หนทางของการบูชากราบไหว้
หนทางของการบูชากราบไหว้ หรือ บัคตี (Bhakti) รวมถึงธรรมเนียมปฏิบัติทั้งหมด พิธีกรรมทางศาสนา การฝึกปฏิบัติทางศาสนา รูปแบบของการสวดอ้อนวอนและการบูชากราบไหว้ในทุกส่วนของโลก ปรัชญาที่อยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาในการบูชากราบไหว้ด้วย การบูชากราบไหว้เริ่มต้นในยุคทองแดง ผู้คนนำการบูชากราบไหว้เข้ามาเนื่องจากความรู้เรื่องพระเจ้าได้ขาดหายไป เริ่มต้นด้วยการบูชา ชีว่า ลิงก้า (Shiva Linga) รูปไข่วงรี สัญลักษณ์ของพระเจ้า
ชีว่าผู้ปราศจากร่าง กษัตริย์วิกรมมากิตยา (King Vikramakitya) สร้างวัดชีว่าขึ้นเป็นวัดแรกที่ โสมนาถ (Somnath) ในรัฐกุจราช (Gujarat) ทางอินเดียตะวันตก การบูชาพระเจ้าพ่อชีว่าเป็นที่รู้จักกันในนามของ การบูชากราบไหว้ที่บริสุทธิ์ Avyabhichart ("Avyabhichari" Bhakti) เป็นการบูชาอันใสสะอาดต่อพระเจ้าผู้เดียว
การแบ่งแยกของการบูชากราบไหว้
หลังจากนั้นไม่นาน รูปเคารพและภาพเคารพอื่น ๆ ก็ถูกทำขึ้นเพื่อการบูชากราบไหว้ การบูชากราบไหว้เกิดการแตกแยกขึ้น การบูชากราบไหว้นี้เรียกว่า Vyabhichari (Vyabhichari Bhakti) หมายถึงการบูชาเทพหลายองค์ในรูปของรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์และภาพศักดิ์สิทธิ์ รูปปั้นที่ใช้บูชาเคยเป็นเทพละเอียดซึ่งกลายมาเป็นเทพที่มีตัวตนใน สัตยุค (ยุคทอง) นั่นคือ ศรีลักษมีและศรีนารายัญ ต่อมาก็ ศรีรามและศรีสีดาก็ถูกนำมาบูชาเพิ่ม
เมื่อดวงวิญญาณของผู้ก่อตั้งศาสนาลงมาจากพารามธรรมและก่อตั้งศาสนาของตนเองขึ้น พวกเขาก็ถูกจัดรวมเข้าไปในรายชื่อของบุคคล ผู้ซึ่งมีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา ต่อมาผู้นำทางจิตวิญญาณและนักบุญก็ถูกรวมเข้าไปในนั้นด้วย แล้วก็มาถึงการบูชาสัตว์และสัตว์เลื้อยคลาน เช่น วัว ลิง งู ณ วันนี้ ผู้คนมากมายบูชาแม้แต่วัตถุสิ่งของที่เป็นธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ไฟ ต้นไม้ และพืชต่างๆ ฯลฯ คัมภีร์หรือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกนำมาบูชากราบไหว้ด้วย ไม่มีสิ่งใดเลยที่ถูกตัดทิ้งไปจากบัญชีของการเป็นสิ่งของที่น่าเคารพควรค่าแก่การบูชาและกราบไหว้
สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ยึดทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือและประทับความศรัทธาของพวกเขาไปบนสิ่งเหล่านั้นว่าเป็น "สิ่งศักสิทธิ์" ในนามของพระเจ้า
การบูชากราบไหว้คือการค้นหาพระเจ้า
ในตอนแรกการบูชากราบไหว้เป็นการค้นหาพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในการค้นหาพระเจ้ามนุษย์ได้เข้าร่วมในหลาย ๆ ศาสนา ทำตามหลาย ๆ หนทางและทดลองการบูชาในหลาย ๆ รูปแบบ ซึ่งบางส่วนได้มีการสาธยายไว้แล้ว พื้นฐานของทุกศาสนาคือการสั่งสอนการบูชากราบไหว้ นั่นคือ การบูชาและการสวดมนต์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่อย่างที่เคยได้อธิบายแล้ว พระเจ้าไม่สามารถบรรลุถึงได้ด้วยขบวนการนี้
พลังอำนาจทางจิต-การติดต่อที่ขาดหายไป
