Showing posts with label ต้นไม้โลก. Show all posts
Showing posts with label ต้นไม้โลก. Show all posts

Saturday, May 18, 2013

การหลุดพ้น (Mukti)


การหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต
(Mukti and Jeewan Mukti)
เป้าหมายของมนุษย์ที่ต้องการจะได้รับจากการฝึกราชโยคะทุกวันนี้คือ การบรรลุถึงการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต ความหมายของคำทั้งสองจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ในกลียุคนั้น เนื่องจากความมีสำนึกแห่งการเป็นร่างอย่างเต็มที่ มนุษย์จึงถูกผูกติดไว้กับบ่วงพันธะแห่งสัมพันธ์ทางร่างกับบุคคลหรือสิ่งของในโลกนี้ พวกเขาทะยานอยากในกามารมณ์หรือมีความพอใจ จากการสัมผัสซึ่งมีความสุขที่สั้นมาก ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าจะต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างมากหลังจากนั้น

การผูกพันยืดติดที่มากที่สุดคือ การผูกพันยึดติดกับร่างกายของตนเอง บ่วงพันธะทั้งหมดเหล่านี้เป็นรากเหง้าของความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมทั้งหมด ดังนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับดวงวิญญาณที่จะต้องสลัดให้หลุดจากบ่วงพันธะเหล่านี้ เพื่อที่จะได้บรรลุถึงสภาวะของความเป็นอิสระและการหลุดพ้นทางดวงวิญญาณ

อะไรคือการหลุดพ้น (Mukti)
มีสองสภาวะของดวงวิญญาณซึ่งเป็นอิสระจากสำนึกแห่งการเป็นร่าง สภาวะแรก คือ เงียบสงบอย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความพอใจและไม่มีความปิติ มันเป็นการอยู่อย่างปราศจากความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอะไรก็ตาม เป็นที่รู้จักกันในนามของสภาวะแห่งการหลุดพ้น (Mukti) สภาวะนิรวาน (Nirvana) การหลุดพ้น การปลดปล่อยหรือการช่วยให้พ้นภัย มันมีอยู่ในพารามธรรมซึ่งเป็นบ้านที่เงียบสงบของทุกดวงวิญญาณที่จะไปอยู่ในตอนจบของกัลปเพียงเท่านั้น

หลังจากการทำลายของกลียุคโลกเก่า ดวงวิญญาณทั้งหมดจะกลับไปยังอาณาเขตที่เป็นธาตุแห่งแสง เรียกว่า "บราห์มา ตัตตะวา" (Brahma Tattwa) และอยู่ที่นั่นในสภาวะของการหลุดพ้น ณ ที่นั่นหน่วยงานทั้งสามของดวงวิญญาณ กล่าวคือ จิต สติปัญญาและสันสการ์แฝงตัวหรือไม่ปรากฏและสงบอยู่ชั่วคราว เมื่อดวงวิญญาณได้ลงมายังโลกแห่งความมีตัวตนเพื่อเล่นบทบาทใหม่อีกครั้งหนึ่งในกัลปหน้า พื้นฐานที่ดวงวิญญาณจะได้รับร่างใหม่ก็เป็นไปตามสภาวะของสันสการ์ของเขา

อะไรคือการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต?
(Jeewan Mukti)
สภาวะที่สองคือ สภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต มันเป็นสภาวะของความสุขและความปิติสุขอย่างสมบูรณ์พร้อม คงที่และไม่มีสิ่งใดมาขัดความสุข ซึ่งดวงวิญญาณจะได้รับประสบการณ์นี้ขณะที่มีร่างกาย การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตนี้เป็นความเพลิดเพลินของเหล่าเทพในสวรรค์ ระหว่างยุคทองและยุคเงินเหล่าเทพนั้นมีร่างกาย แต่ไม่มีร่องรอยแห่งการทนทุกข์หรือเจ็บปวดแม้แต่น้อยในขณะที่เข้ารับร่าง ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างและขณะที่ออกจากร่าง ร่างกายของเหล่าเทพนั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่งและปราศจากกิเลส ซึ่งผู้กราบไหว้บูชาทุกวันนี้ก็ยังกราบไหว้รูปปั้นและภาพวาดของเทพเหล่านั้น

เหล่าเทพได้รับสมญาว่าเป็นผู้ที่มีดวงตาเหมือนดอกบัว มีปากเหมือนดอกบัว มือและเท้าเหมือนดอกบัวและอื่นๆ อีก ทุกส่วนในร่างกายของเหล่าเทพถูกนำมาเปรียบกับคุณภาพของดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธ์ พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวไม่มีการตายโดยไม่รู้ล่วงหน้า พวกเขามีความเต็มใจที่จะละร่างเมื่อถึงเวลาที่ร่างนั้นเข้าสู่วัยชรา พวกเขาได้รับนิมิตของร่างใหม่ล่วงหน้า ร่างที่พวกเขาจะไปอาศัยอยู่ในสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต เหล่าเทพเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มั่งคั่งและมีความสุขอยู่ตลอด สภาวะเช่นนี้บราห์มินได้รับในฐานะที่เป็นมรดก ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ชีว่า มอบให้




การหลุดพ้น เปรียบเทียบกับ การหลุดพ้นในขณะที่มีชีวิต
สภาวะของการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตมีลักษณะที่เหมือนกันหลายอย่างคือ ทั้งสองสภาวะพระเจ้า พ่อชีว่า เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถประทานให้ได้ ทั้งสองสภาวะจะได้รับหลังจากการจบสิ้นกลียุค ทั้งสองสภาวะสามารถบรรลุถึงได้โดยดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น ทั้งสองสภาวะจะนำมาซึ่งความจบสิ้นของความทุกข์ทรมานทั้งหมดของมนุษยชาติ

สภาวะการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต (Jeewan Mukti) นั้นสูงกว่า สภาวะการหลุดพ้น (Mukti) ดวงวิญญาณทั้งหลายที่ได้รับการหลุดพันคงอยู่ในสภาวะที่เงียบสงบในพารามธรรม ขณะที่ดวงวิญญาณซึ่งบรรลุถึงการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตได้เพลิดเพลินกับความสุขและความปิติอย่างสนุกสนานในสวรรค์

