด้วยการดลใจแม้แต่ขณะที่พักผ่อน หรือโดยผ่านความฝันได้ ดังนั้น ขณะพักผ่อนก็สามารถทำงานรับใช้ได้

นั่นหมายความว่าการกระทำที่บริสุทธิ์สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรารู้ว่ายุคแห่งการบรรจบพบกันซึ่งเชื่อมต่อโลกเก่าและโลกใหม่เป็นยุคเดียวกันที่เราได้โอกาสกระทำการกระทำที่สูงส่งที่สุดของการกระทำทั้งหมด


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Friday, June 14, 2013

บุญและบาป



ก่อนหน้านี้เราอาจจะมีความคิดว่าบาปเป็นเพียงการกระทำที่ก้าวร้าวอันหยาบ ๆ ที่ตรงข้ามกับศีลธรรม หรือ ผิดกฏหมายของแ่ผ่นดิน เช่นการลักขโมย การฆ่า ฯลฯ บางทีเราก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นบาป บัดนี้เราเข้าใจแล้วว่า แม้แต่การกระทำนั้นอาจจะเป็นการกระทำซึ่งไม่นำมาซึ่งผลลบและผลบวกอย่างเช่นการนอน การดูแลรักษาร่างกาย ซึ่งมีการพูดกันทั่วไปว่ามันเจือปนไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ก็เป็นบาปได้ ซึ่งเราจะได้เห็นในตอนหลัง

มุมมองของเราเกี่ยวกับบุญ ซึ่งบัดนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หากเราช่วยเหลือผู้คนด้วยวัตถุ มันก็ถือเป็นการรับใช้ แต่เป็นการรับใช้ที่มีขีดจำกัด ถ้าเราให้ยาหรือดูแลคนป่วย ก็เป็นบุญ แต่เป็นในระดับที่มีขีดจำกัด ทำไมหรือ??

เพราะว่าในความเป็นจริงสุขภาพที่ป่วยที่เขาได้รับเป็นผลจากกรรมที่ไม่ดี เราอาจจะสามารถช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลา แต่เราไม่สามารถรักษาคนป่วยได้จริง ๆ เราอาจจะช่วยเขาในขณะที่มีความทุกข์ แต่เราไม่ได้สอนเขาถึงวิธีการเปลี่ยนเหตุของการกระทำที่ทำให้เกิดความทุกข์ ซึ่งจะเป็นหนทางที่เข้าถึงเหตุเพื่อลบล้างหนี้กรรมเก่าในอดีต และจะทำให้เขาไม่ต้องประสบกับความเจ็บไข้เนื่องจากเหตุเดิม ๆ อีก เพราะถ้าเราเพียงแต่ให้ยากับเขา เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือเพียงวันนี้ .... แต่ไม่ตลอดไป

ตอนนี้ถ้าเราสามารถแบ่งปันความรู้ทางดวงวิญญาณกับเขา ซึ่งจะทำให้เขาสามารถเข้ามาใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุด และนั่นจะเป็นการกระทำที่สูงสุด จะทำให้เขารู้จักวิธีที่จะชำระบัญชีบ่วงกรรมของเขาได้

ถ้าเขาหิวโหยและเราเลี้ยงดูเขา แต่ว่านานเท่าไรที่เราจะเลี้ยงดูเขาได้ เราไม่สามารถจะรับผิดชอบเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอดชีวิต ดังนั้นเราอาจจะเลี้ยงเขาเพียงมื้อเดียวหรือเพียงวันเดียว แต่จะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะอธิบายให้เขาฟังถึงกฏแห่งกรรม และช่วยให้เขามีกำลังซึ่งจะทำให้เขาสามารถเลี้ยงชีวิตของเองได้ เราจะต้องพิจารณาว่าอะไรคือบุญ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่า บุญที่ทำในระดับร่างกายต่อเพื่อนมนุษย์ใด ๆ ก็ตามนั้น เป็นบุญที่มีขีดจำกัด สำหรับดวงวิญญาณที่มีสำนึกของการกระทำเป็นการที่เป็นการทำบุญในระดับที่ไม่มีขีดจำกัด ผลแห่งงานรับใช้ด้วยการนำผู้อื่นได้เข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้าจะนำมาซึ่งผล อย่างทันทีทันใด และยังเป็นการที่จะทำให้ตัวเราเข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามากยิ่งขึ้นด้วย


