Showing posts with label หน้าที่ของพระเจ้า. Show all posts
Showing posts with label หน้าที่ของพระเจ้า. Show all posts

Monday, May 13, 2013

ความแตกต่างระหว่างบทบาทของพระเจ้าชีว่าและเหล่าเทพ



ดวงวิญญาณของเหล่าเทพที่เกิดในยุคทองและยุคเงินกลับมาบริสุทธิ์โดยคุณธรรมของการทำความเพียรทางดวงวิญญาณ โดยพวกเขาได้ทำไว้ในชาติสุดท้ายในกัลปที่แล้วของวงจรโลก ภายใต้การชี้นำที่ให้โดยพระเจ้าชีว่าผู้ปราศจากร่าง โดยผ่านสื่อที่มีร่างเป็นตัวตนของท่านประชาปิตาบราห์มา ดวงวิญญาณเทพเหล่านั้นบริสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือปราศจากกิเลส แต่พวกเขาไม่ได้บริสุทธิ์ตลอดไปเหมือนพระเจ้าชีว่า

ได้เคยอธิบายไว้แล้วในตอนต้นว่าเหล่าเทพได้สูญเสียความบริสุทธิ์ของพวกเขาจากยุคทองแดงเป็นต้นมา และพวกเขาก็ได้รับความทรมานทางจิตใจโดยกิเลสทั้งห้า มีพระเจ้าชีว่าเท่านั้นที่มีความบริสุทธิ์เป็นนิรันดร์และเป็นผู้มีอิสระเป็นนิรันดร์ นั่นคือ อยู่เหนือการเกิด อยู่เหนือการตายเป็นนิรันดร์ ท่านเป็นผู้ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์และเป็นผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมด หน้าที่นี้ไม่สามารถทำได้โดยเทพหรือมนุษย์ผู้เป็นผู้นำทางจิตคนใดได้ ซึ่งแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่จะมอบการหลุดพ้นให้กับพวกเขา

เช่นกันในโลกสวรรค์ของเหล่าเทพ กล่าวคือ ยุคทองและยุคเงินจะไม่มีผู้ไม่บริสุทธิ์แม้แต่คนเดียว นั่นคือ ดวงวิญญาณบาปนั้นจะต้องผ่านการชำระให้บริสุทธิ์ ศรีกฤษณะเป็นเทพองค์แรกเป็นเจ้าชายของโลกใหม่คือยุคทอง มีรูปศรีกฤษณะเป็นเด็กถูกวาดให้เห็นว่านอนอยู่บนใบโพธิ์ ถ่ายทอดถึงความคิดที่ว่าเขาเป็นใบไม้ใบแรกของต้นกัลปะใหม่ ซึ่งปรากฏขึ้นหลังจากการทำลายล้างโลกเก่า เขาเป็นที่ชื่นชอบในฐานะที่เป็นเทพที่มีคุณธรรมทั้งหมด 16 องศาสมบูรณ์พร้อมและปราศจากกิเลสอย่างสมบูรณ์ มีความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์และปราศจากความรุนแรงอย่างสมบูรณ์ ขณะที่พ่อชีว่าผู้ปราศจากร่างถูกจดจำในฐานะที่เป็นเมล็ดของมวลมนุษย์ เป็นมหาสมุทรของความรู้ เป็นมหาสมุทรของความสงบ เป็นมหาสมุทรที่ทรงอำนาจ เป็นมหาสมุทรของความปิติ และอื่น ๆ 
ทุกวันนี้มีคนน้อยมากที่รู้ว่าศรีกฤษณะนั่นเองที่กลายเป็นศรีนารายัญ หลังจากที่เขาได้รับการราชาภิเษกและกลายเป็นจักรพรรดิผู้ปกครององค์แรกของยุคทอง และด้วยเหตุผลนี้นั่นเองที่รูปในวัยเด็กของศรีนารายัญและรูปในวัยผู้ใหญ่ของศรีกฤษณะไม่สามารถหาได้



ใครคือพระเจ้าของกีตะ??
พระเจ้าของกีตะคือ ชีว่าผู้ปราศจากร่าง ท่านถ่ายทอดกีตะโดยผ่านท่านประชาปิตาบราห์มา ซึ่งไม่ใช่ถ่ายทอดโดยศรีกฤษณะ ศรีมัตหมายถึง ความรู้สูงสุดเพื่อการเข้าถึงสถานภาพที่สูงสุด คำว่า "ศรี" นั่นคือเทพองค์หนึ่ง และ "ภควัตกีตะ" หมายถึง เพลงที่สูงส่ง หรือคำสอนของพระเจ้า ซึ่งท่านสอนด้วยตัวท่านเอง ศรีกฤษณะเคยเป็นเทพและไม่ใช่พระเจ้า ในรูปภาพและรูปปั้นศรีกฤษณะถูกแสดงไว้ในฐานะที่เป็นเทพคู่กับศรีราเด้ ในประเภทของเทพที่มีตัวตนเหมือนกับศรีรามคู่กับศรีสีดา และเทพอื่นๆ ขณะที่พระเจ้าชีว่าเป็นผู้ปราศจากร่าง มีสัญลักษณ์เป็น ชีว่า ลิงก้า ศรีกฤษณะรู้จักกันในฐานะ "ลอล์ดกฤษณะ" ซึ่งหมายถึงเทพองค์หนึ่ง และเขาก็ไม่สามารถถูกเรียกว่าพระเจ้ากฤษณะได้ เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากร่าง หรืออยู่เหนือการเกิดการตาย จโยติลิงกัม สัญลักษณ์ของพระเจ้าผู้ปราศจากร่างไม่เคยถูกเรียกว่า กฤษณะ ลิงก้า
มีเทพนิยายเชื่อว่าคงคาเกิดจากชีว่า และคงคาก็เป็น บากีราท (Bhagirath -พาหนะผู้โชคดี) ผู้ซึ่งนำพระเจ้ามายังโลก นัยสำคัญทางดวงวิญญาณของนิทานได้สูญหายไป ในความเป็นจริงคงคาคือสัญลักษณ์ของน้ำอมฤตของพระเจ้า หรือคำสอนของพระเจ้าก็ถูกเรียกว่า กีตะ ด้วย ซึ่งเป็นน้ำที่ดวงวิญญาณจะต้องอาบเพื่อชำระบาป ชีว่าอ้างถึงพระเจ้าผู้ปราศจากร่างไม่ใช่ชางก้า อย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งกว่านั้น ศรีกฤษณะและบากีราท นั้นแตกต่างกัน บากีราทหมายถึงร่างที่เป็นสิริมงคลหรือพาหนะที่เป็นสิริมงคลของ บราห์มา ซึ่งชีว่า ดวงวิญญาณสูงสุดผู้ปราศจากร่างอวตารลงมาใช้เพื่อเปิดเผยคำสอนความรู้ของพระเจ้า และราชโยคะ ชีว่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือวงจรการเกิดและการตาย
พระเจ้าชีว่าได้มีการอวตารลงมาในร่างของประชาปิตาบราห์มา แต่ศรีกฤษณะนั้นไม่ได้อวตารเช่นนั้น แต่มีการเกิดอย่างชาวโลกจากครรภ์มารดาของเขาตามประเพณี ศรีกฤษณะคือเทพละเอียดวิษณุซึ่งลงมาปฏิสนธิในโลกที่มีตัวตน ถึงแม้ว่าคำว่า อวตาร จะใช้อย่างผิด ๆ กับศรีกฤษณะ แต่พระเจ้าชีว่าผู้เทศนาสั่งสอนกีตะเป็นถึงผู้สร้างของวิษณุ ผู้ซึ่งคิดว่าศรีกฤษณะเป็นพระเจ้าของกีตะก็เชื่อด้วยว่าศรีกฤษณะเกิดในตอนปลายยุคทองแดงต่อกับกลียุค ซึ่งเป็นระยะที่ตกต่ำไปเรื่อย ๆ
เป็นที่แน่ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้อวตารมาเพื่อสั่งสอนกีตะในตอนปลายของยุคทองแดง พระเจ้าไม่ได้ลงมาทำทุก ๆ เรื่องที่มีคุณภาพตกต่ำและเสื่อมถอยในยุคที่เรียกว่า กลียุค พระเจ้าชีว่าไม่เคยให้คำแนะนำให้ก่อสงครามที่ใช้ความรุนแรง ท่านชี้นำดวงวิญญาณมนุษย์ให้มีชัยชนะเหนือกิเลสทั้งห้า ด้วยการประกาศสงครามที่ไม่ใช้ความรุนแรงใด ๆ อย่างสมบูรณ์กับมายา ด้วยวิีถีทางแห่งความรู้ของพระเจ้าและราชโยคะ "สวา ดาชัน จักรา" (Swa-darshan-chakra) ของพระเจ้า ของกีตะคือวงจรโลก หรือ "วิชชา จักรา" (Vishwa Chakra) ไม่ใช่อาวุธที่ต้องใช้ความรุนแรง