ในการหลุดพ้นดวงวิญญาณทั้งหลายถูกตัดขาดจากบทบาทในโลกที่มีตัวตน (ตราบเท่าที่สภาวะหลุดพ้นยังคงอยู่) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นบทบาทที่ดีมีความสุขได้แม้เพียงบทบาทเดีย ในขณะที่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตพวกเขาไม่เพียงแต่จะเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ทรมานเพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังได้เล่นบทที่มีความสุขและสนุกสนานในสวรรค์อย่างต่อเนื่อง

หลังจากกลียุคจบสิ้นลงดวงวิญญาณทั้งหมดก็จะบรรลุถึงการหลุดพ้นที่เป็นไปตามบทบาท ไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามใดๆ ในการบรรลุถึงการหลุดพ้นของพวกเขา แต่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตจะได้รับเพียงเมื่อดวงวิญญาณได้รับความรู้ทางดวงวิญญาณจากพระเจ้าชีว่าและผ่านการฝึกฝนราชโยคะเท่านั้น ดวงวิญญาณที่ได้รับการหลุดพ้นเพียงอย่างเดียวจะต้องชำระบัญชีกรรรมของพวกเขาโดยการถูกลงโทษใน ธรรมราชบุรี (Dharamraj Puri) ขณะที่ผู้ที่ได้บรรลุถึงการหลุดพ้นในชีวิตจะพ้นจากการลงโทษมากน้อยตามระดับที่พวกเขาได้มีการชำระล้างบาปในอดีตของพวกเขา โดยผ่านความอุตสาหะพยายามทางดวงวิญญาณของพวกเขาเอง นั่นคือ ผ่านการฝึกฝนราชโยคะ บางคนไม่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษใดๆ เลยและไปสู่สวรรค์โดยผ่านพารามธรรมอย่างมีเกียรติ

ด้วยเหตุนี้การหลุดพ้นเป็นเพียงสภาวะของความเงียบ มันไม่ใช่สถานภาพ ขณะที่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตเป็นสถานภาพที่สูงสุดของเทพที่ซึ่งมนุษย์ปรารถนาจะได้บรรลุถึง

ความแตกต่างระหว่างการหลุดพ้น และ การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต
เราสามารถที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ โดยผ่านสัญลักษณ์ง่าย ๆ ทางคณิตศาสตร์ คือ เครื่องหมาย ลบ(-) เครื่องหมายศูนย์ (0) และเครื่องหมายบวก (+) เครื่องหมายลบ(-) เป็นเครื่องหมายแทนบ่วงพันธะของดวงวิญญาณในยุคเหล็ก สภาวะความทุกข์ทรมานอย่างสมบูรณ์แบบ เครื่องหมายศูนย์ (0) แสดงถึงการหลุดพ้นซึ่งเป็นสภาวะของความเงียบ เครื่องหมายบวก (+) ชี้บอกถึงยุคทองของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต สภาวะของความสุขอย่างสมบูรณ์พร้อมตามที่แสดงไว้ข้างล่าง
ลบ (-)
กลียุคของบ่วงพันธะ (ชีวิตที่ติดกับ) สภาวะของความทุกข์ ความเจ็บปวดที่สุด
ศูนย์(0)
สภาวะของการหลุดพ้น นั่นคือ ความเงียบสงัดในพารามธรรม
บวก(+)
ยุคทองคือการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะ ขณะที่มีชีวิต สภาวะของความสุขที่สมบูรณ์พร้อมขณะที่อยู่ในร่าง


แนวคิด โมกษะ (Moksha)
ซานยาสซีและสาวกของศาสนาอื่นๆ คิดว่าสภาวะการหลุดพ้นคือ โมกษะ หรือ นิพพาน นั้นสูงกว่าสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต มันเป็นการคาดเดาเอาเองของพวกเขาว่าความโศกเศร้าและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในโลกที่มีตัวตนนี้มีมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น พวกเขาคิดว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสาเหตุหลักของความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมที่ดวงวิญญาณได้รับ เพราะว่ามันมีโรคภัยไข้เจ็บ ความแก่และความตาย

พวกเขาพูดว่าดวงวิญญาณไม่สามารถจะเป็นอิสระจากความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดได้ตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังมีบ่วงพันธะกับร่างและยังต้องกลับมาเกิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งเป้าของพวกเขาไปยังการหลุดพ้นจากวงจรของการเกิดและการตาย ความเพียรพยายามของพวกเขามีเป้าหมายไปสู่จุดที่พวกเขาคิดว่าสูงสุดนี้

พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่ดวงวิญญาณบรรลุถึงการหลุดพ้น นั่นคือการหลุดพ้นไปจากวงจรของการกลับมาเกิดบนโลกนี้ตลอดไป โยคะของพวกซานยาส คือการมีโยคะกับ บราห์ม (Brahm-ธาตุแสง) พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่ได้บรรลุถึงการหลุดพ้น ดวงวิญญาณจะต้องหลอมรวมเข้าไปกับ บราห์ม อีกพวกหนึ่งค้นหานิพพานอมตะโดยคิดว่าดวงวิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมไปอยู่กับพระเจ้าในดินแดนนิพพานนิรันดร


ดวงวิญญาณไม่ได้หลอมรวมเข้ากับพระเจ้า
ทฤษฎีนี้ไม่สมเหตุผล และสะท้อนให้เห็นความไม่รู้จริงของผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้เกี่ยวกับดวงวิญญาณ พระเจ้า บราห์ม โลกละคร สวรรค์และนรก ฯลฯ มันเป็นการเข้าใจผิดที่จะยืนยันว่า เมื่อบรรลุถึงการหลุดพ้นดวงวิญญาณจะหลอมเข้าไปกับบราห์มหรือพระเจ้า

ดวงวิญญาณนั้นเป็นอมตะ ไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ ผู้ที่ถูกหลอมรวมหมายถึงการจบสิ้นของการมีอิสระภาพแห่งการดำรงอยู่ ถ้าดวงวิญญาณหลอมรวมเข้ากับบราห์มหรือพระเจ้า เราจะถือว่ามันเป็นอมตะได้อย่างไร

บราห์มเป็นธาตุที่ไม่มีชีวิตแพร่กระจายอยู่ในพารามธรรม ขณะที่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งสมบูรณ์ที่สามารถดำรงอยู่เป็นเอกเทศและมีชีวิตแล้วทั้งสองสิ่งจะหลอมรวมกันได้อย่างไร พระเจ้าเป็นผู้กำกับละครโลก ขณะที่ดวงวิญญาณมนุษย์เป็นผู้แสดงในละครโลก แล้วผู้แสดงจะสามารถหลอมรวมหรือละลายหลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับได้อย่างไร