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ



Thursday, June 13, 2013

บ่วงพันธะของการกระทำ



คำถามที่แท้จริงไม่ใช่แต่เพียงความเข้าใจทฤษฏีของกรรม แต่มันได้กลายเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเข้าใจว่า

1. การกระทำนั้น ๆ จะเป็นการเพิ่มบ่วงพันธะแห่งการกระทำหรือไม่??

2. ทำอย่างไรจึงจะสามารถลดบ่วงพันธะแห่งการกระทำของเราได้??

3. เราได้ทำการกระทำซึ่งเพิ่มรายได้อย่างมากมายอย่างสม่ำเสมอ ไว้เป็นเสบียงคลังแห่งการกระทำที่ดี และโชคที่ใหญ่ยิ่งเพื่ออนาคตที่กำลังรอเราอยู่หรือเปล่า??


เป็นอิสระจากบ่วงพันธะ
โดยผ่านความรู้ราชโยคะของพระเจ้า เราก็รู้ว่ามีการกระทำอยู่ในสามระดับ

ก.  หยุดการกระทำที่เป็น "ลบ" ด้วยความเข้าใจในความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม และ การเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณสูงสุด เราสามารถแน่ใจได้ว่าจะไม่มีการกระทำผิดไปมากกว่านี้ หรือที่เรียกว่าทำบาป นั่นคือไม่มีบัญชีกรรมลบเพิ่มขึ้น

ข.  ขจัดสิ่งที่เป็นลบ ด้วยไฟแห่งราชโยคะ เราสามารถยกเลิกหนี้กรรมในอดีตที่ได้สะสมมาตลอดเวลาหลายชาติเกิด

ค.  สร้างสมการกระทำที่ดี ด้วยพลังและความมุ่งมั่น ด้วยแรงบันดาลใจและการอุทิศตน ดวงวิญญาณก็จะสามารถทำการกระทำที่บริสุทธิ์ นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าชาติเกิดในอนาคตของเราจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ สุขภาพสมบูรณ์ มั่งคั่งและเต็มไปด้วยความสุข


สำนึกของความเป็นร่าง-เป็นรากแก้วของการกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์(วิกรรม)
พระเจ้าชีว่าได้มอบมาตรฐานในการทดสอบง่าย ๆ กับเรา ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์การกระทำได้อย่างทันที เพื่อจะได้รู้ว่ามันบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธฺ์ ท่านเปิดเผยว่าการกระทำที่ไม่บริสุทธิ์เป็นผลของสำนึกซึ่งมีความผูกพันอยู่กับร่างกาย ที่เรียกว่าสำนึกแห่งการเป็นร่าง

นี่หมายความว่า ถ้าเราคิดว่าตัวเราคือร่างกาย ผู้ชาย ผู้หญิง อ่อนเยาว์หรือแก่เฒ่า ฮินดูหรือมุสลม ดำหรือขาว การกระทำก็จะถูกครอบงำโดยสำนึกที่เป็นร่าง จะต้องมีอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งของกิเลสทั้งห้่าอย่างแน่นอน ซึ่งมีชื่อว่า กามราคะ ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยืดติด และความหยิ่งทะนงในตน หรือลูกหลานอื่น ๆ ของกิเลสทั้งห้า เช่น ความอิษฉาริษยา ความเกลียด ความโอ้อวด เซื่องซึม ฯลฯ เป็นตัวชี้นำอย่างแน่นอน