จุดประสงค์หลักของทุก ๆ ศาสนาคือการสร้างบุคลิกลักษณะ และหลักการที่สูงส่งบางอย่างของวิชาต่าง ๆ เช่น จริยธรรม ศีลธรรม และการขจัดกิเลส มีการประกาศขอความร่วมมือเป็นช่วงๆ เพื่อช่วยคำสั่งเหล่านี้ ไม่มีการปฎิบัติตาม เหตุผลง่าย ๆ ศาสนาไม่ได้ไล่พลังทางจิตให้กับมนุษย์อย่างเพียงพอจนเขาจะสามารถทำตามกฎเหล่านี้ได้ อีกประเด็นหนึ่งคือ ศาสนาต่างก็ให้ความเป็นอิสระที่แตกต่างกันที่จะนำกฎของความประพฤติไปปฎิบัติตามความพอใจ
มีตัวอย่างที่น่าสนใจหลายตัวอย่าง บางศาสนาอนุญาตให้มีภรรยาคนเดียว บางศาสนาก็ไม่ต้องรับประทานอาหารมังสวิรัติ ในศาสนาอื่นจะัขับไล่ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติออกไปจากศาสนาของตน บางศาสนาก็ให้ผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำในสังคมบางศาสนาก็ยกย่อง
ความแตกแยกเกิดมาจากความแตกต่างในพื้นฐานของปรัชญาทางศาสนาที่ผู้นำทางจิตวิญญาณต่าง ๆ เห็นชอบ ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เชิงปรัชญา ความจริงแห่งธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณ ความสัมพันธ์ของดวงวิญญาณต่อร่างกาย ความคิดเกี่ยวกับ ความสงบ ความสุข ความเจ็บปวด เป็นเรื่องที่ผูกพันธ์และมีส่วนพัวพันและมีอิทธิพลอยู่ในความคิดของผู้ก่อตั้งศาสนาและนักเทววิทยาทั้งหลาย
อย่างไรก็ตามก็ไม่มีการตัดสินที่เป็นเอกฉันท์หรือหลักการที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่มีความแตกต่างความรุนแรงได้เกิดขึ้นตามมา บางศาสนาเชื่อในการหลุดพ้นว่าเป็นการรวมตัวของดวงวิญญาณกับธาตุแห่ง บราห์ม (Brahm) คนอื่น ๆ ก็ไม่ยอมรับความคิดนี้ บางคนเชื่อในการไปเกิดในร่างต่างสายพันธุ์ของดวงวิญญาณ บ้างก็แสดงการลบหลู่ผู้อื่นด้วยการพูด ด้วยความแตกต่างของพื้นฐานในปรัชญาของชีวิตของพวกเขาเช่นนั้น ศาสนาก็มีแนวคิดและขอบเขตที่แตกต่างและเป็นศัตรูต่อกันและกัน
พิธีกรรมและการฝึกปฏิบัติที่แตกแยก
ความแตกต่างเหล่านี้ปรากฎขึ้นตามการฝึกปฏิบัติที่แตกต่างกัน รูปแบบของการบูชากราบไหว้และคำสวดที่แตกต่าง นัยสำคัญของความแตกต่างมีตั้งแต่ภาพ รูปปั้น และสัญลักษณ์ไปถึงห้องที่ว่างเปล่าสุดท้ายก็เป็นการรับรองต่อความสำคัญของพระเจ้าผู้ปราศจากร่างทุก ๆ ศาสนาได้บัญญัติพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อการเข้าถึงพระเจ้า
อย่างไรก็ตามการฝึกปฏิบัติเหล่านี้มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากและบ่อยครั้งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อลัทธิและศาสนาอื่นสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้งก็มีผลให้เกิดความขัดแย้งในหมู่สาวกที่หลงใหล
ผู้ก่อตั้งศาสนามากมายกล่าไว้ว่า การไขปริศนาต่อปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับปรัชญาความจริงในธรรมชาติไม่สามารถที่จะค้นพบได้โดยการใช้สติปัญญาอย่างเดียว ซึ่งสติปัญญาไม่มีความสามารถพอที่จะสรุปความลี้ลับที่ล้ำลึกเหล่านี้ได้ พวกเขาทั้งหมดจึงประกาศว่าได้รับความรู้เหล่านี้มาจากแหล่งพลังภายนอก ซึ่งยืนยันว่าเป็นพระเจ้ามาบอกด้วยตัวท่านเอง (แม้แต่ทฤษฎีของพวกเขาเหล่านี้ส่วนมากก็แตกต่างจากกันและกัน) ความขัดแย้งและความเห็นที่แตกแยกในตัวของมันเองเช่นนี้ จะเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าได้อย่างไร.. ผู้คนก็เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น