ไม่มีดวงวิญญาณสองดวงซึ่งเหมือนกัน ดวงวิญญาณแต่ละดวงนั้นมีบุคลิกภาพเป็นของตนเอง มีสันสการ์เป็นของตน และมีบทบาทของตนที่จะต้องเล่น ด้วยเหตุนี้ หน้าตาของคนสองคนก็มีลักษณะเฉพาะของตน (หรือแม้แต่ลายนิ้วมือ) ดังนั้นดวงวิญญาณไม่สามารถที่จะหลอมรวมกันได้หลังจากการหลุดพ้น แล้วจะมีความคิดเกี่ยวกับการหลอมรวมกับพระเจ้าได้อย่างไร

ดวงวิญญาณไม่สามารถกลายเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งคงอยู่ตลอดไปได้ ดังนั้น ดวงวิญญาณสูงสุด จึงถูกเรียกว่า 
สัตยัม (Satyam) ผู้ที่เป็นอมตะ, ชีวัม (Shivam) ผู้ให้คุณประโยชน์ และ ซันดารัม (Sandaram) ผู้ที่งดงามที่สุด หลังจากการหลุดพ้นแล้วดวงวิญญาณก็กลับไปยัง พารามธรรม และอยู่ที่นั่นอย่างเป็นดวงวิญญาณที่แยกเป็นอิสระจากกัน ที่อยู่ของดวงวิญญาณคือ ปรโลก หรือ โลกวิญญาณ ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นบ้านของดวงวิญญาณที่นับไม่ถ้วน มิฉะนั้น มันคงไม่ถูกเรียกว่าโลก มีพวกที่คิดอย่างผิด ๆ ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งเพราะความไม่รู้และทันทีที่ความไม่รู้นั้นถูกทำลายลงเขาก็จะเข้าใจ อนึ่งถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านก็จะต้องกลายเป็นผู้ไม่รู้ไปด้วย แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อพระเจ้านั้นเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งตลอดกาล เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเชื่อนี้อยู่บนสมมุติฐานของความเชื่อที่ผิด

ไม่มีหลักฐานของการหลุดพ้นที่ถาวร
ไม่มีสิ่งสนับสนุนการกล่าวอ้างว่าดวงวิญญาณบรรลุถึงการหลุดพ้นอย่างถาวร ถ้ามีการหลุดพ้นอย่างถาวรจริง ก็จะไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถกลับมายังโลกและพูดว่า บัดนี้ฉันได้อยู่ในพารามธรรมอย่างถาวรแล้ว และถ้ามีใครบางคนพูดถึงเรื่องนี้ คำพูดนั้นเป็นเพียงการคาดเดาของบุคคลนั้นโดยไม่มีประสบการณ์ที่เป็นจริง

ความจริงแท้ก็คือมนุษย์ปัจจุบันนี้ค้นหาการหลุดพ้นอย่างถาวรซึ่งเป็นการคาดหวังเอาเอง นั่นคือพวกเขาอยู่ในสภาวะที่มีบ่วงพันธะของทุกวันนี้และอยากไปให้พ้นไปอย่างถาวร สิ่งนี้พิสูจน์ตัวมันเองว่าไม่เคยมีสภาวะการหลุดพ้นที่ถาวรเลยในอดีต สิ่งนี้นำไปสู่การสรุปโดยอัตโนมัติว่า สภาวะเช่นนี้ไม่สามารถบรรลุถึงได้ในอนาคตด้วย แม้แต่พระเจ้าดวงวิญญาณสูงสุดก็ยังต้องลงมาบนโลกนี้ กัลปละหนึ่งครั้ง แล้วดวงวิญญาณมนุษย์จะได้รับสภาวะที่สูงกว่าพระเจ้าได้อย่างไร
ถ้าดวงวิญญาณทั้งหมดสามารถไปอยู่อย่างถาวรในโลกวิญญาณเหมือนอย่างที่คนเหล่านี้คิด ก็จะไม่มีความต้องการพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ได้รับการจดจำว่าเป็นผู้ปลดปล่อย เป็นผู้นำทาง เป็นครูผู้สูงสุด ฯลฯ

การหลุดพ้นเป็นสภาวะชั่วคราว
อย่างที่ได้อธิบายไว้ตอนต้นแล้ว ดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหลายเป็นนักแสดงที่เป็นอมตะในละครโลกที่เป็นอมตะ ถ้าการหลุดพ้นมีจุดประสงค์เพื่อให้ดวงวิญญาณกลับไปยังพารามธรรมตลอดกาล แล้วละครนี้ก็ไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นละครอมตะได้ การเพิ่มของประชากรมนุษย์อย่างต่อเนื่องในโลกเป็นเครื่องชี้ชัดด้วยเช่นกันว่า ดวงวิญญาณไม่ได้อยู่ในสภาวะหลุดพ้นตลอดกาล 
ดวงวิญญาณที่หลุดพ้นอาจจะเปรียบได้กับเมล็ดพืช เมล็ดพืชมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติที่จะเติบโตเป็นต้นพืช ดังนั้น ดวงวิญญาณมนุษย์ก็เช่นกัน มีความชอบเป็นธรรมชาติที่จะรับร่างที่จะแสดงบทบาทในโลกที่มีตัวตนนี้ เหมือนกับเมล็ดพืชที่มีแนวโน้มเป็นธรรมชาติที่จะงอกขึ้นมาเมื่อฤดูกาลมาถึง
เช่นเดียวกัน มันเป็นลักษณะที่เป็นธรรมชาติของทุก ๆ ดวงวิญญาณที่จะได้รับการกระตุ้นตามเวลาที่กำหนดไว้แล้วในกัลปเพื่อจะเล่นบทบาทในละครโลก


ในขณะที่ดวงวิญญาณแสดงบทที่ดีก็จะสนุกสนานกับการแสดงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเริ่มแสดงบทที่เลวก็เริ่มพ่ายแพ้ต่อมายา อันเป็นเหตุให้เกิดการพ่ายแพ้อย่างซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อการแสดง และทำให้ดวงวิญญาณค้นหาการหลุดพ้นจากบทบาทของตน แต่หลังจากที่ได้รับการหลุดพ้นก็เกิดควาปรารถนาที่จะแสดงขึ้นมาอีก เมื่อเวลาที่บทในละครได้มาถึงอีกครั้งหนึ่งในกัลปหน้า มันเหมือนกับเด็กที่พ่ายแพ้และเหนื่อยอ่อนต่อการเล่น ต้องการจะกลับไปนอน เด็กนั้นไม่ได้นอนอยู่ตลอดไป เมื่อการนอนเป็นเพียงสภาวะการพักผ่อนชั่วคราว หลังจากช่วงหนึ่งเขาก็กลับมามีความปรารถนาที่จะเล่นอีก

ดวงวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะจะผ่านสภาวะต่าง ๆ จากการหลุดพ้นไปสู่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะีที่มีชีวิต และไปสู่ชีวิตที่มีบ่วงพันธะ แล้วก็เริ่มการหลุดพ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นไปในรูปของวงจร สภาวะเหล่านี้ไม่มีความถาวรหรือคงที่ เพราะว่าละครโลกเองนั้นเป็นสภาวะที่เคลื่อนไหวหมุนไปเป็นนิรันดร

ทั้งการหลุดพ้นและการมีบ่วงพันธะไม่เป็นอมตะ
ประเด็นข้างบนอาจจะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ด้วยความปรารถนาอย่างมากต่อการหลุดพ้น แสดงว่าดวงวิญญาณได้เคยมีประสบการณ์ของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในอดีต แต่ปัจจุบันมันได้ห่างไกลจากสภาวะนั้น บ่วงพันธะนั้นก็ไม่ได้คงอยู่มาตั้งแต่อนันตกาลมันเป็นเช่นนั้น ดวงวิญญาณไม่สามารถกำจัดมันไปได้ เพราะว่าอะไรก็ตามที่เป็นอมตะจะต้องมีอยู่ตลอดไป

ดังนั้นการหลุดพ้นหรือการช่วยให้พ้นภัยหมายถึง การเป็นอิสระ การปลดปล่อย หรือความมีอิสระจากบ่วงพันธะ มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสภาวะของดวงวิญญาณก่อนที่จะมีบ่วงพันธะได้กลับมามีบ่วงพันธะในภายหลัง อีกอย่างหนึ่งบ่วงพันธะชี้ให้เห็นถึงสภาวะของความเป็นอิสระจากบ่วงต่าง ๆ ซึ่งเคยมีมาก่อน ซึ่งบัดนี้ดวงวิญญาณต้องการจะเป็นเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง นี่หมายความว่าดวงวิญญาณจะกลับมาสู่สภาวะดั้งเดิมของการหลุดพ้นแต่มันจะไม่คงอยู่ตลอดไป
สำหรับดวงวิญญาณมนุษย์ การหลุดพ้นเป็นสภาวะที่จะได้รับ(และสูญเสีย) และมันไม่ได้เป็นมรดกที่ถาวรของพวกเขา พระเจ้าพ่อชีว่าเพียงเท่านั้นที่สามารถประทานการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต หลังจากการทำลายล้างความไม่ชอบธรรมและสวรรค์ ท่านนี่เองที่ปลดปล่อยแม้แต่ นักบุญ สาธุ ซานยาสซี และผู้ก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ ทั้งหมด รวมทั้งดวงวิญญาณของราชวงศ์เทพได้กลับไปสู่สวรรค์โดยผ่านพารามธรรม ซึ่งได้มีการสร้างขึ้นอีกครั้งหนึ่งบนโลก เป้าหมายของทุกดวงวิญญาณอยู่ในมือของพวกเขาเองและพวกเขาจะต้องตัดสินใจ ณ บัดนี้ว่าจะไปนรกหรือไปสวรรค์


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Friday, May 17, 2013

สวรรค์ และ นรก


สวรรค์และนรกมีอยู่จริง สวรรค์ไม่ใช่โลกที่อยู่ห่างไกลออกไปนอกจักรวาล ทั้งนรกและสวรรค์อยู่บนโลกนี้และไม่ได้อยู่ในเขตชั้นบรรยากาศที่ห่างไกลเหนือโลก พระเจ้าพ่อชีว่าได้ให้นิิมิตของสวรรค์กับบางดวงวิญญาณ เมื่อพวกเขาเข้า็ฌาณไปเห็นในขณะที่ฝึกฝนราชโยคะ ผู้ซึ่งไม่เข้าใจธรรมชาติของนิมิตก็ทำการสรุปอย่างผิด ๆ พระเจ้าชีว่า สร้างสวรรค์ และ ราวัน (ปีศาจ หรือ มายา) ได้เปลี่ยนมันไปเป็นนรก ทั้งสวรรค์และนรกอยู่บนโลกนี้ 

ใครคือ ราวัน
สวรรค์คือยุคทองและยุคเงินเป็นโลกของความบริสุทธิ์ ความสมบูรณ์พร้อม ความสุขและความปิติ สร้างโดยพระเจ้าชีว่า บางคนมีความคิดที่ผิดเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสวรรค์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นโลกที่มีไวน์ไหลเหมือนแม่น้ำและมีหญิงสาวคอยสนองความใคร่อย่างเสรี ภาพเหล่านี้ถูกสร้างโดยความคิดที่บิดเบือนไม่มีความรู้จริงของพวกเขาเอง ในความเป็นจริงความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานหลักของสวรรค์ กิเลส เช่น กามราคะไม่ได้มีที่นั่น นรกเป็นคำบรรยายความเลวร้ายของราวัน ราวันไม่ใช่บุคคลอย่างที่ยืดถือกันมาแต่อดีตที่มีบางคนจินตนาการว่าราวันมีสิบหัว

คำว่า ราวัน หมายถึง ผู้ซึ่งทำให้คนอื่นโศกเศร้า ความทุกข์ทรมานทั้งหมดซึ่งทำให้คนโศกเศร้ามีรากฐานมาจากกิเลสทั้งห้าของผู้ชายและกิเลสทั้งห้าของผู้หญิง ราวันมีชื่อว่า ปีศาจ ซาตานหรือมายา ด้วย ในนรก มายามีอำนาจปกครองสูงสุด ดวงวิญญาณทั้งหลายถูกครอบงำโดยกิเลสซึ่งรู้กันในนาม "อสูระ" (Asuras) กิเลสทำให้ชีวิตปราศจากความสงบและมีแต่ความทุกข์โศก ในอินเดีย ผู้คนเผาหุ่นจำลองของราวันทุกปี เมื่อพวกเขาเฉลิมฉลอง "เทศกาล ดัสเซรา" (Dussehra) แต่ผู้เผาหุ่นก็ไม่ได้ยุติการกระทำที่เป็นกิเลส ซึ่งมีราวันเป็นสัญลักษณ์