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ



Tuesday, May 7, 2013

ระยะเวลาของวงจรโลก




ระยะเวลาของวงจรโลก
ตามที่กล่าวไว้ว่าระยะเวลาของวงจรโลกคือ 5,000 ปี ตัวเลขที่พวกเขาคาดคะเนนานถึงล้าน ๆ ปี พวกเขาหมายถึงอะไร อาจหมายความว่าโลกนี้ได้เริ่มต้นมาหลาย ๆ ล้านปีก่อนหน้านี้ แต่อย่างที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าโลกนี้เป็นนิรันดร มันได้คงอยู่เสมอมา และจะคงอยู่ตลอดไป จะไม่มีการทำลายล้างจนหมดสิ้น ตัวเลขที่นานเป็นล้าน ๆ ปีนี้ เกิดขึ้นจากการคาดเดาเท่านั้น ในความเป็นจริงวงจรของเวลาได้หมุนมาตั้งแต่อนันตกาล

พระเจ้าพูดว่าวงจรของโลก 5,000 ปี ประกอบด้วย 4 ยุค ยุคละ 1,250 ปี นักคิดบางคนมีความเห็นว่า ยุคทองแดง ยุคเงิน และยุคทอง มีระยะเวลาเป็น 2 เท่า 3 เท่า และ 4 เท่า ของยุคเหล็กตามลำดับ อย่างไรก็ตามไม่มีพื้นฐานสำหรับสมมุติฐานเช่นนี้ สัญลักษณ์ที่แทนโดยสวัสดิกะ ซึ่งแบ่งวงจรออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ละยุคไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันเป็นอยู่เช่นนั้น เป็นเพียงองศาของความบริสุทธิ์ ของคุณธรรม และความชอบธรรมเท่านั้นที่เปลี่ยนไป และผลที่ตามมาก็คือ ชีวิตที่ยืนยาวของแต่ละดวงวิญญาณที่เปลี่ยนไปจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ อาจพูดได้ว่า อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคทองแดงเป็น 2 เท่าของมนุษย์ในยุคเหล็ก อายุในยุคเงินเป็น 3 เท่าของยุคเหล็ก อายุในยุคทองเป็น 4 เท่าของยุคเหล็ก

พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยด้วยตัวท่านเองว่าวงจรโลกที่สมบูรณ์ใช้เวลา 5,000 ปี และมันจะกลับมาซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ศาสนาหลักของโลกอีก 3 ศาสนานอกเหนือไปจาก Adi Sanatan Devi Devta Dharma คือ อิสลาม พุทธ และ คริสเตียน สามศาสนานี้ถูกก่อตั้งในยุคทองแดง นั่นคือในระยะ 2,500 ปีก่อนหน้านี้ จากสิ่งนี้ก็สามารถเข้าใจว่าอายุของศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด นั่นคือ ศาสนาเทพ (ปัจจุบันเรียกว่า ศาสนาฮินดู) มีมาก่อนยุคทองแดง 2,500 ปี หรือประมาณ 5,000 ปีจากวันนี้

ความจริงนี้สามารถจะอธิบายในหนทางอื่นเช่นกัน ประชากรของชาวคริสต์ ซึ่งมีอายุศาสนาประมาณ 2,000 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านคน ถ้าอายุของกัลป์นั้นยาวนานกว่า 5,000 ปีมาก แล้วประชากรของศาสนาแรก คือ ศาสนาเทพจะมีเท่าไร? ถึงแม้ว่าเราจะคิดถึงผู้ที่เปลี่ยนศาสนาไป ฯลฯ แล้วจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาแรกทั้งหมดในโลกนี้ก็น่าจะมีจำนวนตัวเลขที่มากมายเท่ากับจำนวนดวงดาวบนท้องฟ้า แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าอายุของกัลปมีการคำนวณบนพื้นฐานของอัตราการเติบโตของประชากร มันจะไม่มากกว่า 5,000 ปี อย่างแน่นอน นี่คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้ทางสถิติ


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Monday, May 6, 2013

วงจรของเวลา

วงจรของเวลา (Swadarshan Chakra)

จักรในมือของวิษณุเป็นตัวแทนของวงจรประวัติศาสตร์โลกซึ่งหมายถึง วงจรของเวลา เป็นที่รู้จักกันในนามของ "Swa-darshan Chakra" เพราะมันเป็นการเปิดเผยให้มนุษย์ได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองที่มีความสัมพันธ์กับวงจรโลก (ดูภาพประกอบ C วงจรละครโลก)



