ดวงวิญญาณมนุษย์เกิดได้มาที่สุด 84 ชาติ
ในหนึ่งกัลป ดวงวิญญาณของมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติเกิด ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลา 5,000 ปี เรื่องราวการกลับชาติมาเกิดจำนวนชาติเกิด และสภาวะที่ผ่านยุคทั้งสี่ของดวงวิญญาณดวงหนึ่งสามารถแสดงได้โดยบันได 84 ขั้น
เรื่องราวของดวงวิญญาณมนุษย์ที่ใช้ชาติเกิด 84 ชาติ
ดวงวิญญาณมนุษย์สามารถที่จะเกิดได้มากที่สุดเพียง 84 ชาติ ในละครโลกที่มีระยะเวลา 5,000 ปี ในช่วงบนของบันไดชีวิตมนุษย์เป็นเทพที่สูงส่ง แต่ในช่วงท้ายของบันไดชีวิตมนุษย์กลับกลายเป็นปีศาจ เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ตกต่ำอย่างที่สุดแล้ว พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้ลงมาเพื่อยกระดับและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์เพื่อการกลับไปเป็นเทพอีกครั้งหนึ่ง
8 ชาติของยุคทอง
ดวงวิญญาณเกิด 8 ชาติในยุคทอง ช่วงระยะเวลาของยุคนี้ 1,250 ปี ซึ่งหมายความว่าอายุเฉลี่ยประมาณ 150 ปี นี่เป็นเพราะพลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณและของวัตถุธาตุ ดวงวิญญาณและธาตุธรรมชาติไม่เพียงแต่จะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่ยังคงอยู่อย่างประสานกลมกลืนมีความสมดุลย์ระหว่างกันและกันอย่างสมบูรณ์
ประชากรก็มีจำกัดมาก ในตอนแรกแห่งยุคทองซึ่งมีเพียง 900,000 คน ลักษณะของชีวิตที่นั่นมีความสงบ ความเจริญรุ่งเรืองและปิติสุขสูงสุด นับเป็นยุคของความสมบูรณ์เหลือล้น ที่เปรียบว่าเป็นช่วงของเวลาของน้ำนมและน้ำผึ้ง ยุคที่กฎสูงสุดมีความสมบูรณ์และมีระเบียบปรากฎอยู่ทั่วโลก (Divya Maryada) ความป่วยไข้ ความทุกข์ ความกังวล ความโศกเศร้า ไม่เป็นที่รู้จัก ณ ที่นั้น ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง และความสมบูรณ์ของพวกเขาใช้แทนด้วยความเต็มเปี่ยม 16 องศาของพระจันทร์เต็มดวง นี่เรียกว่า สาโทปราทาน (Satopradhan -ความถูกต้องสูงสุด) ซึ่งเป็นสภาวะของดวงวิญญาณที่อยู่ในยุคทอง ผู้คนในยุคนี้ถูกเรียกว่าเป็น เทพ (Devta Varna) ศรีลักษมีและศรีนารายัญแห่งสุริยราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในช่วงยุคทอง
12 ชาติเกิดในยุคเงิน
จำนวนชาติเกิดทั้งหมดในยุคเงินคือ 12 ชาติ ในยุคนี้ 1,250 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ดวงวิญญาณในยุคนี้อยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสและสมบูรณ์พร้อมถึง 14 องศา เมื่อเปรียบเทียบกับ 16 องศา ในยุคทอง สภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นสภาพ สาโทกูนี (Satoguni-ความถูกต้อง) ของดวงวิญญาณ ชีวิตยังเต็มไปด้วยความสุขและความปิติถึงแม้ว่าระดับจะน้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับยุคทอง ศรีสีดาและศรีรามแห่งจันทรราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในยุคเงิน ผู้คนในยุคนี้เป็นสกุลนักรบ (Kshatriya Varan)