หมายเหตุ : ราวัน ก็คือ ทศกัณฑ์ในรามเกียรต์


การกลับไปเกิดในสวรรค์นั้นจริงหรือ??
เมื่อมีคนตายมักมีการพูดกันบ่อย ๆ ว่า ดวงวิญญาณได้จากไปสวรรค์แล้ว ไม่มีดวงวิญญาณใดที่อาศัยอยู่ในนรกแล้วไปเกิดใหม่ในสวรรค์ได้ นรกและสวรรค์ไม่ได้มีอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน สวรรค์และนรกจะตามกันมาในรูปของวงจรที่เป็นระเบียบ ถ้าวันนี้มีคนพูดว่า "ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์" มันเป็นเพียงสิ่งชี้ว่าพวกเขากำลังอาศัยอยู่ในนรกและดวงวิญญาณที่จากไปก็ไปเกิดอยู่ในนรกเช่นเดิม ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ต้องเศร้าโศก หรือไว้ทุกข์ต่อดวงวิญญาณที่จากไปสู่สถานที่ดีกว่า




เงื่อนไขสำหรับสวรรค์-ความบริสุทธิ์
ไม่มีผู้ใดสามารถไปสวรรค์ได้โดยไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ด้วยการดำเนินชีวิตที่มีคุณธรรมในทางปฏิบัิติจริงเป็นฐานเท่านั้นคือเกณฑ์ บนพื้นฐานของความรู้ของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยพระเจ้าชีว่า เรื่องนี้เป็นไปได้เพียงในช่วงเวลาของยุคแห่งการบรรจบพบกันเท่านั้น เมื่อพระเจ้าชีว่าได้อวตารลงมาก่อตั้งระเบียบโลกใหม่และทำลายล้างระเบียบโลกเก่า นับตั้งแต่ยุคทองแดงเริ่มมา ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณเดียวที่ได้กลับไปยังสวรรค์ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่ได้ลงมาจาก พารามธรรม (โลกวิญญาณ) ได้มีการเกิดซ้ำและกำลังอยู่ในโลกที่มีตัวตนนี้

ประตูของสวรรค์ที่กำลังจะมาถึง จะเปิดหลังจากการทำลายล้างของโลกเก่า เวลาแห่งการไปสวรรค์กำลังใกล้เข้ามาแลัว มีเพียงดวงวิญญาณที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยวิธาราชโยคะแล้วเท่านั้นที่จะได้ไปเกิดในสวรรค์ และดวงวิญญาณที่เหลือทั้งหมดจะพักอยู่ในพารามธรรมและจะลงมาอีกครั้งในโลกที่มีตัวตนในเวลาที่แน่นอนที่จะตามมาในวงจรหน้าของละครโลกนี้

ข้อสังเกต: มายาหมายถึงสำนึกแห่งความเป็นร่าง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของกิเลศทั้งห้า กิเลสนั้นแสดงตัวมันอยู่ในรูปใดรูปหนึ่งของบุคคลิกภาพที่อ่อนแอ ความล้มเหลว และ ความขาดแคลน ราวัน ปีศาจ หรือ ซาตาน นั้น มีความหมายใกล้เคียงกับมายา มายามีรูปที่ละเอียดอ่อนหลายรูป การฝึกฝนราชโยคะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ค้นพบสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากทั้งหมด


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Wednesday, May 15, 2013

ความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและผู้นำศาสนา

เราจะสังเกตได้จากการอธิบายต้นกัลปว่า บทบาทของพระเจ้าพ่อชีว่าและผู้ก่อตั้งศาสนาต่างๆแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พระเจ้าชีว่าเป็นเมล็ดของต้นกัลป แต่ผู้ก่อตั้งศาสนาเป็นเหมือนดอก และดวงวิญญาณ ที่เหลือเป็นเหมือนใบ พระเจ้าชีว่าเป็นพ่อสูงสุด (Parampita) ของดวงวิญญาณทั้งหมด ผู้ก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ นั้นเป็น พ่อที่สูงส่ง (Dharam Pitas) ของดวงวิญญาณซึ่งนับถือศาสนานั้น ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทุกดวงวิญญาณจึงมีพ่อสามคน
1. พ่อทางกาย(Lokik Pita)
2. พ่อสูงส่ง (Dharam Pita)
3. พระเจ้าผู้เป็นพ่อ (Param Pita)




ขณะที่พ่อสูงส่งได้ลงมายังโลกที่มีตัวตนตามบทบาทของพวกเขาในละครโลก ดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่นับถือ ศาสนาเหล่านั้นก็เริ่มตามพวกเขาลงมายังโลกนี้จากพารามธรรม ดังนั้นในหนทางนี้ผู้ก่อตั้งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะนำดวงวิญญาณเหล่านี้ลงมาบนโลกจากพารามธรรมภาระกิจของการนำดวงวิญญาณทั้งหมดกลับไปจาก โลกที่มีตัวตน (สนามของการกระทำ, Karam Kshetra) ไปยัง โลกที่ปราศจากร่าง (Paramdham) จะกระทำโดยพระเจ้าชีว่าตอนสิ้นกัลป

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าชีว่าเพียงเท่านั้นที่เป็นผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมด พ่อที่สูงส่งก็ทำงานในบทบาทของการบำรุงรักษาศาสนาของพวกเขาด้วยการกลับมาเกิดอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังไม่ได้กลับไปยังพารามธรรม ต้องรอจนกว่าละครโลกจะจบสิ้น ดวงวิญญาณที่นับถือศาสนาเหล่านี้ก็กลับมาเกิดในศาสนาของตนและดวงวิญญาณก็ลงมาเกิดเพิ่มบนโลกนี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือเหตุผลหลักว่าทำไมจำนวนของสาวกของทุก ๆ ศาสนาได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ก่อตั้งศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อการขยายศาสนาในโลกนี้ ขณะที่พระเจ้าชีว่าทำให้ศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้นจบสิ้นลงและมาสถาปนาศาสนาเทพดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งซึ่งเกิดเป็นลำต้นของต้นกัลป พ่อที่สูงส่งทุก ๆ คนได้ให้คำสอนของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้า ความหลากหลายในคำสอนของพวกเขามีมากมาย

ในทุกวันนี้ ในแต่ละศาสนาก็มีปรัชญาและรายละเอียดที่แตกต่างกันของพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้นำสารของพระเจ้า ถ้าเป็นผู้ที่นำสารจริงการสอนและข่าวสารของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้าจะต้องเหมือนกัน ดังนั้นพระเจ้าชีว่าจึงได้ลงมาบนโลกด้วยตัวท่านเอง เพื่อ เปิดเผยความรู้ของพรเจ้าที่เท้จริง 