วงจรละครโลก (ภาพประกอบ C)

ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์โลกมีลักษณะเป็นละครที่ซ้ำรอยเดิมทุกกัลป (5,000ปี) 
โลกแห่งความมีตัวตนของมนุษย์ก็เป็นสภาวะที่เป็นละครที่เป็นอมตะของมนุษย์และเป็นอมตะของสสาร
 ผู้กำกับและผู้สร้างของละครนี้คือ พระเจ้าชีว่า-ดวงวิญญาณสูงสุด


หนึ่งวงจรที่สมบูรณ์นั้นรู้จักกันว่าเป็นหนึ่งกัลป ซึ่งครบวงจรใน 5,000 ปี สวัสดิกะแบ่งกัลปออกเป็นสี่ช่วง ๆ ละ 1,250 ปี เท่า ๆ กัน สี่ช่วงนี้แทนสี่ยุคหรือสี่สมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน คือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง และ ยุคเหล็ก ช่วงสุดท้ายของยุคเหล็ก (กลียุค) ตามมาด้วย การเริ่มต้นของ ยุคทอง (สัตยุค) ในระหว่างสองยุคนี้เป็น "Sangam Yuga" (สังกัมยุค) หรือ "ยุคแห่งการบรรจบพบกัน" เป็นช่วงที่พระเจ้ามากระทำการที่สูงส่งของการก่อตั้งโลกใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และก็ทำลายล้างโลกเก่าด้วย การบรรจบพบกันของยุคแรกและยุคสุดท้ายเกิดขึ้นเพราะเป็นวงจรธรรมชาติของละครโลก

ยุคทอง (สัตยุค)
เป็นยุคซึ่งมีโลกที่สมบูรณ์พร้อมที่สร้างโดยพระเจ้า พ่อชีว่าโดยผ่านประชาปิตาบราห์มา เป็นโลกที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสมบูรณ์ ธาตุของธรรมชาติอยู่ในระเบียบที่ดีเลิศ ความหายนะตามธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ทอร์นาโดและเฮอริเคน ฯลฯ ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีความต้องการ ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ปราสาททำด้วยทองคำประดับด้วยอัญมณีที่มีค่ามากที่สุด โลหะและเพชรพลอยที่มีค่าซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันมีไว้ให้ทุกคนอย่างเหลือเฟือในสัตยุค มันเป็นของธรรมดาที่นั่น อาหารก็เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูงสุด ธาตุต่าง ๆ บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ สีสัน รสชาติ ภาพ และเสียงของยุคนี้ไม่สามารถที่จะเลียนแบบให้เหมือนได้




ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมและวัฒนธรรมอยู่ที่จุดสูงสุด ไม่มีสงคราม ผู้ปกครองคู่แรกคือ ศรีลักษมีและศรีนารายัญ ซึ่งเรียกว่า "สุริยราชวงศ์" ราชวงศ์ดำเนินไปตลอดทั้งยุคทอง คุณธรรมและสภาวะความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดและแทนด้วย 16 องศาของคุณภาพที่สูงสุด ศิลปะ 16 อย่าง ที่สูงสุดนั้น เปรียบได้กับพระจันทร์เต็มดวง (คืนที่พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ถูกเรียกว่าสมบูรณ์พร้อม 16 องศา ในคืนที่ตามมาองศาก็ลดลงอย่างสม่ำเสมอ การอุปมาอุปมัยนี้ใช้อธิบายกับเทพ ในยุคที่ตามมาองศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง)




ประชากรของยุคทองนั้นน้อยมาก กษัตริย์และราชินีมีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นไร ประชาราษฎร์ก็มีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นกัน และรู้กันว่าพวกเขาคือ เทพ โลกนั้นปราศจากกิเลส ดังนั้น เด็กที่เกิดจึงบริสุทธิ์ การเกิดและการตายปราศจากความเจ็บปวดและจะได้รับนิมิตรปรากฏขึ้นก่อน




เหตุการณ์ที่จะมาถึง ไม่มีการตายก่อนเวลา การตายแต่วัยเด็กไม่มี ณ ที่นั้น ไม่มีการไว้ทุกข์เวลามีคนตายเพราะเป็นการเข้าใจกันทุกคนว่าดวงวิญญาณเปลี่ยนร่าง การเป็นอยู่ของพวกเขานั้นสงบและปิติสุขอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่า "ชีวัน มุกตี" (Jeewan Mukti)

ยุคเงิน (Treta Yuga)
เป็นยุคที่มีความเป็นอยู่เหมือนกับยุคทอง แต่องศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมลดลงจาก 16 องศา เหลือ 14 องศา มีประชากรเพิ่มขึ้น ผู้ปกครองเปลี่ยนเป็น ศรีราม และ ศรีสีดา แห่ง "จันทราราชวงศ์" ยุคนี้ปราศจากกิเลส มีกฏหมายที่สมบูรณ์และเป็นระเบียบ อุดมสมบูรณ์และมีความสอดคล้องกลมกลืนในความเป็นอยู่ ความแตกต่างระหว่างสองยุคนี้คือ ยุคเงินนั้นมีความปิติสุขน้อยกว่ายุคทองเล็กน้อย




สองยุคนี้รวมกันเป็นระยะเวลาซึ่งโลกเป็นสวรรค์ เป็นระยะเวลา 2,500 ปี ช่วงเวลานี้ เรารู้จักกันในฐานะเป็นกลางวันของบราห์มา

ยุคทองแดง (Dwapur)
ยุคนี้นรกได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เทพเริ่มหลงลืมตนเอง พวกเขาเริ่มมีสำนึกแห่งความเป็นร่าง ผู้ซึ่งเคยเป็นเทพก้าวเข้าสู่หนทางของกิเลสและความไม่ชอบธรรม เทพเริ่มสูญเสียคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา ขณะที่พวกเขากลายมาเป็นผู้ที่มีกิเลส ความหายนะและปัญหาที่เกิดจากสำนึกแห่งความเป็นร่างก็เริ่มต้นขึ้น 




สภาวะของความปิติสุขค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองไปสู่สภาวะของความตึงเครียดและไม่มีความสุข ธาตุธรรมชาติก็หยุดที่จะให้ความสะดวกสบาย ความสมดุลย์ที่เคยมีมาก่อนระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมก็ถูกรบกวน ความหายนะทางธรรมชาติก็เริ่มต้นขึ้น องศาของความสมบูรณ์ก็ลดลงไปถึง 8 
นี่เป็นเวลาที่ความศรัทธาของการบูชากราบไหว้เริ่มต้นขึ้น (Bhakti) เริ่มแรกเป็นการบูชากราบไหว้พระเจ้าชีว่าผู้ปราศจากร่างก่อน แล้วการบูชาบวงสรวงเทพ เช่น ศรีลักษมีและศรีนารายัญก็เริ่มตามมา