เราสามารถมองย้อนไปดูประสบการณ์เก่า ๆ ของเรา จะพบว่าสติปัญญาของเราไม่มีสำนึกที่ถูกต้องที่แท้จริง ขณะที่เราคิดว่าตัวเราเป็นร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งห้า ก็จะมีอิทธิพลที่ไม่ดีไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่มีอำนาจควบคุมการกระทำของเรา ผลแห่งสำนึกแห่งการเป็นร่างของเราก็มีการกระทำที่ไม่บริสฺุทธิ์ และเราก็พบว่าตนเองตกอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ เมื่อเราให้ความทุกข์กับผู้อื่น เราก็สัมผัสกับความทุกข์ด้วยตนเอง ในความเป็นจริงหลายต่อหลายชาติแล้วที่เราได้สะสมบัญชีกรรมแห่งการกระทำมากขึ้น ๆ มากกว่าที่เราสามารถจะชำระสะสางมันได้


สำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณ-เป็นวิธีการสำหรับการกระทำสุกรรมที่ทำให้เกิดสุข
เราสามารถที่จะแสดงการกระทำในสำนึกที่สูงสุดของตนและสำนึกของดวงวิญญาณสูงสุด และนี่คือการกระทำที่จะนำมาซึ่งความสุขต่อตนเองและผู้อื่นด้วย นี่เ็ป็นการกระทำซึ่งอธิบายได้ว่าเป็นการกระทำที่ให้ความสุข เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลในทางบวก มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ลึกลงไป

ถ้าเราเพียงแต่จะกำหนดให้ชัดเจนว่าการกระทำที่บริสุทธิ์นั้นคือการกระทำซึ่งจะก่อให้เกิดความสุข เราก็จะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะว่าเราพบว่าเราสามารถให้เพียงสิ่งซึ่งเรามี และขณะนี้เรายังไม่มีความสุขซึ่งได้เก็บสำรองไว้อย่างไม่มีขีดจำกัด หรือยังไม่มีความสุขเพีัยงพอที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น แม้แต่เพียงดวงวิญญาณดวงเดียว เรายังไม่มีความสุขที่ถาวรหรือเป็นอมตะ ความสุขที่เรามีนั้น ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา นาทีต่อนาที จากชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้น เราจะสามารถให้ความสุขกับผู้อื่นได้อย่างไร

เราจะสามารถหาความสุขได้ที่ไหน???
มีวิธีหนึ่ง เมื่อเราได้มีการเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดของความปิติ แหล่งกำเนิดของความสุขทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่มีชีวิตสูงสุด ขั้นตอนแรกของการกระทำที่บริสุทธิ์คือการกระทำที่จะทำให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพ่อสูงสุด.... พระเจ้า เราก็จะสามารถรับเอาความสุขได้

ในความเป็นจริงการทำงานรับใช้ในรูปที่สูงสุดที่เราสามารถทำให้กับผู้อื่นนั้น มันไม่ใช่เพียงแต่การให้ความรู้ที่เรามีโดยตรง แต่มันยังมีการให้ความสุขที่ได้รับจากแหล่งที่ไม่มีขีดจำกัดด้วย

อย่างไรก็ตามการกระทำใด ๆ ที่เราทำ ซึ่งจะนำดวงวิญญาณอื่นให้เข้าใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุด เป็นรูปแบบที่สูงสุดของการกระทำและถูกจัดว่าเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเกี่ยวกับมุมมองเรื่องบาป และแม้แต่เรื่องการทำบุญ

จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ






Wednesday, June 12, 2013

Law of Karma อะไรคือกฏแห่งกรรม




เหมือนอย่างที่เราสามารถเข้าใจกฏของนิวต้นถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุธาตุในจักรวาล ทุก ๆ การกระทำจะมีการสะท้อนกลับมาเท่ากับการกระทำนั้น เช่นกันกฏแห่งการกระทำทางวัตถุก็สามารถนำมาใช้ทางด้านดวงวิญญาณได้ทั้งหมด ทุก ๆ การกระทำจะมีการกระทำสะท้อนกลับมาเท่ากัน ซึ่งหมายความว่าถ้าเราให้ความสุขเราก็จะได้รับความสุขเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าเราให้ความทุกข์เราก็จะได้ความทุกข์เป็นสิ่งตอบแทน นี้อาจจะเรียกว่ากฏของเหตุและผลได้ด้วย เมื่อเราเห็นผลใด ๆ ก็สามารถเข้าใจว่าผลนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อมีเหตุเท่านั้น ดังนั้น การกระทำต่าง ๆ ที่เป็นเหตุ ก็ต้องมีผลของการกระทำตามมา

มีการพูดกันบ่อย ๆ ว่า "ท่านเพาะหว่านสิ่งใด ท่านก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น" กฏแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีดวงวิญญาณใดอยู่เหนือกฏแห่งกรรม มีเพียงแต่พระเจ้าพ่อชีว่าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่เหนือกฏนี้ เพราะว่าท่านอยู่เหนือบ่วงพันธะของการกระทำทั้งหมด ไม่มีใครที่อยู่ในโลกวัตถุนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะที่ไม่มีการกระทำได้ ซานยาสซีทำความเพียรพยายามเพื่อจะเลิกการกระทำทั้งหมด แต่ความเพียรพยายามที่พวกเขาทำเพื่อการสละละทิ้งการกระ่ทำ มันก็เป็นประเภทหนึ่งของการกระทำด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ก็เป็นการกระทำ


ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อการทนทุกข์ทรมานของเรา
โดยทั่ว ๆ ไป เมื่อเราเห็นผลของการกระทำปรากฏขึ้น แต่ต้นเหตุของผลนั้นนานจนจำเวลาไม่ได้ เพราะมันได้ทิ้งระยะห่างจากเวลาที่ได้ทำไว้จนจำไม่ได้ ดั้งนั้น เราจึงลืมว่าเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์เหล่านี้ เมื่อเราเห็นผลลัพธ์ที่ให้ผลร้ายและลืมว่าเราเป็นต้นเหตุ เราก็กล่่าวโทษผู้อื่น แล้วก็พูดว่าผู้อื่นทำให้เราทุกข์ทรมาน

เราว่าแม้แต่พระเจ้าว่าเป็นผู้ทำความทุกข์ทรมานเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเรา แต่ดวงวิญญาณก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เป็นไปได้หรือที่พ่อสูงสุดผู้เต็มไปด้วยความเมตตาต่อทุกคน และมีแต่ความรักให้กับทุกคน จะปรารถนาให้ลูกต้องประสบกับความทุกข์ทรมานใด ๆ เพื่อเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งได้อย่างไร สติปัญญาก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้ และเราก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่าพระเจ้าพ่อสูงสุดเป็นผู้ให้ประโยชน์สูงสุด เป็นผู้ขจัดความทุกข์โศกและเป็นผู้ให้เพียงแต่ความสุข ท่านได้ลงมายังโลกเพื่อชี้หนทางให้กับมนุษย์ไปพบกับความสุขที่แท้จริง  ด้วยการให้ความรู้กับพวกเขาและให้พลังที่จะกระทำการกระทำที่ดี

ดังนั้น ถ้ามีผลลัพธ์เป็นความทุกข์ เราก็ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์ กฏแห่งกรรมที่บัดนี้ได้เปืดเผยโดยพระเจ้าชีว่า ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์ของเรา ดวงวิญญาณนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเขาเอง แล้วก็เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวของเขาเองด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของการกระทำที่ได้กระทำออกไป