ผู้นำศาสนาต่างทำให้การเสื่อมถอยช้าลง
ดวงวิญญาณผู้ก่อตั้งศาสนาทั้งหมดของศาสนาต่าง ๆ ลงมายังโลกใบนี้ระหว่างยุคทองแดงและยุคเหล็ก ซึ่งหมายความว่าเป็นครึ่งหลังของกัลปเมื่อโลกอยู่ในสภาพที่เก่า บทบาทของพวกเขาก็เปรียบได้กับผู้ที่ซ่อมแซมบ้านที่ทรุดโทรมผุพัง บ้านในที่นี้คือโลก ผลจากความเพียรพยายามของพวกเขาทำให้ความเร็วของความเสื่อมโทรมผุพังช้าลงแต่การเสื่อมทรามก็ยังคงดำเนินต่อไป และเมื่อเวลาสุดท้ายมาถึงก็จะไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับอยู่อาศัยได้อีกต่อไป นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาเพื่อก่อตั้งโลกใหม่ และทำลายโลกเก่า


พระเจ้าชีว่าเท่านั้นที่สามารถขจัดความไม่รู้
ระยะเวลาระหว่างที่ผู้นำศาสนาต่าง ๆ ได้ลงมายังโลก โลกถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา คำว่า กลางคืน ในที่นี้หมายถึงดวงวิญญาณอยู่ในความมืดหรือความไม่รู้นั่นเอง ระหว่างหลางคืนที่มืดมิดมนุษย์ใช้แสงที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อจัดการงานของพวกเขา เช่นกัน ระหว่างช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณอยู่ในความมืด พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากการชี้แนะที่มนุษย์ได้ให้ไว้คือคำสอนของผู้นำศาสนาที่เป็นมนุษย์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงทางศีลธรรมและจริยธรรม เหมือนกับแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นในรูปต่าง ๆ มีตั้งแต่ตะเกียงธรรมดาไปจนถึงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างทรงพลัง

ดังนั้นความรู้ทางดวงวิญญาณที่หาได้จากความคิดธรรมดาของนักบุญธรรมดา เปรียบดั่งเช่น แสงที่มนุษย์สร้างขึ้นที่มีพลังมากที่สุดก็ยังริบหรี่เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงและอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ เช่นกัน ปรัชญาของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ที่เปิดเผยโดยพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์พ่อชีว่าผู้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ญาณสุริยา" (Gyan Suriya) พระอาทิตย์แห่งความรู้


นัยสำคัญของ "ชีว่า ราตรี" (Shiva Ratri) 
เหมือนอย่างเช่นแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะมากเท่าไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลางคืนไปเป็นกลางวันได้ ซึ่งรุ่งอรุณนั้นจะมีได้เพียงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เช่นกันความมืดของความไม่รู้จะหายไปเพียงเมื่อพระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาบนโลก ในอินเดีย ประเพณี ชีว่า ราตรี ได้มีการเฉลิมฉลองทุกปีเพื่อเป็นการระลึกถึงการอวตารลงมาอันสูงส่งของพระเจ้า ชีว่า แล้วกลางคืนของบราห์มาก็จบสิ้นลงเมื่อนั้น ยุคทองและยุคเงินซึ่งถูกเรียกว่ากลางวันของบราห์มาก็จะมาแทนที่ ซึ่งในระหว่างเวลากลางวันนั้นแสงที่สร้างขึ้นก็ไม่มีความจำเป็น เช่นเดียวกันจึงไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนาซึ่งเป็นพ่อที่สูงส่งในยุคทองและยุคเงินเพราะว่าไม่มีความจำเป็น





ชีว่า-ราตรี การอวตารที่สูงส่งของพระเจ้า
เทศกาล ชีว่า-ราตรี นั้นมีการเฉลิมฉลองทุก ๆ ปี เพื่อรำลึกถึงการลงมาของชีว่า ณ เวลาที่มืดสนิทหรือขาดความรู้มากที่สุด (ที่แสดงให้เห็นโดยราตรีหรือกลางคืน) เพื่อปลดปล่อยโลกจากบ่วงพันธะของมายาหรือกิเลสทั้ง 5 กล่าวคือ ตัณหา ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยืดติด และความหยิ่งทะนงตน

ต้นไม้โลก


โลกมนุษย์เปรียบเหมือนต้นไม้กลับหัว เมล็ดและรากนั้นอยู่ข้างบน กิ่งก้านสาขาและใบแผ่ปกคลุมเบื้องล่าง มันเป็นโครงร่างที่ใช้เปิดเผยประวัติศาสตร์ทั้งกัลป (วงจรโลก) จากตอนต้นไปถึงตอนจบมันมีชื่อเรียกว่า "ต้นกัลป" ต้นไม้โลก หรือ ต้นไม้พันธุกรรมของมวลมนุษย์ 

ต้นกัลป 
เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็คือ พระเจ้าชีว่า ผู้สรรค์สร้างนั่นเอง ผู้ซึ่งสถิตย์อยู่ในที่สูงสุดเรียกว่า พารามธรรม เมล็ดพันธุ์อันหลากหลายที่ไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึกจะมีคุณสมบัติทั้งหมดของพันธุ์ไม้นั้นอยู่ภายในพระเจ้าชีว่าคือเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต ผู้ซึ่งมีความรู้ จุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางและจุดสุดท้ายของพันธุกรรมมนุษย์โลกอย่างสมบูรณ์ รากของต้นไม้นั้นก็คือ บราห์มิน โดยใช้บราห์มินเป็นเครื่องมือ พระเจ้าชีว่าได้สร้างสวรรค์ขึ้น ซึ่่งประกอบไปด้วย ยุคทองและยุคเงิน ซึ่งครึ่งหนึ่งของลำต้นต้นไม้นี้เป็นตัวแทนของสวรรค์ คือ สุริยราชวงศ์ของศรีลักษมีและศรีนารายัญผู้ซึ่งปกครองในยุคทอง และจันทรราชวงศ์ของศรีสีดาและศรีรามที่ปกครองในยุคเงิน ช่วงเวลาของยุคทั้งสองนี้มีความพิเศษด้วยการมีผู้ปกครองเดียว อาณาจักณเดียวและภาษาเดียวทั่วทั้งโลก
เทพผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครอง มีชื่อเรียกว่า "จักราวาดิ" (Chakravarti) มีอำนาจปกครองทั่วทั้งโลก ในช่วงของยุคนี้ ศาสนาทั่วทั้งจักรวาลคือ ศาสนาเทพโบราณ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma) ซึ่งเป็นศาสนาแรกและเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ไม่มีศาสนาอื่นใด ณ เวลานั้น ความบริสุทธิ์ ความสงบและความมั่งคั่งมีอยู่ทั่วไปบนโลก ทุกสิ่งในโลกอยู่ในสภาพที่ดีเลิศ เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมนั้นเบ่งบานและปราศจากกิเลส เต็มไปด้วยความสนุกสนานและปราศจากความกลัว ไม่มีความรุนแรงปรากฎให้เห็นแม้แต่ในหมู่สัตว์ มีคำเปรียบเปรยสำหรับยุคทองว่า สิงห์โตและวัวดื่มน้ำจากแอ่งน้ำเดียวกัน อินเดียในอดีตกาลนั้นมีชื่อเรียกว่า "ภารัต" ดินแดน "นกกระจอกทองคำ"