ในยุคทองแดงศาสนาอื่น เริ่มต้นขึ้น 2,500 ปีก่อนวันนี้ ท่านอับบราฮัม ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา 2,250 ปีก่อนวันนี้ พระพุทธเจ้าก่อตั้งศาสนาพุทธขึ้นมา 2,000 ปีก่อนวันนี้ จีซัสไครสท์ ก่อตั้งศาสนาคริสต์ และ 1,450 ปีก่อนวันนี้ ท่าน โมฮัมเหม็ด เริ่มต้นศาสนามุสลิม ความจริงที่น่าสนใจที่ควรจะตั้งข้อสังเกตุ นั่นคือศาสนาเหล่านี้ เริ่มต้นหลังจากคุณธรรมสูงส่งได้หายไปจากโลกนี้ เทพซึ่งครั้งหนึ่งเคยน่าเคารพยำเกรง บัดนี้บูชากราบไหว้ภาพและรูปปั้นของตัวเอง ผู้ที่น่าเคารพยำเกรงได้กลายเป็นคนธรรมดา ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยน่ากราบไหว้บูชา บัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้
ในยุคนี้ประชากรได้เพิ่มมากขึ้น อายุที่ยืนยาวก็ลดลง ชีวิตไม่ได้บริสุทธิ์อีกต่อไป แต่ถูกชี้นำโดยกิเลสต่าง ๆ ความโศกเศร้าเริ่มต้นขึ้น ความเป็นหนึ่งเดียวของสวรรค์ได้หายไป ทำให้เกิดรูปแบบของศาสนาที่ผสมผสานกันหลายแบบ รวมทั้งอาณาจักรและภาษา ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้ง เนื่องจากคุณธรรมที่สูงส่งหมดไป เทพก็ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าเทพอีกต่อไป หลังจากนั้นศาสนาเทพดั้งเดิมก็เปลี่ยนไปเป็น ศาสนาฮินดู แปลกกว่าศาสนาอื่น ๆ เพราะว่าไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา 
จริง ๆ แล้ว คำว่า ฮินดูได้รับมาจาก "อินดัส" (Indus) เป็นชื่อแม่น้ำซึ่งอยู่ในอินเดียถูกเรียกว่า ฮินดูสถาน ซึ่งหมายถึง ดินแดนของแม่น้ำอินดัส ชื่อฮินดูเดียวกันนั้นเองก็ถูกนำมาใช้กับศาสนา ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นรูปแบบที่ตกต่ำแล้วของศาสนาเทพดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งมีชื่อเดิมว่า อดิสานาธาน เดวี เตวะตา ธรรมะ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma)

ยุคเหล็ก (กลียุค)
มนุษย์ได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วมากในยุคเหล็ก (กลียุค) พิธีกรรมของการบูชากราบไหว้ได้มีอำนาจต่อสังคมอย่างรุนแรง สภาวะได้มาถึงจุดที่ผู้บูชากราบไหว้ถึงกับเริ่มบูชากราบไหว้แม่แต่ ธาตุ ภูเขา แม่น้ำลำธาร บ่อน้ำ สถานที่ดังกล่าวได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแสวงบุญ ศีลธรรมตกต่ำ กิเลสต่าง ๆ  เพิ่มขึ้น ความรู้ได้ใช้ไปในทางที่ผิด จิตใจและสติปัญญาของมนุษย์เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งชั่วร้าย ความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันนั้นเกิดขึ้นรุนแรงสาหัส ประชากรเพิ่มขึ้นไปสู่อัตราที่ไม่สามารถจัดการได้ ชีวิตที่เคยยืนยาว บัดนี้ได้ถึงจุดที่สั้นที่สุด ความตายก่อนเวลาอันควรเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวันนี้ ความโศกเศร้าและไม่มีความสุขอยู่ที่จุดสูงสุด  ศีลธรรมตกต่ำ



ยุคทองแดง และ กลียุค เมื่อรวมกันเข้าก็ทำให้โลกกลายเป็นนรก และถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา มีระยะเวลา 2,500 ปี


ยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga)



พระเจ้าพ่อชีว่าพูดว่า ท่านเองมาจากพารามธรรม เมื่อความไม่ชอบธรรมบนโลกมากถึงจุดสูงสุด เพื่อทำลายความไม่ชอบธรรมที่ปรากฏอยู่ทั่วไป และมาก่อตั้งศาสนาเทพดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่ง "ชีพบาบา" ลงมาเพียงในตอนปลายของกลียุคที่มนุษย์เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า (ยุคเหล็ก) มันเป็นช่วงเวลานี้นี่เองที่มนุษย์ร้องเรียกหาท่าน และทำทุกวิถีทางที่จะอ้อนวอนและร้องเรียกให้ท่านมาและช่วยพวกเขาให้พ้นภัย ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน มาให้ความช่วยเหลือและชำระล้างบาปให้พวกเขา ชีพบาบาอวตารลงมา (ลงมาบนโลก) ในช่วงบรรจบพบกันของตอนจบของกลียุค และตอนเริ่มต้นของสัตยุค ณ เวลาที่ท่านอวตารลงมาในร่างของ บราห์มา ยุคแห่งการบรรจบพบกันก็เริ่มต้นขึ้น

มีเพียงการอวตารครั้งเดียวของพระเจ้า
ชีพบาบาได้วางรากฐานของโลกใหม่ โลกใหม่ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นได้หลังจากการจบสิ้นของความไม่ถูกต้องของโลกเก่าแห่งกลียุคเท่านั้น ดังนั้น การอวตารลงมาของชีพบาบาจึงเกิดขึ้น ณ ยุคบรรจบพบกันนี้เท่านั้น จะไม่มีการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในช่วงเวลาอื่นของกัลปนอกจากเวลานี้ ท่านอวตารลงมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากสภาวะของโลกซึ่งตกต่ำลงเรื่อย ๆ ไปจนถึงตอบจบของยุคเหล็ก