ความจริงบางส่วนนำไปสู่การขัดแย้ง
เป้าหมายของศาสนาคือการสื่อสารความจริงไปยังผู้ค้นหา อย่างไรก็ตาม ไม่มีศาสนาใดทำเช่นนั้นได้เลย และความจริงทั้งหมดไม่ได้เคยถูกเปิดเผยมาก่อน เหมือนอย่างที่ได้อธิบายไว้แล้ว ความจริงทั้งหมดจะสามารถเปิดเผยได้โดยพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งศาสนาใด ๆ เขาสามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็เป็นการเปิดเผยเพียงส่วนหนึงของความจริง ความรู้เพียงเล็กน้อยเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ความรู้เพียงเล็กน้อยไม่ครบถ้วนนั้นโดยธรรมชาติแล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการแตกแยก สิ่งที่ตามมาก็คือสงครามที่มีการสู้รบกันในนามของศาสนา มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการกระทำบาปทุก ๆ ชนิดเท่าที่เป็นไปได้ มนุษย์ผู้รอบรู้ได้มีการคัดค้านความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นทางรูปธรรมเช่นนี้ แต่ความชั่วร้ายก็ยังมีต่อไปไม่ลดละ
ความไม่ใช่แก่นแท้ที่เห็นได้ชัดเจน
เมื่อเวลาผ่านไปทุก ๆ ศาสนาก็ตกต่ำไปสู่พิธีกรรมทางศาสนาและคำสอนก็เป็นเพียงหลักการ ความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมทุก ๆ อย่างคือ การกระทำเพื่อเป็นการเตือนให้คิดถึงพระเจ้สในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่วันนี้ปรัชญาที่เป็นเป้าหมายดั้งเดิม ได้ถูกลดลงไปเป็นฉากหลังและพิธีกรรมทางศาสนาได้กลายมาเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา
ด้วยเหตุนี้ความละเอียดอ่อนดั้งเดิมได้เปลี่ยนไปสู่สิ่งหยาบ ซึ่งไม่ใช่แก่นแท้ ความคลั่งไคล้งมงายหลงไหลเติบโตขึ้น และคำสอนของพระผู้ซึ่งประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการเฉลิมฉลองในศาสนาเพื่อให้ได้วัตถุและสิ่งของก็ปรากฏมากขึ้น ในบางเทศกาลทางศาสนา พวกพระได้ถูกเชิญไปรับประทานอาหาร ซึ่งมนุษย์ในปัจจุบันก็เบื่อหน่ายที่จะเลี้ยงพระ และจัดงานเลี้ยงที่ใหญ่โต การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังทำกันต่อไป
บางคนเชื่อว่า: พิธีกรรมจะนำไปสู่การหลุดพ้น
ทุกวันนี้มีทัศนคติที่แตกต่างหลากหลายต่อศาสนา ผู้ศรัทธาที่มีหัวรุนแรงคิดว่า ศาสนาเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะพบความหลุดพ้นและพวกเขาก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลาในการทำพิธีกรรมที่เก่าแก่และพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ พวกเขาอาจจะเชี่ยวชาญในคัมภีร์เป็นอย่างมากในประเด็นของการเฉลิมฉลองทางศาสนา แต่ขาดความสำเร็จจากการปฏิบัติทางจิต ไม่มีใครเลยที่จะเข้าไปใกล้ความจริงสูงสุด ในชีวิตที่สับสนและมีค่าครองชีพที่สูง ทุกคนไม่สามารถที่จะจ่ายเงินสำหรับการเฉลิมฉลองทางศาสนาที่ฟุ่มเฟือยที่มีอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นผู้บูชากราบไหว้เช่นนี้จึงสูญหายไปอย่างรวดเร็ว
บางคนเชื่อว่า: การงานคือการบูชากราบไหว้
อีกกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า การทำงานประจำวันด้วยความขยันหมั่นเพียรและอย่างมีสติคือศาสนาที่แท้จริง การทำงานคือการกราบไหว้เป็นคติพจน์ของพวกเขา พิธีกรรมและพิธีทางศาสนาทีจูงใจด้วยเพียงการเทศน์สั่งสอนไม่ได้รับการยอมรับ กฏเกณฑ์ไม่มีความสำคัญใด ๆ ข้อบกพร่องของความคิดนี้ก็คือมันไม่ได้รวมอยู่ในหลักการพื้นฐานที่ได้ข้อสรุปที่เป็นหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นจึงไม่มีทั้งเป้าหมายของชีวิตที่เด่นชัดหรือหลักการใด ๆ ที่จะนำมนุษย์ไปยังเป้าหมายนั้น ความซื่อสัตย์และความขยันหมั่นเพียร เป็นคุณสมบัติทีดีที่จะต้องฝึกฝนให้มีขึ้น แต่การปฏิบัติของพวกเขาต้องการความเข้าใจที่แน่นอนในหลักการพื้นฐานของการคงอยู่ของมนุษย์และธรรมชาติของมนุษย์ ทัศนคติทางจิตที่ถูกต้อง ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในสภาวะที่ความรู้ที่แท้จริงของพระเจ้าขาดหายไป
บางคนเชื่อในลัทธิการแยกกันระหว่างศาสนากับทางโลก
กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มของผู้คนเชื่อว่าศาสนานั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งไม่ควรจะมาเกี่ยวข้องกับชีวิตในสังคมและของชาติโดยเด็ดขาด แต่ผู้ที่เชื่อเช่นนี้ก็นำพาชีวิตไปสู่ความตกต่ำ ทางศีลธรรม การศึกษาทางจิตเป็นเพียงพลังเดียวที่สามารถควบคุมความคิดของมนุษย์ ซึ่งจะสามารถยกระดับบุคลิกของเขาได้ และปกปักษ์รักษาศีลธรรมของมนุษย์ได้
ศาสนาแยกออกไปจากชีวิตที่เป็นจริง
ยังมีกลุ่มอื่นเป็นกลุ่มที่สี่ ซึ่งรู้สึกว่าการกระทำและศาสนาเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน เขาเริ่มต้นวันด้วยความที่น่าเลื่อมใสศรัทธาที่สุดและด้วยท่าทางที่เคร่งครัดทางศาสนา ด้วยการสวดมนต์และบูชากราบไหว้ แต่ทันทีที่พวกเขาไปถึงที่ทำงาน หลักการเหล่านั้นก็ปลิวไปกับสายลม ชีวิตที่มีความขัดแย้งและหน้าไหว้หลังหลอกนี้ ทำให้เกิดมีคำเย้ยหยันต่อศาสนาและจำนวนของผู้ที่หมกมุ่นอยู่ในการหลอกลวงตนเองก็เพิ่มมากขึ้น ตามความเป็นจริงเป้าหมายของศาสนาที่แท้จริงคือ การเตรียมพื้นฐานและแนวทางสำหรับการพัฒนาการกระทำที่สูงส่ง สาระสำคัญของความรู้นี้ได้มีการสั่งสอนโดยพระเจ้าชีว่า ณ ปัจจุบันนี้
การบูชากราบไหว้เพียงแต่ทำให้การเสื่อมถอยช้าลงเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหลักการทั้งหมดของการบูชากราบไหว้จะมีข้อดี มนุษย์ก็ห่างไกลไปจากพระเจ้าเรื่อย ๆ แม้ว่าการศึกษาคัมภีร์ทั้งหมดจะมีผู้นำทางจิตหลายคนปรากฏขึ้น มีการบูชากราบไหว้ มีการแสวงบุญ มีการบูชายัญ มีความเคร่งครัดในกฏ ฯลฯ แต่การกระทำของมนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาขึ้น กลับทนทุกข์ทรมานกับสภาพทีตกต่ำเรื่อยมา การบูชากราบไหว้ไม่ใช่การล้างบาปในอดีต โดยผ่านการเกิดมาอย่างต่อเนื่อง ภาระของบาปก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บาปถูกชำระได้โดยการคิดถึงชีพบาบาเท่านั้น นั่นคือโดยผ่านราชโยคะ