photo Tree_World_1_zps771459e1.jpg

ต้นไม้โลก
โลกเติบโตเหมือนต้นไม้ ในช่วงยุคทองและยุคเงิน มีเพียงศาสนาเดียวคือ ศาสนาเทพ กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดต่างศักดิ์สิทธิ์และเป็นเทพโดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงมีแต่ความสงบ ความรักและความมั่งมีอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ต่อมาภายหลัง สำนึกแห่งความเป็นร่างกายและกิเลสต่าง ๆ ปรากฏขึ้น ศาสนาต่าง ๆ และหน่อของศาสนานั้นปรากฏขึ้น ความเสื่อมถอยและเสื่อมโทรมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งจุดสุดท้ายของยุคเหล็ก เมื่อการกระทำของมนุษย์ที่มีกิเลสนำโลกไปสู่การทำลายล้างโดยอาวุธนิวเคลียร์และอื่น ๆ


แหล่งกำเนิดของศาสนาที่แตกต่างกัน
ตอนปลายของยุคเงินดวงวิญญาณซึ่งมาจากสุริยราชวงศ์และจันทรราชวงศ์ หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ได้หลงลืมตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาว่าเขาคือดวงวิญญาณและได้กลับกลายมามีสำนึกว่าตัวเองนั้นคือร่างกาย จึงเป็นการเริ่มต้นเของยุคทองแดง เนื่องจากการตกต่ำของศาสนาเทพโบราณจึงปรากฎให้เห็นศาสนาอื่น ๆ ที่แตกหน่อออกมาราวกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นกัลป เวลาได้ผ่านไป...ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ก็ลงมาจากพารามธรรมเพื่อมาก่อตั้งศาสนาที่แตกต่างเหล่านั้น ดวงวิญญาณหลักของผู้ก่อตั้งศาสนา ต่างๆ ที่ลงมาบนโลกคือ
อับบราฮัม ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม
พระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ
พระคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์เตียน
พระสังฆราจารย์ ผู้ก่อตั้งศาสนาซานยาสและ
พระโมฮัมเหม็ด ผู้ก่อตั้งศาสนามุสลิม
ศาสนาฮินดู ไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา

เมื่อเหล่าเทพสูญเสียความบริสุทธิ์และคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเทพอีกต่อไปและได้ชื่อใหม่ว่า ฮินดัส คนกลุ่มนี้เดิมทีเป็นผู้ที่นับถือศาสนาเทพ (ฮินดู) ได้กระจัดกระจายไปตามศาสนาใหม่ของโลกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ภายหลังจากผู้ก่อตั้งศาสนาได้ลงมาแล้ว ดวงวิญญาณอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาเหล่านั้นก็ตามลงมาจากพารามธรรม และนี่คือที่มาที่ว่าศาสนาเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างไร

คัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ก็ถูกเขียนขึ้นในยุคทองแดงนี้เองคัมภีร์สำคัญ ๆ สี่คัมภีร์ คือ
1. ศรีมัต ภควัต กีตะ ของศาสนาฮินดู (Shrimad Bhagwad Gita of Hinduism)
2. คัมภีร์ไบเบิ้ล ของศาสนาคริสต์ (Bible of Christianity)
3. คัมภีร์ไตรปิฎก ของศาสนาพุทธ (Dhampad)
4. คัมภีร์กูรอาน ของศาสนาอิสลาม (Quoran of lslam)




คัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้เขียนโดยผู้ก่อตั้งศาสนาเอง แต่เขียนโดยสาวกทั้งหลายในภายหลัง ในยุคทองแดงทุกสิ่งอยู่ในสภาพปานกลาง (Rajoguni) ประชากรโลกซึ่งมีน้อยมากในตอนเริ่มต้นยุคทองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในสวรรค์เคยมีเพียงศาสนาเดียว อาณาจักรเดียว มีผู้ปกครองเดียวและภาษาเดียว บัดนี้ความเป็นหนึ่งนี้ได้เกิดการแตกแยก มีศาสนาหลายศาสนา มีหลายอาณาจักร ราชวงศ์ที่ทำการปกครองมีหลายราชวงศ์และหลายภาษา ความสอดคล้องกลมกลืนของการอยู่ร่วมกันแตกกระจายไปสู่ความไม่ปรองดองกัน สิ่งนี้นำไปสู่การแข่งขันกัน ความไม่เป็นหนึ่งและความขัดแย้ง ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นสงคราม!


การเสื่อมของต้นไม้
ในกลียุคซึ่งติดตามยุคทองแดงมา กิ่งและก้านปรากฎบนต้นกัลปมากขึ้น ศาสนาหนึ่งที่เป็นที่น่าสังเกตคือ ศาสนาซิกซ์ ก่อตั้งโดย กูรูนานาค (Nanak) ศาสนาที่มีอยู่หลังจากผ่านสภาวะต่าง ๆ มาก็ถึงสภาวะสุดท้ายซึ่งเป็นสภาวะที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือการแบ่งแยกออกไปด้วยการแตกแยกไปเป็นลัทธิ นิกาย นิกายย่อยๆ สมาคม และสำนักต่างๆ มากมาย




เมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งก็กลับมาอยู่ในสภาพที่ไม่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ (Tamoguni) นั่นคือ ความตกต่ำเลวทรามเต็มไปด้วยกิเลส กิเลสทั้งห้ามีพลังควบคุมเหนือมวลมนุษย์ มีความมืดอย่างถึงที่สุดในทุกหนแห่ง ผู้คนกลับมาชั่วร้ายเลวทราม ระบบการปกครองโดยกษัตริย์ถูกยึดอำนาจ การปกครองโดยประชาชนถูกสถาปนาขึ้น สถานภาพของผู้หญิงถูกกดให้ต่ำ และพวกเธอถูกกำหนดให้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ปลดเปลื้องกามราคะ