มันเป็นเพียงเวลาเดียวของยุคแห่งการบรรจบพบกันที่ชีพบาบาได้อวตารลงมา และเปลี่ยนโลกไปเป็นสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สำคัญที่สุด และเป็นสมัยที่เป็นสิริมงคลในกัลปเพราะเป็นเวลาที่ท่านอวตารลงมา มันอาจจะเรียกว่า "ยุคเพชร" ได้ด้วย พวกเราทั้งหมดอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน บัดนี้ เรากำลังตระเตรียมตนเองโดยผ่านราชโยคะ 
เพื่อการโยกย้ายจากนรกที่แท้จริงของปัจจุบันซึ่งเรียกว่า "ยุคเหล็ก" ไปสู่โลกใหม่แห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมที่เรียกว่า "ยุคทอง" (สวรรค์) ยุคแห่งการบรรจบพบกันมีไว้สำหรับผู้ที่มีความรู้นี้ สำหรับผู้ที่ไมีมีความรู้นี้หรือผู้ที่ไม่เชื่อ ยังเป็นกลียุคของพวกเขา นี่คือเวลาที่ดวงวิญญาณธรรมดาจะเปลี่ยนไปสู่ ดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงสุด (Purushottam)

นี่คือเหตุผลที่ช่วงเวลานี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยุคแห่งการบรรจบพบกันของดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงส่ง ในหนทางของความศรัทธาของการบูชากราบไหว้ การบรรจบพบกันของแม่น้ำสองสาย หรือ มากกว่านั้นถือว่าเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์ ปกติการสร้างวัดจะเลือก ณ จุดนี้ ผู้คนมาอาบน้ำที่จุดนี้ด้วยความปรารถนาที่จะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์

แต่ดวงวิญญาณไม่สามารถจะทำให้บริสุทธิ์ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย การบรรจบพบกันของแม่น้ำเป็นสัญลักษณ์ของการบรรจบพบกันของยุคทองและยุคเหล็ก นั่นคือเวลาที่ดวงวิญญาณได้ชำระหนี้ที่เคยมีมาก่อน ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยพระเจ้า หลังจากที่ท่านอวตารลงมาบนโลก

สถาบันแห่งความรู้ของพระเจ้า (The Rudra Gyan Yagya)

พระเจ้าชีว่าถูกเรียกว่า รูดร้า (Rudra)  ด้วย ท่านได้วางรากฐานของสถาบันของความรู้ของพระเจ้า Rudra Gyan Yagya (ออกเสียงว่า ยักน่า) โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ด้วยเหตุนี้สถาบันที่ก่อตั้งขึ้นจึงถูกเรียกว่า ประชาปิตาบราห์มา กุมารี อิศวาริยา วิชชา วิทยาลัย (Prajapita Brahma Kumaris Ishwariya Vishwa Vidyalaya) มหาวิทยาลัยของพระเจ้าที่ซึ่งสอนหลักการของการสละละทิ้งกิเลสทั้งห้า ให้ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นสมาชิกใหม่ได้ฝึกปฏิบัติราชโยคะที่ง่าย ๆ เพื่อดวงวิญญาณจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ นี่เป็นขั้นแรกในการก่อตั้งโลกใหม่




ประชาปิตาบราห์มาไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นสื่อที่มีร่างของพระเจ้าผู้เป็นพ่อซึ่งไม่มีร่าง ในวัดของชีว่า ท่านมีสัญลักษณ์เป็น วัวศักดิ์สิทธิ์ (Nandi) เป็นพาหนะของพระเจ้าชีว่าผู้ไม่มีร่างกาย ในความเป็นจริง ประชาปิตาบราห์มาถูกแต่งตั้งให้เป็นพาหนะที่เป็นมนุษย์ที่เป็นสิริมงคลซึ่งพระเจ้าชีว่าได้ลงมาใช้สั่งสอนความรู้คือ กีตะ เพื่อก่อตั้งโลกใหม่


ช่วงเวลาการอวตารลงมาของพระเจ้า
(The Period Of God's Incarnation)


(ภาพประกอบ D)
 ช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลที่สุดในวงจรละครโลกคือ การบรรจบพบกันของปลายยุคเหล็กกับช่วงเริ่่มต้นของยุคทอง เมื่อพระเจ้าชีว่าอวตารลงมาแสดงหน้าที่ที่สูงส่งของท่าน





จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Sunday, May 5, 2013

บทบาทของวิษณุ


บทบาทของวิษณุ
                 วิษณุถูกแสดงว่าเป็นเทพมี 4 แขนซึ่งอยู่บนโลกที่ละเอียด รูปของวิษณุตามความเป็นจริงเป็นสัญลักษณ์ของการรวมกันของศรีลักษมีและศรีนารายัญ จักพรรดิณีและจักพรรดิ์คู่แรกของยุคทอง พวกเขาปกครองร่วมกันและเป็นสัญลักษณ์ของการรวมกันของความรักและกฎ พวกเขาปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ปราศจากความรุนแรงโดยสิ้นเชิง มีคุณธรรมที่สมบูรณ์และเป็นตัวแทนของเทพที่มีร่างกายอันสูงส่ง ศรีลักษมีและศรีนารายัญเป็นผู้ปกครองสวรรค์คู่แรก พวกเขามีมงกุฎทั้งสอง มงกุฎของแสงหรือรัศมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ หรือ ใจบุญ และมงกุฎทองคำซึ่งประดับด้วยเพชรพลอยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและเป็นเครื่องหมายของความสูงสุดแห่งอำนาจในการปกครอง และสามารถพูดได้ว่านี่เป็นความสูงสุดของมนุษย์ที่ปรากฎให้เห็นบนโลก

สัญลักษณ์ของเครื่องประดับสี่อย่าง
                  แต่ละมือของวิษณุมีสัญลักษณ์ที่ประดับไว้ด้วยเครื่องประดับทั้งสี่อย่าง คือ สังข์ จักร คฑา ดอกบัว
                  สังข์ เป็นเครื่องหมายของการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้า ซึ่งผ่านออกมาโดยปากเป็นสัญลักษณ์ของเสียงและคำพูด
                  จักร หรือ จักรา ใช้แทนความรู้เกี่ยวกับตนเองและวงจรของโลก
                  คฑา แทนชัยชนะที่มีเหนือกิเลสทั้งห้าในความคิด คำพูดและการกระทำ
                  ดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตครอบครัวที่บริสุทธิ์ และอยู่อย่างละวาง