บทบาทของการบูชากราบไหว้ได้เคยทำหน้าที่ที่ดีที่สุดในการลดความเร็วของการตกต่ำของมนุษย์ การบูชากราบไหว้ไม่สามารถพัฒนาการกระทำให้ดีขึ้นได้ มันเพียงแต่ลดอัตราความตกต่ำของพวกเขาให้ช้าลง ในช่วงเวลาซึ่งความศรัทธาต่อการบูชากราบไหว้เริ่มขึ้นและเฟื่องฟู ก็ไม่มีสิ่งใดพัฒนาหรือทำให้สุขภาพจิตของมนุษย์ฟื้นคืนมา มันเริ่มขึ้นในยุคทองแดงและตกต่ำเรื่อยไปจนถึงตอนจบของยุคเหล็ก รวมระยะเวลา 2,500 ปี เรียกว่า กลางคืนของ บราห์มา และเป็นตัวแทนของช่วงเวลาของการตกต่ำของมนุษยชาติ
จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
การแบ่งแยกของการบูชากราบไหว้
หลังจากนั้นไม่นาน รูปเคารพและภาพเคารพอื่น ๆ ก็ถูกทำขึ้นเพื่อการบูชากราบไหว้ การบูชากราบไหว้เกิดการแตกแยกขึ้น การบูชากราบไหว้นี้เรียกว่า Vyabhichari (Vyabhichari Bhakti) หมายถึงการบูชาเทพหลายองค์ในรูปของรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์และภาพศักดิ์สิทธิ์ รูปปั้นที่ใช้บูชาเคยเป็นเทพละเอียดซึ่งกลายมาเป็นเทพที่มีตัวตนใน สัตยุค (ยุคทอง) นั่นคือ ศรีลักษมีและศรีนารายัญ ต่อมาก็ ศรีรามและศรีสีดาก็ถูกนำมาบูชาเพิ่ม
เมื่อดวงวิญญาณของผู้ก่อตั้งศาสนาลงมาจากพารามธรรมและก่อตั้งศาสนาของตนเองขึ้น พวกเขาก็ถูกจัดรวมเข้าไปในรายชื่อของบุคคล ผู้ซึ่งมีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา ต่อมาผู้นำทางจิตวิญญาณและนักบุญก็ถูกรวมเข้าไปในนั้นด้วย แล้วก็มาถึงการบูชาสัตว์และสัตว์เลื้อยคลาน เช่น วัว ลิง งู ณ วันนี้ ผู้คนมากมายบูชาแม้แต่วัตถุสิ่งของที่เป็นธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ไฟ ต้นไม้ และพืชต่างๆ ฯลฯ คัมภีร์หรือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกนำมาบูชากราบไหว้ด้วย ไม่มีสิ่งใดเลยที่ถูกตัดทิ้งไปจากบัญชีของการเป็นสิ่งของที่น่าเคารพควรค่าแก่การบูชาและกราบไหว้
สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ยึดทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือและประทับความศรัทธาของพวกเขาไปบนสิ่งเหล่านั้นว่าเป็น "สิ่งศักสิทธิ์" ในนามของพระเจ้า
การบูชากราบไหว้คือการค้นหาพระเจ้า
ในตอนแรกการบูชากราบไหว้เป็นการค้นหาพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในการค้นหาพระเจ้ามนุษย์ได้เข้าร่วมในหลาย ๆ ศาสนา ทำตามหลาย ๆ หนทางและทดลองการบูชาในหลาย ๆ รูปแบบ ซึ่งบางส่วนได้มีการสาธยายไว้แล้ว พื้นฐานของทุกศาสนาคือการสั่งสอนการบูชากราบไหว้ นั่นคือ การบูชาและการสวดมนต์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่อย่างที่เคยได้อธิบายแล้ว พระเจ้าไม่สามารถบรรลุถึงได้ด้วยขบวนการนี้
พลังอำนาจทางจิต-การติดต่อที่ขาดหายไป
จุดประสงค์หลักของทุก ๆ ศาสนาคือการสร้างบุคลิกลักษณะ และหลักการที่สูงส่งบางอย่างของวิชาต่าง ๆ เช่น จริยธรรม ศีลธรรม และการขจัดกิเลส มีการประกาศขอความร่วมมือเป็นช่วงๆ เพื่อช่วยคำสั่งเหล่านี้ ไม่มีการปฎิบัติตาม เหตุผลง่าย ๆ ศาสนาไม่ได้ไล่พลังทางจิตให้กับมนุษย์อย่างเพียงพอจนเขาจะสามารถทำตามกฎเหล่านี้ได้ อีกประเด็นหนึ่งคือ ศาสนาต่างก็ให้ความเป็นอิสระที่แตกต่างกันที่จะนำกฎของความประพฤติไปปฎิบัติตามความพอใจ