การกระทำเป็นตัวกำหนดโชคชะตา
บางครั้งมีการเข้าใจเพียงครึงเดียวในกฏแห่งกรรม ที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของตน บางคนอาจคิดอย่างสิ้นหวังว่า "อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวฉันในขณะนี้ นั่นเพราะเป็นผลที่เกิดจากการกระทำในอดีตของตัวเอง ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถทำอะไรหรือแก้ไขอะไรได้กับเรื่องนี้"

มันเป็นความจริงที่แน่นอนที่สุดว่าทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของตน ต้องมีกับความอดทนอย่างมากมายและใช้ความทรหดที่ไม่เคยใช้มาก่อน

แต่ในหลักของกฏแห่งกรรมก็กำหนดไว้ว่า ถ้าเรากระทำกรรมที่บริสุทฺ์เราก็สามารถจะสร้างอนาคตในหนทางที่เราสามารถเลือกเองได้ จะไม่เป็นทาสของชะตามกรรม หากเราเข้าใจถึงกฏแห่งกรรมนี้เราก็จะเป็นผู้สร้างโชคชะตาตัวเราเอง

เราจะเลือกโชคชะตาที่เรากำหนดไว้เพื่อตัวเราเอง เรายังสามารถดลใจผู้อื่นให้เลือกโชคชะตาของพวกเขาด้วย โดยเห็นตัวอย่างและเห็นการกระทำของเราเอง เพราะการกระทำที่ดีนั้นจะดลใจให้มีการเลียนแบบ ถ้าใครทำความดี ผู้อื่นก็จะลอกเลียนเขาเป็นตัวอย่าง ด้วยแรงแห่งผลของการกระทำซึ่งเป็นลูกโซ่ของการทำดี การทำดีจะนำมาซึ่งพรและความปรารถนาดีจากผู้อื่น เช่นเดียวกัน การกระทำชั่วก็จะให้ผลเป็นแรงสะท้อนกลับที่เป็นลูกโซ่ และมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้กระทำความผิดด้วย


การกระทำและความรับผิดชอบต่อสังคม
ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้อย่างเด็ดขาด แต่ละดวงวิญญาณไม่เพียงแต่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง แต่จะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบของการกระทำต่อผู้อื่นด้วย งานและการกระทำของทุกคน อย่างเช่น นักแสดง ศิลปิน นักจัดรายการวิทยุ ฯลฯ สร้างผลกระทบอย่างสูงสุดต่อจิตใจของมนุษย์เป็นล้าน ๆ 

การกระทำถูกเรียกว่าเมล็ด เหมือนอย่างเช่นเมล็ดที่แสนเล็กเมล็ดเีดียวก็สามารถให้ผล อย่างมากมาย ซึ่งผู้ใดกระทำการใด ๆ ผลก็จะเป็นเช่้นนั้นด้วย

เรามักจะไม่ค่อยระมัดระวังต่อการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะมีผลตามมามากมาย แต่ผลของมันอาจจะส่งผลเป็นปีหรือหลาย ๆ ปี โดยทั่วไปอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นมานั้น มันไม่ได้เป็นเพียงการการทำหรือผลการกระทำธรรมดาๆ ดังนั้นเมื่อไม่ได้เป็นผลเพียงชาติเดียวจากเมล็ดเพียงเมล็ดเีดียวที่ถูกเพาะลงไปแต่จะมีผลที่ต้องรับผิดชอบมากมาย กรรมใหม่ผสมกับวิบากเก่า

ดังนั้นกรรมใหม่ ถึงได้มีการผสมปนเปกับอิทธิพลต่าง ๆ มากมาย และมันมีความวุ่นวายสับสนเกี่ยวข้องกับกรรมของผู้อื่นด้วย ทุกวันนี้เราจึงพบว่าตัวเองกำลังติดอยู่กับใยแมลงมุกที่ยิ่งใหญ่ และสับสนยุ่งเหยิง

จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Tuesday, June 11, 2013

กฏแห่งกรรม


ชนิดของการกระทำ
กรรม หรือ การกระทำ  เป็นพฤติกรรมของดวงวิญญาณที่แสดงออกผ่านร่างกายทั้งระดับร่างกาย และระดับความคิด พูด ได้ยิน เห็น สัมผัส สอน กิน ทั้งหมดเีรียกว่ากรรม ชนิดของการกระทำที่แสดงโดยแต่ละบุคคลเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงบุคลิกของเขา มันเป็นการกระทำซึ่งทำให้มนุษย์นั้นยิ่งใหญ่หรือด้อยค่า สูงส่งหรือต่ำทราม

มนุษย์พบความยุ่งยากเป็นอย่างมากที่จะแยกแยะอย่างแม่นยำว่าการกระทำอะไรที่ถูกต้องและการกระทำอะไรที่ผิด ตลอดเวลาของประวัติศาสตร์คำจำกัดความของคำว่าถูกต้องละคำว่าผิด ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภายในช่วงระยะเวลาของประวัติศาสตร์ วัฒนะธรรมที่แตกต่างและศาสนาที่แตกต่างที่เกิดขึ้นพร้อมกับคำจำกัดความและการแยกแยะที่แตกต่าง

แม้แต่ภายในศาสนาเดียวกันผู้คนที่อยู่กันคนละวัยก็ยังมีความคิดที่แตกต่างกันในความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง และถ้ามีใครสักคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ ภายนอกเลย แต่เมื่อมองย้อนไปในอดีต เขาก็จะพบว่าความเข้าใจของตัวเขาเองจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ในวัยเด็กความเข้าใจในความถูกและความผิดก็อยู่ในระดับหนึ่ง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เมื่อมีความเป็นผู้ใหญ่มันก็ยังเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

ข่าวดีและโชคดีเป็นอย่างมากที่ในเวลาปัจจุบันซึ่งเป็นยุคแห่งการบรรจบพบกันซึ่งเป็นสิริมงคลที่สุด กฏแห่งกรรม นั่นคือกฏแห่งการกระทำและผลสะท้อนกลับ ได้ถูกอธิบายไว้แล้วอย่างชัดเจนที่สุด โดยพ่อสูงสุด พระเจ้าชีว่า ผู้สร้างและผู้กำกับละครโลกอันไม่สามารถถูกทำลายได้เป็นผู้ซึ่งบริสุทธิ์อยู่ตลอดกาล  อยู่เหนือการเกิดและการตาย ดังนั้น ท่านจึงพ้นจากกฏแ่ห่งกรรมตลอดไป โดยผ่านเครื่องมือที่มีตัวตนของท่านคือ ประชาปิตาบราห์มา พระเจ้าชีว่าได้ให้คำจำกัดความของการกระทำไว้ 3 ชนิด ดังนี้

1. การกระทำที่บริสุทธิ์ สุกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณ ซึ่งจะได้รับผลเป็นความสุขที่แท้จริง (ยุคบรรจบพบกัน)

2. การกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์ วิกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกที่เป็นร่าง ซึ่งมีฐานอยู่บนกิเลส ดังนั้นจึงให้ผลเป็นความทุกข์ (ยุคทองแดงและยุคเหล็ก)

3. การกระทำที่ไม่มีผล อกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกเป็นดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ไม่มีทั้งผลบวกและผลลบ(ยุคทองและยุคเงิน)





การกระทำทั้งสามชนิดนั้นเกี่ยวข้องกับยุคต่าง ๆ ในวงจร(กัลป) การกระทำที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่มีประโยชน์สูงสุดซึ่งกระทำโดยบราห์มินที่แท้จริง (ลูก ๆ ทางดวงวิญญาณของบราห์มาในยุคแห่งการบรรจบพบกัน) การกระทำซึ่งไม่มีผลเป็นบวกและลบ เป็นการกระทำของเทพซึ่งอยู่ในยุคทองและยุคเงิน วิกรรมหรือการกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์เป็นการกระทำของมนุษย์ในยุคทองแดงและยุคเหล็ก



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