วิษณุ คือเป้าหมายของราชโยคะ
                  วิษณุเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็นจุดประสงค์และเป้าหมายของราชโยคะของพระเจ้า วิษณุเป็นตัวแทนของผู้ปกครองและอาณาประชาราษฎร์ ผู้ซึ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมของยุคทอง พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ซึ่งจะบำรุงรักษาโลกสัตยุคที่บริสุทธิ์และใหม่(ยุคทอง) พระเจ้า พ่อชีว่าพูดว่า สถานภาพที่สูงที่สุดที่มนุษย์จะได้รับจากท่านด้วยการศึกษาราชโยคะ นั่นคือจะได้กลายเป็นเทพ เช่นศรีลักษมีและศรีนารายัญซึ่งมีมงกุฎทั้งสอง ชีพบาบา ชักชวนมวลมนุษย์ให้เอาวิษณุเป็นแบบอย่าง และนำเอาสัญลักษณ์ซึ่งเป็นคุณสมบัติแห่งเครื่องประดับทั้งสี่มาใช้ในชีวิตที่เป็นจริงของพวกเขา ดวงวิญญาณผู้ซึ่งทำตามก็ได้รับสถานภาพเทพ นั่นคือ สภาวะที่สูงส่งสมบูรณ์พร้อมและมั่นคง เต็มไปด้วยความสุข และความมั่นคงร่ำรวยในโลกใหม่          



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Saturday, May 4, 2013

ชีว่าและชางก้า

ชีว่าและชางก้าไม่ใช่คนคนเดียวกันและไม่เหมือนกัน โดยทั่ว ๆ ไปทุก ๆ คนเชื่อว่า พระเจ้าชีว่าผู้เป็นพ่อ เป็นผู้ปราศจากร่าง ขณะที่ชางก้าเป็นเทพละเอียดและมีร่างเป็นแสง ภาพของพระเจ้าชีว่าเป็นรูปไข่วงรี และถูกบูชาในฐานะที่เป็น ชีว่า ลิงก้า 
ขณะที่ชางก้ามีรูปเป็นมนุษย์ พระเจ้าชีว่าอาศัยอยู่ในพารามธรรม ขณะที่เทพชางก้าอาศัยอยู่ในโลกที่ละเอียดในอาณาเขตที่เรียกว่า ชางก้าบุรี พระเจ้าชีว่าเป็นผู้สร้าง ขณะที่ชางก้าเป็นสิ่งสร้างของท่าน เป็นหนึ่งในสามของตรีมูรติที่สูงส่งและเป็นผู้รับผิดชอบในการทำลายล้างโลกเก่า (ดูภาพประกอบ B)ในบางภาพจะเห็นชางก้านั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้าชีว่าลิงก้า ซึ่งแสดงให้เห็นความแตกต่างของทั้งสอง


ความแตกต่างระหว่าง ชีว่า และ ชางก้า
The Difference Between Shiva and Shankar


(ภาพประกอบ B) 
ชางก้าคือเทพละเอียดในรูปของร่างที่เป็นแสงที่อาศัยอยู่ในโลกละเอียดและเป็นเครื่องมือสำหรับการทำลายโลกเก่าแห่งยุคเหล็ก ขณะที่พระเจ้าชีว่าเป็นผู้สร้างที่ปราศจากร่างของบราห์มา วิษณุและชางก้า พระเจ้าชีว่าอาศัยอยู่ในพารามธรรมและถูกเรียกว่า สวรรค์สูงสุด




จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Friday, May 3, 2013

บทบาทของชางก้า


บทบาทของชางก้า

                  เมื่อโลกใหม่ถูกก่อตั้งขึ้นโลกเก่าก็ถูกทำลาย การทำลายล้างโลกยุคเหล็กซึ่งเป็นโลกของกิเลสนั้นเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นความสงบและความสุขที่สมบูรณ์และยาวนานก็ไม่สามารถนำกลับมาสู่โลกนี้ได้ ความจริงก็คือความดีและความชั่วร้ายไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
                  ชางก้าเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างสิ่งเก่าทั้งหมด ทำลายความเลวและความชั่วร้าย เมื่อกิเลสทั้งห้าเริ่มเติบโตเกินอัตรา ทุกๆชาติในโลกก็มีการทะเลาะวิวาทกันมากขึ้น มันเป็นเวลาของการทำสงครามทำลายล้างครั้งสุดท้าย วิทยาศาสตร์เป็นตัวควบคุม การค้นคิดอาวุธที่ร้ายแรงเพื่อการทำลายอย่างทันทีทันใดและมีขอบเขตการทำลายที่กว้างใหญ่ ระเบิดนิวเคลียร์และจรวดติดหัวรบที่มีอานุภาพการยิงเข้ามทวีปที่ทรงพลัง การสะสมอาวุธร้ายแรงเป็นปริมาณมากมายในคลังแสงของกลุ่มมหาอำนาจโลก อาวุธที่มีการทำลายที่ร้ายแรงเหล่านี้มันไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อเก็บไว้อย่างแน่นอน พวกเขาตั้งใจจะใช้มันในสงครามนิวเคลียร์ โลกที่ตกต่ำกำลังมาถึงจุดจบ!

การทำลายล้างของโลกกิเลส
                   ชีพบาบาได้เปิดเผยว่าความหายนะอันใหญ่หลวงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ ชาติที่มีการพัฒนาทางด้านวิทศาสตร์จะเป็นคนเริ่มสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งเป็นการทำลายล้างโดยสิ้นเชิง ช่วงเวลานี้จะเห็นแนวโน้มจากสงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ ความหายนะตามธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ความอดอยาก แผ่นดินไหว ซึ่งจะเกิดขึ้นจากบทบาทของคน ธาตุของธรรมชาติก็จะบ้าคลั่งและต่อต้านมนุษย์อย่างรุนแรง จะเกิดความโกลาหลอันเนื่องมาจากความตื่นตกใจที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก จะขาดแคลนโรงพยาบาล เครื่องอำนวยความสะดวกและสิ่งที่ทำให้ชีวิตรื่นรมณ์อื่น ๆ ก็ถูกทำลายไป
                   ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของมนุษย์ได้ก็คือ การคิดถึงชีพบาบาด้วยความรักอย่างเป็นธรรมชาติและง่าย ๆ เพียงเท่านั้นที่จะเป็นวิธีคลายทุกข์ ผู้ซึ่งฝึกฝนราชโยคะกับพ่อสูงสุดจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์อย่างปราศจากความกลัวด้วยความแข็งแกร่ง
                   ความยุ่งยากร้ายแรงที่กล่าวมาข้างต้นจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดจะทำลายพลังชั่วร้ายทั้งหมดและจะชำระธาตุธรรมชาติด้วย การทำลายล้างนี้เป็นประโยชน์ในรูปแบบที่ซ่อนเร้นมันจะปลดปล่อยดวงวิญญาณจากทุกขเวทนาและความทุกข์ทรมานของโลกยุคเหล็ก การทำลายล้างนี้เป็นการชำระล้าง เป็นการทำความสะอาด โดยการเกิดสงครามบิวเคลียร์ล้างโลกครั้งสุดท้าย จะเป็นการปลดปล่อยดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดบนโลกอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อพวกเขาจะสามารถกลับบ้านไปยังดินแดนดั้งเดิมแห่งความสงบ พารามธรรมของพากเขา! 
ถ้าโลกยุคเหล็กยังดำเนินต่อไปนานกว่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้เลยว่าความทุกข์ทรมานจะน่ากลัวขนาดไหน การทำลายล้างนี้ไม่ใช่เป็นการกระทำโดยตรงของพระเจ้าแต่เราสามารถเห็นอิทธิพลของความเมตตาของพระเจ้านั้นคือการสร้างขบวนการการทำลายล้างให้เกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติจากกำลังของความรุนแรงซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากน้ำมือของมนุษย์
                    มนุษยชาติจะไม่ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นในสงครามนิวเคลียร์อย่างที่บางคนกลัว แน่นอนประชากรมนุษย์จะเหลือน้อยมาก ดวงวิญญาณซึ่งผ่านการชำระล้างตนเองด้วยความเพียรพยายามทางดวงวิญญาณ โดนการฝึกฝนราชโยคะมาแล้วจะลงมาจากพารามธรรมกลายเป็นเทพในยุคทอง ดวงวิญญาณที่เหลือจะกลับไปยังพารามธรรมแต่พวกเขาจะต้องถูกชำระบาปของพวกเขาก่อน โดยผ่านการลงโทษผ่าน ธรรมราช พวกเขาจะอยู่ในพารามธรรมจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะเล่นบทบาทบนโลกในวงจรต่อไป (รายละเอียดจะมีการอธิบายตามมา)     


