โลกมนุษย์เปรียบเหมือนต้นไม้กลับหัว เมล็ดและรากนั้นอยู่ข้างบน กิ่งก้านสาขาและใบแผ่ปกคลุมเบื้องล่าง มันเป็นโครงร่างที่ใช้เปิดเผยประวัติศาสตร์ทั้งกัลป (วงจรโลก) จากตอนต้นไปถึงตอนจบมันมีชื่อเรียกว่า "ต้นกัลป" ต้นไม้โลก หรือ ต้นไม้พันธุกรรมของมวลมนุษย์
ต้นกัลป
เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็คือ พระเจ้าชีว่า ผู้สรรค์สร้างนั่นเอง ผู้ซึ่งสถิตย์อยู่ในที่สูงสุดเรียกว่า พารามธรรม เมล็ดพันธุ์อันหลากหลายที่ไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึกจะมีคุณสมบัติทั้งหมดของพันธุ์ไม้นั้นอยู่ภายในพระเจ้าชีว่าคือเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต ผู้ซึ่งมีความรู้ จุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางและจุดสุดท้ายของพันธุกรรมมนุษย์โลกอย่างสมบูรณ์ รากของต้นไม้นั้นก็คือ บราห์มิน โดยใช้บราห์มินเป็นเครื่องมือ พระเจ้าชีว่าได้สร้างสวรรค์ขึ้น ซึ่่งประกอบไปด้วย ยุคทองและยุคเงิน ซึ่งครึ่งหนึ่งของลำต้นต้นไม้นี้เป็นตัวแทนของสวรรค์ คือ สุริยราชวงศ์ของศรีลักษมีและศรีนารายัญผู้ซึ่งปกครองในยุคทอง และจันทรราชวงศ์ของศรีสีดาและศรีรามที่ปกครองในยุคเงิน ช่วงเวลาของยุคทั้งสองนี้มีความพิเศษด้วยการมีผู้ปกครองเดียว อาณาจักณเดียวและภาษาเดียวทั่วทั้งโลก
เทพผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครอง มีชื่อเรียกว่า "จักราวาดิ" (Chakravarti) มีอำนาจปกครองทั่วทั้งโลก ในช่วงของยุคนี้ ศาสนาทั่วทั้งจักรวาลคือ ศาสนาเทพโบราณ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma) ซึ่งเป็นศาสนาแรกและเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ไม่มีศาสนาอื่นใด ณ เวลานั้น ความบริสุทธิ์ ความสงบและความมั่งคั่งมีอยู่ทั่วไปบนโลก ทุกสิ่งในโลกอยู่ในสภาพที่ดีเลิศ เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมนั้นเบ่งบานและปราศจากกิเลส เต็มไปด้วยความสนุกสนานและปราศจากความกลัว ไม่มีความรุนแรงปรากฎให้เห็นแม้แต่ในหมู่สัตว์ มีคำเปรียบเปรยสำหรับยุคทองว่า สิงห์โตและวัวดื่มน้ำจากแอ่งน้ำเดียวกัน อินเดียในอดีตกาลนั้นมีชื่อเรียกว่า "ภารัต" ดินแดน "นกกระจอกทองคำ"
ต้นไม้โลก
โลกเติบโตเหมือนต้นไม้ ในช่วงยุคทองและยุคเงิน มีเพียงศาสนาเดียวคือ ศาสนาเทพ กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดต่างศักดิ์สิทธิ์และเป็นเทพโดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงมีแต่ความสงบ ความรักและความมั่งมีอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ต่อมาภายหลัง สำนึกแห่งความเป็นร่างกายและกิเลสต่าง ๆ ปรากฏขึ้น ศาสนาต่าง ๆ และหน่อของศาสนานั้นปรากฏขึ้น ความเสื่อมถอยและเสื่อมโทรมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งจุดสุดท้ายของยุคเหล็ก เมื่อการกระทำของมนุษย์ที่มีกิเลสนำโลกไปสู่การทำลายล้างโดยอาวุธนิวเคลียร์และอื่น ๆแหล่งกำเนิดของศาสนาที่แตกต่างกัน
ตอนปลายของยุคเงินดวงวิญญาณซึ่งมาจากสุริยราชวงศ์และจันทรราชวงศ์ หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ได้หลงลืมตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาว่าเขาคือดวงวิญญาณและได้กลับกลายมามีสำนึกว่าตัวเองนั้นคือร่างกาย จึงเป็นการเริ่มต้นเของยุคทองแดง เนื่องจากการตกต่ำของศาสนาเทพโบราณจึงปรากฎให้เห็นศาสนาอื่น ๆ ที่แตกหน่อออกมาราวกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นกัลป เวลาได้ผ่านไป...ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ก็ลงมาจากพารามธรรมเพื่อมาก่อตั้งศาสนาที่แตกต่างเหล่านั้น ดวงวิญญาณหลักของผู้ก่อตั้งศาสนา ต่างๆ ที่ลงมาบนโลกคือ
อับบราฮัม ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม
พระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ
พระคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์เตียน
พระสังฆราจารย์ ผู้ก่อตั้งศาสนาซานยาสและ
พระโมฮัมเหม็ด ผู้ก่อตั้งศาสนามุสลิม
ศาสนาฮินดู ไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา
เมื่อเหล่าเทพสูญเสียความบริสุทธิ์และคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเทพอีกต่อไปและได้ชื่อใหม่ว่า ฮินดัส คนกลุ่มนี้เดิมทีเป็นผู้ที่นับถือศาสนาเทพ (ฮินดู) ได้กระจัดกระจายไปตามศาสนาใหม่ของโลกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ภายหลังจากผู้ก่อตั้งศาสนาได้ลงมาแล้ว ดวงวิญญาณอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาเหล่านั้นก็ตามลงมาจากพารามธรรม และนี่คือที่มาที่ว่าศาสนาเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างไร
คัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ก็ถูกเขียนขึ้นในยุคทองแดงนี้เองคัมภีร์สำคัญ ๆ สี่คัมภีร์ คือ
1. ศรีมัต ภควัต กีตะ ของศาสนาฮินดู (Shrimad Bhagwad Gita of Hinduism)
2. คัมภีร์ไบเบิ้ล ของศาสนาคริสต์ (Bible of Christianity)
3. คัมภีร์ไตรปิฎก ของศาสนาพุทธ (Dhampad)
4. คัมภีร์กูรอาน ของศาสนาอิสลาม (Quoran of lslam)
คัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้เขียนโดยผู้ก่อตั้งศาสนาเอง แต่เขียนโดยสาวกทั้งหลายในภายหลัง ในยุคทองแดงทุกสิ่งอยู่ในสภาพปานกลาง (Rajoguni) ประชากรโลกซึ่งมีน้อยมากในตอนเริ่มต้นยุคทองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในสวรรค์เคยมีเพียงศาสนาเดียว อาณาจักรเดียว มีผู้ปกครองเดียวและภาษาเดียว บัดนี้ความเป็นหนึ่งนี้ได้เกิดการแตกแยก มีศาสนาหลายศาสนา มีหลายอาณาจักร ราชวงศ์ที่ทำการปกครองมีหลายราชวงศ์และหลายภาษา ความสอดคล้องกลมกลืนของการอยู่ร่วมกันแตกกระจายไปสู่ความไม่ปรองดองกัน สิ่งนี้นำไปสู่การแข่งขันกัน ความไม่เป็นหนึ่งและความขัดแย้ง ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นสงคราม!
การเสื่อมของต้นไม้
ในกลียุคซึ่งติดตามยุคทองแดงมา กิ่งและก้านปรากฎบนต้นกัลปมากขึ้น ศาสนาหนึ่งที่เป็นที่น่าสังเกตคือ ศาสนาซิกซ์ ก่อตั้งโดย กูรูนานาค (Nanak) ศาสนาที่มีอยู่หลังจากผ่านสภาวะต่าง ๆ มาก็ถึงสภาวะสุดท้ายซึ่งเป็นสภาวะที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือการแบ่งแยกออกไปด้วยการแตกแยกไปเป็นลัทธิ นิกาย นิกายย่อยๆ สมาคม และสำนักต่างๆ มากมาย
เมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งก็กลับมาอยู่ในสภาพที่ไม่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ (Tamoguni) นั่นคือ ความตกต่ำเลวทรามเต็มไปด้วยกิเลส กิเลสทั้งห้ามีพลังควบคุมเหนือมวลมนุษย์ มีความมืดอย่างถึงที่สุดในทุกหนแห่ง ผู้คนกลับมาชั่วร้ายเลวทราม ระบบการปกครองโดยกษัตริย์ถูกยึดอำนาจ การปกครองโดยประชาชนถูกสถาปนาขึ้น สถานภาพของผู้หญิงถูกกดให้ต่ำ และพวกเธอถูกกำหนดให้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ปลดเปลื้องกามราคะ
ความคิดที่แตกต่างก็มามีอิทธิพลในครอบครัว ความไม่ชอบธรรม ความไร้ซึ่งศาสนา ความอยุติธรรม ความเห็นแก่ตัว การปนปลอม ตลาดมืด ติดสินบน ความลำเอียงจากการใช้ความเป็นพี่น้องเครือญาติเพื่อเป็นเครื่องตัดสิน การให้สิทธิพิเศษเข้ามาเกาะกุมสังคมมนุษย์ ความป่าเถื่อนมีอยู่ทั่วไป ความหายนะตามธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ การตายก่อนเวลาอันควร อุบัติเหตุ การหักหลัง การหมิ่นประมาท ความไม่ปลอดภัยและองค์ประกอบอื่นๆ อีกนับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ มนุษย์มีความทุกข์ทรมานที่ไม่สามารถพูดอธิบายได้ การแตกแยก ขยายไปจนถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง สงครามภูมิภาคและสงครามโลก!
ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล
เมื่อมาถึงจุดจบที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของกลียุค พระเจ้าพ่อชีว่าได้มาวางรากฐานของสวรรค์โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ยุคสั้นๆ ระหว่างจุดจบของกลียุคและเริ่มต้นของสัตยุคถูกเรียกว่า "ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล" หรือ Sangam Yuga พระเจ้าได้อวตารลงมาในร่างของบุคคลผู้ซึ่งกราบไหว้บูชาศรีนารายัญ ศรีนารายัญ นั้นมีค่าควรต่อการบูชาในตอนเริ่มต้นของยุคทองและบัดนี้ได้มาเกิดในรูปของผู้กราบไหว้บูชา พระเจ้าชีว่าตั้งชื่อท่านว่า ประชาปิตาบราห์มา และพระเจ้าก็สร้าง บราห์มิน โดยให้ความรู้ของพระเจ้าแก่พวกเขาผ่านปากของท่านบราห์มา
การพูดว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชาและเป็นผู้สักการบูชาใช้กับดวงวิญญาณบราห์มาอย่างแท้จริง ไม่ได้ใช้กับดวงวิญญาณสูงสุด พระเจ้าชีว่าเป็นผู้ซึ่งมีความบริสุทธิ์เป็นนิรันดร์และเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชา ในรูปของต้นกัลป บราห์มินถูกแสดงไว้ว่ากำลังนั่งสมาธิภายใต้ลำต้น นั่นคือในอาณาเขตที่เป็นราก บราห์มินคือรากของต้นกัลป
กองทัพทั้งหมดของบราห์มินผู้ปราศจากความรุนแรงถูกก่อตั้งโดยพระเจ้าชีว่า เพื่อกู้ชีวิตมวลมนุษย์ ในกองทัพกู้ภัยทางจิตนี้ พี่สาวน้องสาวและบรรดาแม่ทั้งหลายเป็นหลักของกองทัพ พวกเขารู้จักกันในฐานะว่าเป็น ชีพ ชัคตี (Shiv Shaktis) ดวงวิญญาณที่เอาชนะกิเลสทั้งห้าได้หมด ก็ถูกสร้างขึ้นเป็น พวงประคำแห่งชัยชนะ (Vijayanti Mala)
ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga) หน่อและต้นอ่อนของอารยธรรมใหม่ซึ่งมนุษย์จะมีความสนุกเพลิดเพลินภายในและมีความผสมกลมกลืนภายนอก ครอบครองคุณธรรมทั้งหมดและมีอารมณ์ที่อยู่บนศีลธรรมนำไปสู่การเปิดศักราชของโลกใหม่ ยุคของความยุติธรรมมาแทนที่ความอยุติธรรม ความยากจนถูกแทนที่โดยความมั่งคั่ง สุขภาพและคุณธรรมมาทดแทนความเหลงไหลและหยาบคาย นำไปสู่การจบสิ้นซึ่งความขัดแย้ง การสูญเสีย เหตุแห่งทุกข์ ความริษยา หยิ่งทะนง ของกลียุคทั้งหมด (ยุคเหล็ก)
การทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมด
นี่เป็นเวลาแห่งจุดจบของกลียุค มันเป็นเวลาของการทำลายล้างทุกสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหมด กิเลสจะถูกทำลายโดยสงครามกลางเมือง ความหายนะของธรรมชาติ อาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาจะต่อสู้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์และเป็นเหตุของการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ความชั่วร้ายจะทำลายตัวมันเอง ในรูปของต้นกัลป มหาอำนาจทางนิวเคลียร์ถูกแสดงให้เห็นเป็นแมวป่าสองตัวต่อสู้กันเพื่อการปกครองโลก ในไม่ช้าการต่อสู้ก็ขยายมากขึ้นไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างธรรมและอธรรม ก่อนวันพิพากษา ซึ่งเป็นระฆังบอกถึงความตายของพวกเขา
อะไรเกิดขึ้นหลังการทำลายล้าง?
ในสงครามนิวเคลียร์ซึ่งเป็นสงครามล้างโลกจะตามมาด้วยความหายนะทางธรรมชาิติ มวลมนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทำลาย ดวงวิญญาณทั้งหมดคืนสู่พารามธรรม หลังจากที่ได้รับการลงโทษต่อบาปที่พวกเขาได้ทำไว้โดยผ่าน ธรรมราช (Dharamraj) คือผู้ชี้ขาดสูงสุด โลกไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง มันเปลี่ยนแปลงและดำเนินต่อไป หลังจากการทำลายล้างความชั่วร้ายแล้ว สวรรค์ก็จะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว นั่นคือ บราห์มินที่แท้จริงจะเป็นผู้ซึ่งจะกลับมาเกิดเป็นเทพของยุคทอง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหลายชั่วอายุ ณ เวลานี้เราอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล ส่วนใหญ่ของช่วงเวลานี้ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อย การทำลายโลกกิเลส คือ กลียุคก็เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้น ณ บัดนี้จงพยายามอย่างที่สุดที่จะกลับกลายมาเป็นเทพ เหมือนศรีลักษมีหรือศรีนารายัญ มิฉะนั้นมันก็จะสายเกินไป!
จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
No comments:
Post a Comment