ความคิดที่แตกต่างก็มามีอิทธิพลในครอบครัว ความไม่ชอบธรรม ความไร้ซึ่งศาสนา ความอยุติธรรม ความเห็นแก่ตัว การปนปลอม ตลาดมืด ติดสินบน ความลำเอียงจากการใช้ความเป็นพี่น้องเครือญาติเพื่อเป็นเครื่องตัดสิน การให้สิทธิพิเศษเข้ามาเกาะกุมสังคมมนุษย์ ความป่าเถื่อนมีอยู่ทั่วไป ความหายนะตามธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ การตายก่อนเวลาอันควร อุบัติเหตุ การหักหลัง การหมิ่นประมาท ความไม่ปลอดภัยและองค์ประกอบอื่นๆ อีกนับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ มนุษย์มีความทุกข์ทรมานที่ไม่สามารถพูดอธิบายได้ การแตกแยก ขยายไปจนถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง สงครามภูมิภาคและสงครามโลก!

ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล
เมื่อมาถึงจุดจบที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของกลียุค พระเจ้าพ่อชีว่าได้มาวางรากฐานของสวรรค์โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ยุคสั้นๆ ระหว่างจุดจบของกลียุคและเริ่มต้นของสัตยุคถูกเรียกว่า "ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล" หรือ Sangam Yuga พระเจ้าได้อวตารลงมาในร่างของบุคคลผู้ซึ่งกราบไหว้บูชาศรีนารายัญ ศรีนารายัญ นั้นมีค่าควรต่อการบูชาในตอนเริ่มต้นของยุคทองและบัดนี้ได้มาเกิดในรูปของผู้กราบไหว้บูชา พระเจ้าชีว่าตั้งชื่อท่านว่า ประชาปิตาบราห์มา และพระเจ้าก็สร้าง บราห์มิน โดยให้ความรู้ของพระเจ้าแก่พวกเขาผ่านปากของท่านบราห์มา

การพูดว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชาและเป็นผู้สักการบูชาใช้กับดวงวิญญาณบราห์มาอย่างแท้จริง ไม่ได้ใช้กับดวงวิญญาณสูงสุด พระเจ้าชีว่าเป็นผู้ซึ่งมีความบริสุทธิ์เป็นนิรันดร์และเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชา ในรูปของต้นกัลป บราห์มินถูกแสดงไว้ว่ากำลังนั่งสมาธิภายใต้ลำต้น นั่นคือในอาณาเขตที่เป็นราก บราห์มินคือรากของต้นกัลป

กองทัพทั้งหมดของบราห์มินผู้ปราศจากความรุนแรงถูกก่อตั้งโดยพระเจ้าชีว่า เพื่อกู้ชีวิตมวลมนุษย์ ในกองทัพกู้ภัยทางจิตนี้ พี่สาวน้องสาวและบรรดาแม่ทั้งหลายเป็นหลักของกองทัพ พวกเขารู้จักกันในฐานะว่าเป็น ชีพ ชัคตี (Shiv Shaktis) ดวงวิญญาณที่เอาชนะกิเลสทั้งห้าได้หมด ก็ถูกสร้างขึ้นเป็น พวงประคำแห่งชัยชนะ (Vijayanti Mala)

ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga) หน่อและต้นอ่อนของอารยธรรมใหม่ซึ่งมนุษย์จะมีความสนุกเพลิดเพลินภายในและมีความผสมกลมกลืนภายนอก ครอบครองคุณธรรมทั้งหมดและมีอารมณ์ที่อยู่บนศีลธรรมนำไปสู่การเปิดศักราชของโลกใหม่ ยุคของความยุติธรรมมาแทนที่ความอยุติธรรม ความยากจนถูกแทนที่โดยความมั่งคั่ง สุขภาพและคุณธรรมมาทดแทนความเหลงไหลและหยาบคาย นำไปสู่การจบสิ้นซึ่งความขัดแย้ง การสูญเสีย เหตุแห่งทุกข์ ความริษยา หยิ่งทะนง ของกลียุคทั้งหมด (ยุคเหล็ก)


การทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมด
นี่เป็นเวลาแห่งจุดจบของกลียุค มันเป็นเวลาของการทำลายล้างทุกสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหมด กิเลสจะถูกทำลายโดยสงครามกลางเมือง ความหายนะของธรรมชาติ อาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาจะต่อสู้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์และเป็นเหตุของการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ความชั่วร้ายจะทำลายตัวมันเอง ในรูปของต้นกัลป มหาอำนาจทางนิวเคลียร์ถูกแสดงให้เห็นเป็นแมวป่าสองตัวต่อสู้กันเพื่อการปกครองโลก ในไม่ช้าการต่อสู้ก็ขยายมากขึ้นไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างธรรมและอธรรม ก่อนวันพิพากษา ซึ่งเป็นระฆังบอกถึงความตายของพวกเขา




อะไรเกิดขึ้นหลังการทำลายล้าง? 
ในสงครามนิวเคลียร์ซึ่งเป็นสงครามล้างโลกจะตามมาด้วยความหายนะทางธรรมชาิติ มวลมนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทำลาย ดวงวิญญาณทั้งหมดคืนสู่พารามธรรม หลังจากที่ได้รับการลงโทษต่อบาปที่พวกเขาได้ทำไว้โดยผ่าน ธรรมราช (Dharamraj) คือผู้ชี้ขาดสูงสุด โลกไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง มันเปลี่ยนแปลงและดำเนินต่อไป หลังจากการทำลายล้างความชั่วร้ายแล้ว สวรรค์ก็จะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว นั่นคือ บราห์มินที่แท้จริงจะเป็นผู้ซึ่งจะกลับมาเกิดเป็นเทพของยุคทอง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหลายชั่วอายุ ณ เวลานี้เราอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล ส่วนใหญ่ของช่วงเวลานี้ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อย การทำลายโลกกิเลส คือ กลียุคก็เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้น ณ บัดนี้จงพยายามอย่างที่สุดที่จะกลับกลายมาเป็นเทพ เหมือนศรีลักษมีหรือศรีนารายัญ มิฉะนั้นมันก็จะสายเกินไป!



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