ด้วยเหตุนี้คันธนูจึงได้แสดงไวั้เป็นเครื่องประดับของศรีราม นี่ไม่ได้หมายความว่ามีสงครามหรือมีความขัดแย้งในยุคเงิน เช่นเดียวกันกับยุคทอง ยุคเงินก็เต็มไปด้วยความสงบและความไม่มีความรุนแรงด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ถูกเรียกว่านับรบเพราะในชาติสุดท้ายของวงจรโลก พวกเขามีความอุตสาหะที่จะมีชัยชนะเหนือกิเลสต่างๆ แต่พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับมายาในขณะที่การทำลายล้างโลกเกิดขึ้นในตอนจบของกลียุค ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับสภาวะความบริสุทธิ์ (สูงถึง 16 องศา) เช่นเทพแห่งยุคทองที่ลงมาก่อนพวกเขา
(Ram Rajya and Ravan Rajya)
ดวงวิญญาณเกิดมาอย่างต่อเนื่องในยุคทองและยุคเงิน ซึ่งสองยุคนี้จะเป็นสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิตในยุคนี้รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์ มันถูกเรียกว่าเป็นอาณาจักรของราม ซึ่งหมายถึงเป็นอาณาจักรที่เป็นสวรรค์ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า (คำว่า ราม ที่ใช้ ณ ที่นี่มีความหมายเหมือนกับพระเจ้าผู้ไร้ร่่าง โดยเป็นประเพณีที่ฝึกปฏิบัติสืบทอดกันมาในชนหมู่ใหญ่ของผู้สักการะบูชาชาวฮินดู) ในครึ่งแรกของกัลปซึ่งมีระยะเวลา 2,500 ปี แม้แต่มนุษย์ทุกวันนี้ก็ร้องเพลงสรรเสริญอาณาจักรของราม
หลังอาณาจักรของรามก็ตามมาโดยอาณาจักรของราวัน (Ravan Rajya) ประกอบด้วยยุคทองแดงและกลียุค มีชื่อเรียกว่า นรก นรกเป็นครึ่งหลังของกัลปมีระยะเวลา 2,500 ปีเช่นกัน สภาพที่มีอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของราวันเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับอาณาจักรของราม ช่วงเวลานี้ดวงวิญญาณที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในอาณาจักรของ ราวันก็อยู่ในสภาวะที่ชีวิตของพวกเขาติดบ่วงพันธะ
21 ชาติในยุคทองแดง
ในยุคทองแดงมรดกของพ่อผู้เป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้หมดไปและช่วงเวลาของนรกก็เริ่มขึ้น ผู้คนมีสำนึกเป็นร่าง กิเลสเริ่มปรากฏขึ้น ความสงบ ความปิติและความสุขได้เริ่มหายไปทีละน้อยๆ ราชวงศ์ผู้ซึ่งมีมงกุฎสองชั้นของเทพและกษัตริย์ผู้ปกครองโลกก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป มีศาสนามากมาย หลายอาณาจักร หลายผู้ปกครองและหลายภาษาปรากฎขึ้นตามกันมา
ขณะที่เทพผู้ปกครองสวรรค์ผู้เคยมีมงกุฎสองชั้นและมีสมญานามว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดหายไป ก็มีผู้ปกครองของยุคทองแดงมีเพียงมงกุฎที่ประดับด้วยเพชรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้มีสถานภาพที่ร่ำรวยทางวัตถุและเป็นตำแหน่งที่สูงของเขามาแทน