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Thursday, May 2, 2013

บทบาทของบราห์มา



บทบาทของบราห์มา
เพื่อจุดประสงค์ในการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้าและสอนราชโยคะให้กับมนุษย์ พระเจ้าชีว่าจึงลงมายังโลกมนุษย์จากที่อยู่สูงสุด(พารามธรรม) ท่านเป็นจุดแห่งแสงที่ปราศจากร่างและท่านเองไม่มีร่างเป็นของตน ท่านจึงยืมร่างของมนุษย์เป็นสื่อเพื่อใช้อวัยวะพูด เพื่อการถ่ายทอดความรู้ที่สูงส่ง ท่านไม่ได้เกิดเช่นเด็ก ๆ เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่เกิดจากครรภ์ของมารดา ซึ่งนั่นจะเป็นเงื่อนไขให้การมาของท่านตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม และวงจรของการเกิดและตาย ท่านอยู่เหนือขบวนการเกิดและตายนี้ตลอดไป ดังนั้นท่านจึงอวตารลงมาในร่างของผู้ที่มีอาวุโสมีประสบการณ์และเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกไว้ ซึ่งท่านได้ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารสำหรับถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้า

พระเจ้าชีว่าได้ให้ชื่อที่สูงส่งกับบุคคลที่ท่านลงมาใช้ร่างว่า "ประชาปิตาบราห์มา" ร่างของประชาปิตา บราห์มา จึงมีสองดวงวิญญาณอยู่ในร่าง ดวงวิญญาณหนึ่งเป็นของท่านและอีกดวงหนึ่งเป็นของดวงวิญญาณสูงสุดที่เข้า ๆ ออก ๆ ร่างนี้ นี่เป็นวิธีการที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาจากโลกที่ไร้ร่างมาสู่โลกที่มีตัวตน การลงมาที่แสนจะพิเศษสู่ร่างมนุษย์ โดยพระเจ้าชีว่านี้ก็รู้จักกันว่าเป็น การอวตาร (การเกิดที่สูงส่ง) ซึ่งแตกต่างจากการเกิดของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เหตุการณ์มีการเฉลิมฉลองกันทุกปีในฐานะที่เป็น "ชีพราตรี" เพื่อเป็นการระลึกถึงการลงมาของพระเจ้าชีว่า เพื่อจบสิ้นกลางคืนของความไม่รู้ และทำลายกิเลสทั้งห้า

บราห์มา และ บราห์มิน
ตามประเพณีความเชื่อ บราห์มา รู้จักกันในฐานะเป็นผู้สร้าง มีการพูดกันว่าท่านสร้าง บราห์มิน จากปากของท่าน จะมีใครให้กำเนิดบุตรทางปากได้บ้าง ความหมายที่แท้จริงของการสร้างทางปากนั้น เป็นการที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดผ่านปากของประชาปิตาบราห์มา ซึ่งความรู้นี้ในตอนหลังได้กลายเป็นที่รู้จักกันในนามของ กีตะ ความรู้ที่ถ่ายทอดนั้นทำให้คนสามารถใช้ฝึกปฏิบัติราชโยคะที่ง่ายดาย ดวงวิญญาณเหล่านั้นจำบราห์มาได้ว่าเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ได้รับความรู้ผ่านท่าน ฝึกปฏิบัติราชโยคะกับท่านและได้เกิดใหม่ทางดวงวิญญาณ พวกเขาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น บราห์มินที่แท้จริง  
นี่เองที่บราห์มิน ถูกเรียกว่าเกิดสองครั้ง(Dwija) บราห์มินที่แท้นั้นมีพ่อ 3 คน คนแรกเป็นพ่อทางร่างกาย คนที่สอง ประชาปิตาบราห์มา และ คนที่สามพ่อผู้ไม่มีร่างเป็นของตนเอง พระเจ้าชีว่า


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


การกระทำสามประการของพระเจ้า

การกระทำสามประการของพระเจ้า
พระเจ้าชีว่าพูดว่าท่านกระทำหน้าที่ 3 ประการ กล่าวคือ การสร้าง การบำรุงรักษา และการทำลาย พระเจ้าเป็นพ่อสูงสุดของมวลมนุษย์ทั้งหมด ดังนั้น หน้าที่เหล่านี้ของท่านมีความสัมพันธ์ต่อโลกทั้งหมด ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์คนใดเป็นพิเศษ หน้าที่การสร้าง การบำรุงรักษา และการทำลายล้างของพระเจ้า ไม่ได้อ้างถึง การเกิด การเจริญเติบโตและการตายเป็นลำดับของบุคคลใด ๆ เป็นพิเศษ  สิ่งเหล่านี้ถูกควบคุมโดยการกระทำของบุคคลนั้น ๆ ที่ทำไว้ในชีวิตก่อนชาตินี้ของเขา และรวมทั้งการกระทำในชาตินี้ด้วย พระเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องในสิ่งนี้ ท่านไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหรือกระตุ้นการกระทำของมนุษย์
ดวงวิญญาณแต่ละดวงจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขา ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว หากการกระทำนั้นดี ดวงวิญญาณก็จะประสบกับความสุขและความปิติ ถ้าทำเลว ดวงวิญญาณก็จะทนทุกข์ต่อความโศกเศร้าและไม่มีความสุข สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยขบวนการที่เป็นอัตโนมัติ ผลรวมทั้งหมดของการกระทำของดวงวิญญาณทั้งหมดเป็นตัวกำหนดสภาวะของโลก ให้เป็นไปตามสภาวะนั้น ๆ ของเวลานั้น พระเจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้