มีตัวอย่างที่น่าสนใจหลายตัวอย่าง บางศาสนาอนุญาตให้มีภรรยาคนเดียว บางศาสนาก็ไม่ต้องรับประทานอาหารมังสวิรัติ ในศาสนาอื่นจะัขับไล่ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติออกไปจากศาสนาของตน บางศาสนาก็ให้ผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำในสังคมบางศาสนาก็ยกย่อง
ความแตกแยกเกิดมาจากความแตกต่างในพื้นฐานของปรัชญาทางศาสนาที่ผู้นำทางจิตวิญญาณต่าง ๆ เห็นชอบ ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เชิงปรัชญา ความจริงแห่งธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณ ความสัมพันธ์ของดวงวิญญาณต่อร่างกาย ความคิดเกี่ยวกับ ความสงบ ความสุข ความเจ็บปวด เป็นเรื่องที่ผูกพันธ์และมีส่วนพัวพันและมีอิทธิพลอยู่ในความคิดของผู้ก่อตั้งศาสนาและนักเทววิทยาทั้งหลาย
อย่างไรก็ตามก็ไม่มีการตัดสินที่เป็นเอกฉันท์หรือหลักการที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ในขณะที่มีความแตกต่างความรุนแรงได้เกิดขึ้นตามมา บางศาสนาเชื่อในการหลุดพ้นว่าเป็นการรวมตัวของดวงวิญญาณกับธาตุแห่ง บราห์ม (Brahm) คนอื่น ๆ ก็ไม่ยอมรับความคิดนี้ บางคนเชื่อในการไปเกิดในร่างต่างสายพันธุ์ของดวงวิญญาณ บ้างก็แสดงการลบหลู่ผู้อื่นด้วยการพูด ด้วยความแตกต่างของพื้นฐานในปรัชญาของชีวิตของพวกเขาเช่นนั้น ศาสนาก็มีแนวคิดและขอบเขตที่แตกต่างและเป็นศัตรูต่อกันและกัน
พิธีกรรมและการฝึกปฏิบัติที่แตกแยก
ความแตกต่างเหล่านี้ปรากฎขึ้นตามการฝึกปฏิบัติที่แตกต่างกัน รูปแบบของการบูชากราบไหว้และคำสวดที่แตกต่าง นัยสำคัญของความแตกต่างมีตั้งแต่ภาพ รูปปั้น และสัญลักษณ์ไปถึงห้องที่ว่างเปล่าสุดท้ายก็เป็นการรับรองต่อความสำคัญของพระเจ้าผู้ปราศจากร่างทุก ๆ ศาสนาได้บัญญัติพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อการเข้าถึงพระเจ้า
อย่างไรก็ตามการฝึกปฏิบัติเหล่านี้มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากและบ่อยครั้งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อลัทธิและศาสนาอื่นสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้งก็มีผลให้เกิดความขัดแย้งในหมู่สาวกที่หลงใหล
ผู้ก่อตั้งศาสนามากมายกล่าไว้ว่า การไขปริศนาต่อปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับปรัชญาความจริงในธรรมชาติไม่สามารถที่จะค้นพบได้โดยการใช้สติปัญญาอย่างเดียว ซึ่งสติปัญญาไม่มีความสามารถพอที่จะสรุปความลี้ลับที่ล้ำลึกเหล่านี้ได้ พวกเขาทั้งหมดจึงประกาศว่าได้รับความรู้เหล่านี้มาจากแหล่งพลังภายนอก ซึ่งยืนยันว่าเป็นพระเจ้ามาบอกด้วยตัวท่านเอง (แม้แต่ทฤษฎีของพวกเขาเหล่านี้ส่วนมากก็แตกต่างจากกันและกัน) ความขัดแย้งและความเห็นที่แตกแยกในตัวของมันเองเช่นนี้ จะเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าได้อย่างไร.. ผู้คนก็เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น
ความจริงบางส่วนนำไปสู่การขัดแย้ง