พวกเขาไม่ได้มีมงกุฎที่สองของความบริสุทธิ์ที่ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งแสงและเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มงกุฎแห่งแสงได้ไปปรากฎอยู่ที่ผู้นำศาสนาอย่างไรก็ตามผู้นำศาสนาก็ไม่ได้ครอบครองมงกุฎของความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้ ในยุคนี้มงกุฎของความศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎของความสูงส่งได้ถูกแยกออกจากกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อำนาจทางศาสนา และอำนาจการปกครอง ได้แยกออกจากกัน
ในยุคทองแดงการบูชากราบไหว้ก็เริ่มขึ้น ผู้ที่เคยมีค่าควรแก่การบูชา เป็นเทพบัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้เพราะว่าพวกเขาไม่มีความบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสอีกต่อไป สภาวะของดวงวิญญาณจึงอยู่ในระดับปานกลาง ความบริสุทธิ์ลดลงเหลือ 8 องศา วรรณะของพวกเขาก็ต่ำลง พวกเขาถูกจัดอยู่ในวรรณะพ่อค้า (ชั้นที่สอง) ระยะเวลา 1,250 ปีของยุคทองแดงดวงวิญญาณมนุษย์เกิด 21 ชาติ ช่วงอายุก็ลดลงไปด้วยตามลำดับ
42 ชาติในกลียุค
ในกลียุคหรือยุคเหล็กนั้น ดวงวิญญาณสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สภาพ ทาโมกุนา (Tamoguna) ซึ่งหมายความว่าต่ำสุด อุปนิสัยที่ผิดได้กลับมามีอำนาจมากกว่า โลกได้แบ่งเป็นหลายร้อยรัฐ เป็นรัฐใหญ่และรัฐเล็ก เหล่ากษัตริย์ถูกชิงอำนาจหรือถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงในนาม ระบบของรัฐบาลที่แพร่หลายคือ ประชาตันตระ (Praja Tantra) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลของประชาชนโดยประชาชน
ในยุคนี้สภาพไร้กฎหมายปรากฏขึ้นสู่จุดสูงสุด สังคมทำตามอำเภอใจโดยปราศจากความอาย ผู้หญิงถูกตีค่าเป็นเพียงตุ๊กตาแห่งกามารมณ์ สภาพไร้ศีลธรรมขึ้นสู่จุดสูงสุด การบูชากราบไหว้ไปสู่สภาพที่ตกต่ำ และมีรูปแบบที่เสื่อมถอยที่สุด รูปปั้นของเทพและเทวีมากมายถูกทำขึ้นมาบูชากราบไหว้แล้วก็เอารูปปั้นเหล่านั้นไปทิ้งในแม่น้ำ ฯลฯ การบูชายัญด้วยสัตว์ต่างๆ โดยมนุษย์ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอโทษต่อเทพเจ้า กล่าวง่ายๆ คือ ความเชื่อที่มืดบอดปกคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลในยุคนี้จัดอยู่ในประเภท ศูทร (Sudra) ซึ่งหมายถึงผู้คนที่มีกิเลสชั่วร้ายและหมายถึงสภาพจิตที่สกปรกต่ำต้อย ศูทร (Sudra) ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรแตะต้อง เป็นเพราะพวกเขาได้รับเชื้อโรคร้ายของกิเลสทั้งห้าไว้อย่างมากมายแล้วพวกเขาก็นำไปติดผู้อื่น
คนทั้งหมดของกลียุคได้รับผลกระทบจากกิเลสทั้งหลายในระดับที่แตกต่างกันไปพวกเขาก็ถ่ายทอดกิเลสไห้แก่กันและกันเป็นอาจิณ ซึ่งก่อให้เกิดวงจรแห่งกิเลส คำว่า "ศูทร" (Sudra) (ไม่ควรจะแตะต้องเป็นอันขาด) ถ่ายทอดความหมายของการมีกิเลสในตัวมนุษย์ไม่ใช่วรรณะ หรือผู้ที่มีอาชีพเป็นคนคุ้ยขยะ ในยุคเหล็ก 1,250 ปี ดวงวิญญาณเกิด 42 ชาติ อายุเฉลี่ยนั้นต่ำสุดในยุคนี้ การทำแท้ง การตายของทารก การตายจากอุบัติเหตุและการตายของเด็กที่เกิดก่อนกำหนดเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้
จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
ในยุคทองแดงการบูชากราบไหว้ก็เริ่มขึ้น ผู้ที่เคยมีค่าควรแก่การบูชา เป็นเทพบัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้เพราะว่าพวกเขาไม่มีความบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสอีกต่อไป สภาวะของดวงวิญญาณจึงอยู่ในระดับปานกลาง ความบริสุทธิ์ลดลงเหลือ 8 องศา วรรณะของพวกเขาก็ต่ำลง พวกเขาถูกจัดอยู่ในวรรณะพ่อค้า (ชั้นที่สอง) ระยะเวลา 1,250 ปีของยุคทองแดงดวงวิญญาณมนุษย์เกิด 21 ชาติ ช่วงอายุก็ลดลงไปด้วยตามลำดับ
42 ชาติในกลียุค
ในกลียุคหรือยุคเหล็กนั้น ดวงวิญญาณสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สภาพ ทาโมกุนา (Tamoguna) ซึ่งหมายความว่าต่ำสุด อุปนิสัยที่ผิดได้กลับมามีอำนาจมากกว่า โลกได้แบ่งเป็นหลายร้อยรัฐ เป็นรัฐใหญ่และรัฐเล็ก เหล่ากษัตริย์ถูกชิงอำนาจหรือถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงในนาม ระบบของรัฐบาลที่แพร่หลายคือ ประชาตันตระ (Praja Tantra) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลของประชาชนโดยประชาชน
ในยุคนี้สภาพไร้กฎหมายปรากฏขึ้นสู่จุดสูงสุด สังคมทำตามอำเภอใจโดยปราศจากความอาย ผู้หญิงถูกตีค่าเป็นเพียงตุ๊กตาแห่งกามารมณ์ สภาพไร้ศีลธรรมขึ้นสู่จุดสูงสุด การบูชากราบไหว้ไปสู่สภาพที่ตกต่ำ และมีรูปแบบที่เสื่อมถอยที่สุด รูปปั้นของเทพและเทวีมากมายถูกทำขึ้นมาบูชากราบไหว้แล้วก็เอารูปปั้นเหล่านั้นไปทิ้งในแม่น้ำ ฯลฯ การบูชายัญด้วยสัตว์ต่างๆ โดยมนุษย์ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอโทษต่อเทพเจ้า กล่าวง่ายๆ คือ ความเชื่อที่มืดบอดปกคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลในยุคนี้จัดอยู่ในประเภท ศูทร (Sudra) ซึ่งหมายถึงผู้คนที่มีกิเลสชั่วร้ายและหมายถึงสภาพจิตที่สกปรกต่ำต้อย ศูทร (Sudra) ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรแตะต้อง เป็นเพราะพวกเขาได้รับเชื้อโรคร้ายของกิเลสทั้งห้าไว้อย่างมากมายแล้วพวกเขาก็นำไปติดผู้อื่น
คนทั้งหมดของกลียุคได้รับผลกระทบจากกิเลสทั้งหลายในระดับที่แตกต่างกันไปพวกเขาก็ถ่ายทอดกิเลสไห้แก่กันและกันเป็นอาจิณ ซึ่งก่อให้เกิดวงจรแห่งกิเลส คำว่า "ศูทร" (Sudra) (ไม่ควรจะแตะต้องเป็นอันขาด) ถ่ายทอดความหมายของการมีกิเลสในตัวมนุษย์ไม่ใช่วรรณะ หรือผู้ที่มีอาชีพเป็นคนคุ้ยขยะ ในยุคเหล็ก 1,250 ปี ดวงวิญญาณเกิด 42 ชาติ อายุเฉลี่ยนั้นต่ำสุดในยุคนี้ การทำแท้ง การตายของทารก การตายจากอุบัติเหตุและการตายของเด็กที่เกิดก่อนกำหนดเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้
จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
No comments:
Post a Comment