เป้าหมายของศาสนาคือการสื่อสารความจริงไปยังผู้ค้นหา อย่างไรก็ตาม ไม่มีศาสนาใดทำเช่นนั้นได้เลย และความจริงทั้งหมดไม่ได้เคยถูกเปิดเผยมาก่อน เหมือนอย่างที่ได้อธิบายไว้แล้ว ความจริงทั้งหมดจะสามารถเปิดเผยได้โดยพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งศาสนาใด ๆ เขาสามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็เป็นการเปิดเผยเพียงส่วนหนึงของความจริง ความรู้เพียงเล็กน้อยเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ความรู้เพียงเล็กน้อยไม่ครบถ้วนนั้นโดยธรรมชาติแล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการแตกแยก สิ่งที่ตามมาก็คือสงครามที่มีการสู้รบกันในนามของศาสนา มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการกระทำบาปทุก ๆ ชนิดเท่าที่เป็นไปได้ มนุษย์ผู้รอบรู้ได้มีการคัดค้านความเกลียดชังที่ปะทุขึ้นทางรูปธรรมเช่นนี้ แต่ความชั่วร้ายก็ยังมีต่อไปไม่ลดละ
ความไม่ใช่แก่นแท้ที่เห็นได้ชัดเจน
เมื่อเวลาผ่านไปทุก ๆ ศาสนาก็ตกต่ำไปสู่พิธีกรรมทางศาสนาและคำสอนก็เป็นเพียงหลักการ ความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมทุก ๆ อย่างคือ การกระทำเพื่อเป็นการเตือนให้คิดถึงพระเจ้สในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่วันนี้ปรัชญาที่เป็นเป้าหมายดั้งเดิม ได้ถูกลดลงไปเป็นฉากหลังและพิธีกรรมทางศาสนาได้กลายมาเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา
ด้วยเหตุนี้ความละเอียดอ่อนดั้งเดิมได้เปลี่ยนไปสู่สิ่งหยาบ ซึ่งไม่ใช่แก่นแท้ ความคลั่งไคล้งมงายหลงไหลเติบโตขึ้น และคำสอนของพระผู้ซึ่งประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการเฉลิมฉลองในศาสนาเพื่อให้ได้วัตถุและสิ่งของก็ปรากฏมากขึ้น ในบางเทศกาลทางศาสนา พวกพระได้ถูกเชิญไปรับประทานอาหาร ซึ่งมนุษย์ในปัจจุบันก็เบื่อหน่ายที่จะเลี้ยงพระ และจัดงานเลี้ยงที่ใหญ่โต การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังทำกันต่อไป
บางคนเชื่อว่า: พิธีกรรมจะนำไปสู่การหลุดพ้น
ทุกวันนี้มีทัศนคติที่แตกต่างหลากหลายต่อศาสนา ผู้ศรัทธาที่มีหัวรุนแรงคิดว่า ศาสนาเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะพบความหลุดพ้นและพวกเขาก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลาในการทำพิธีกรรมที่เก่าแก่และพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ พวกเขาอาจจะเชี่ยวชาญในคัมภีร์เป็นอย่างมากในประเด็นของการเฉลิมฉลองทางศาสนา แต่ขาดความสำเร็จจากการปฏิบัติทางจิต ไม่มีใครเลยที่จะเข้าไปใกล้ความจริงสูงสุด ในชีวิตที่สับสนและมีค่าครองชีพที่สูง ทุกคนไม่สามารถที่จะจ่ายเงินสำหรับการเฉลิมฉลองทางศาสนาที่ฟุ่มเฟือยที่มีอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นผู้บูชากราบไหว้เช่นนี้จึงสูญหายไปอย่างรวดเร็ว
บางคนเชื่อว่า: การงานคือการบูชากราบไหว้
อีกกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า การทำงานประจำวันด้วยความขยันหมั่นเพียรและอย่างมีสติคือศาสนาที่แท้จริง การทำงานคือการกราบไหว้เป็นคติพจน์ของพวกเขา พิธีกรรมและพิธีทางศาสนาทีจูงใจด้วยเพียงการเทศน์สั่งสอนไม่ได้รับการยอมรับ กฏเกณฑ์ไม่มีความสำคัญใด ๆ ข้อบกพร่องของความคิดนี้ก็คือมันไม่ได้รวมอยู่ในหลักการพื้นฐานที่ได้ข้อสรุปที่เป็นหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นจึงไม่มีทั้งเป้าหมายของชีวิตที่เด่นชัดหรือหลักการใด ๆ ที่จะนำมนุษย์ไปยังเป้าหมายนั้น ความซื่อสัตย์และความขยันหมั่นเพียร เป็นคุณสมบัติทีดีที่จะต้องฝึกฝนให้มีขึ้น แต่การปฏิบัติของพวกเขาต้องการความเข้าใจที่แน่นอนในหลักการพื้นฐานของการคงอยู่ของมนุษย์และธรรมชาติของมนุษย์ ทัศนคติทางจิตที่ถูกต้อง ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในสภาวะที่ความรู้ที่แท้จริงของพระเจ้าขาดหายไป
บางคนเชื่อในลัทธิการแยกกันระหว่างศาสนากับทางโลก
กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มของผู้คนเชื่อว่าศาสนานั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งไม่ควรจะมาเกี่ยวข้องกับชีวิตในสังคมและของชาติโดยเด็ดขาด แต่ผู้ที่เชื่อเช่นนี้ก็นำพาชีวิตไปสู่ความตกต่ำ ทางศีลธรรม การศึกษาทางจิตเป็นเพียงพลังเดียวที่สามารถควบคุมความคิดของมนุษย์ ซึ่งจะสามารถยกระดับบุคลิกของเขาได้ และปกปักษ์รักษาศีลธรรมของมนุษย์ได้
ศาสนาแยกออกไปจากชีวิตที่เป็นจริง
ยังมีกลุ่มอื่นเป็นกลุ่มที่สี่ ซึ่งรู้สึกว่าการกระทำและศาสนาเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน เขาเริ่มต้นวันด้วยความที่น่าเลื่อมใสศรัทธาที่สุดและด้วยท่าทางที่เคร่งครัดทางศาสนา ด้วยการสวดมนต์และบูชากราบไหว้ แต่ทันทีที่พวกเขาไปถึงที่ทำงาน หลักการเหล่านั้นก็ปลิวไปกับสายลม ชีวิตที่มีความขัดแย้งและหน้าไหว้หลังหลอกนี้ ทำให้เกิดมีคำเย้ยหยันต่อศาสนาและจำนวนของผู้ที่หมกมุ่นอยู่ในการหลอกลวงตนเองก็เพิ่มมากขึ้น ตามความเป็นจริงเป้าหมายของศาสนาที่แท้จริงคือ การเตรียมพื้นฐานและแนวทางสำหรับการพัฒนาการกระทำที่สูงส่ง สาระสำคัญของความรู้นี้ได้มีการสั่งสอนโดยพระเจ้าชีว่า ณ ปัจจุบันนี้
การบูชากราบไหว้เพียงแต่ทำให้การเสื่อมถอยช้าลงเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหลักการทั้งหมดของการบูชากราบไหว้จะมีข้อดี มนุษย์ก็ห่างไกลไปจากพระเจ้าเรื่อย ๆ แม้ว่าการศึกษาคัมภีร์ทั้งหมดจะมีผู้นำทางจิตหลายคนปรากฏขึ้น มีการบูชากราบไหว้ มีการแสวงบุญ มีการบูชายัญ มีความเคร่งครัดในกฏ ฯลฯ แต่การกระทำของมนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาขึ้น กลับทนทุกข์ทรมานกับสภาพทีตกต่ำเรื่อยมา การบูชากราบไหว้ไม่ใช่การล้างบาปในอดีต โดยผ่านการเกิดมาอย่างต่อเนื่อง ภาระของบาปก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บาปถูกชำระได้โดยการคิดถึงชีพบาบาเท่านั้น นั่นคือโดยผ่านราชโยคะ
บทบาทของการบูชากราบไหว้ได้เคยทำหน้าที่ที่ดีที่สุดในการลดความเร็วของการตกต่ำของมนุษย์ การบูชากราบไหว้ไม่สามารถพัฒนาการกระทำให้ดีขึ้นได้ มันเพียงแต่ลดอัตราความตกต่ำของพวกเขาให้ช้าลง ในช่วงเวลาซึ่งความศรัทธาต่อการบูชากราบไหว้เริ่มขึ้นและเฟื่องฟู ก็ไม่มีสิ่งใดพัฒนาหรือทำให้สุขภาพจิตของมนุษย์ฟื้นคืนมา มันเริ่มขึ้นในยุคทองแดงและตกต่ำเรื่อยไปจนถึงตอนจบของยุคเหล็ก รวมระยะเวลา 2,500 ปี เรียกว่า กลางคืนของ บราห์มา และเป็นตัวแทนของช่วงเวลาของการตกต่ำของมนุษยชาติ
จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
No comments:
Post a Comment