ความหมายของสิ่งสร้างโดยพระเจ้า
หน้าที่ 3 ประการ ของพระเจ้าชีว่าที่ซ้อนกันอยู่หมายถึง การสร้าง (ความจริงคือการทำของเก่าให้ใหม่อีกครั้ง) ระเบียบของโลกใหม่ การทำลายล้างโลกเก่า และการบำรุงรักษาโลกที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ภาระกิจของพระเจ้าคือ การชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ เมื่อโลกได้จมลงสู่ก้นบึ้งของสภาวะที่ไร้ศีลธรรม พระเจ้าก็ก่อสร้างโลกที่ถูกต้องขึ้นและทำลายล้างโลกที่ไม่เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นเรื่องของการทำให้โลกยุคเหล็กจบลงและนำยุคทองกลับมา การกระทำของพระเจ้าที่เรียกว่า การสร้าง ไม่ได้หมายความว่าก่อสร้างบางอย่างขึ้นมาจากการที่ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แต่หมายความถึงการปรับปรุงศีลธรรมหรือนำมวลมนุษย์ให้กลับมามีความสุขสดชื่นโดยทำการยกระดับสติปัญญาของมนุษย์ให้สูงส่ง ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นการสร้างสวรรค์บนโลกอีกครั้งหนึ่ง

ไม่มีอะไรที่สร้างขึ้นมาแล้วเป็นสิ่งคงทนถาวร
อะไรที่ถูกสร้างขึ้นมาจะต้องถูกทำลาย! เมล็ดได้ถูกหว่านลงไปบนท้องทุ่ง เมล็ดงอกงามเติบโตและในที่สุดก็ไปสู่จุดจบ ธัญญาหารก็ถูกเก็บเกี่ยว มนุษย์ได้วางแผนและทำตามแผนที่เขาไ้ด้วางไว้ สิ่งที่เขาทำเสร็จไปแล้วก็ค่อย ๆ ถูกทำลายไปตามกาลเวลา อาคาร เขื่อน พิพิธภัณฑ์ ได้ถูกออกแบบ สร้าง แล้วก็ถูกทำลายตามกำหนดเวลา 
การทำงานของพลังทั้งสามของ การสร้าง การบำรุงรักษาและการทำลายล้าง เป็นมรดกในระบบของตัวของมันเอง ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองที่มีการคงอยู่สืบเนื่องไปอย่างถาวรในรูปแบบดั้งเดิมของมัน มันจะต้องมีการผ่านสภาวะทั้งสามนี้ อาณาจักรทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็น โรมัน หรือ ออตโตมาน (อาณาจักรตุรกี) สมัยก่อนหรือ พวกอังกฤษ หรืออื่นใดก็ตามก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนนี้


เวลาแห่งการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้า



ละครโลกก็ทำหน้าที่เช่นเดียวกัน พระเจ้าพ่อชีว่ากระทำการที่สูงส่งของท่าน ในการสร้าง บำรุงรักษาและทำลาย ในตอนจบของทุก ๆ กัลป ซึ่งเป็นเวลาที่ความไม่ชอบธรรม ไม่มีศาสนาและไม่มีความสงบถึงขีดสุดมาถึง 
ท่านแสดงการกระทำหน้าที่ที่สูงส่งสามประการโดยผ่านเทพละเอียดที่สูงส่ง 3 องค์คือ บราห์มา วิษณุ และชางก้า (ดูภาพประกอบ : ดวงวิญญาณสูงสุด พระเจ้า และการกระทำที่สูงส่งของท่าน) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกเรียกว่า ตรีมูรติชีว่า หรือ ผู้สร้างเทพละเอียดทั้งสาม จะสามารถเห็นได้โดยผ่านนิมิตที่สูงส่งโดยราชโยคี ในอาณาเขตที่ละเอียดทั้งสามของโลกที่ละเอียด คือ บราห์มาบุรี วิษณุบุรี และ ชางก้าบุรี (บุรี หมายถึงอาณาเขต) 



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Tuesday, April 30, 2013

หน้าที่ของพระเจ้า


พระเจ้าสร้างจักรวาลหรือ ??
พระเจ้าสร้างธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศหรือ ??


ผู้คนมากมายเชื่อว่าท่านสร้างสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าชีว่าพูดว่า ไม่ใช่! แล้วท่านสร้างอะไรกันล่ะ ? อะไรคือการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้า มีความสับสนอย่างมากเกี่ยวกับหน้าที่ของพระเจ้า! โดยทั่วไปมีการเชื่อกันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เป็นการกระทำของพระเจ้า ผู้คนส่วนมากคิดว่ามนุษย์เป็นเครื่องมือสำหรับการปฏิบัติงานตามความต้องการของท่านและไม่มีสิ่งใดซึ่งเป็นส่วนที่มนุษย์ทำเองเลย ส่งผลสะท้อนที่ลึกลงไปในความหมายว่าพระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมทั้งหมดด้วย ดังนั้น บนพื้นฐานของความเชื่อเช่นนี้จึงเป็นการส่งเสริมให้มนุษย์โทษพระเจ้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความผิดและบาปที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่ถ้าพระเจ้ากระตุ้นให้อาชญากรก่ออาชญากรรมและความรุนแรงอื่น ๆ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องถูกแขวนคอหรือถูกลงโทษ! ควรจะเป็นพระเจ้าที่ถูกลงโทษมิใช่หรือ!

พระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นให้มนุษย์ทำหรือ ??
เมื่อพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุด หน้าที่ของท่านก็สูงส่ง สง่างามและไม่เหมือนใคร มีการพูดกันบ่อยครั้งว่าชื่อของท่านนั้นสูงส่ง ที่อยู่ของท่านก็สูงส่ง การกระทำของท่านก็สูงส่ง ท่านเป็นผู้ให้คุณประโยชน์ มีเมตตากรุณา ท่านเป็นสิ่งที่เป็นมงคล ใจดีและมีความปราณี การกระทำของท่านแสดงถึงธรรมชาติของท่าน ถ้าทุก ๆ การกระทำของมนุษย์เป็นการแสดงออกซึ่งความปรารถนาของพระเจ้าจริง ความสงบ ความสุข และความปิติก็จะปรากฏทั่วไปทุกหนแห่งบนโลก และทั้งโลกจะต้องมีกฏหมายที่สมบูรณ์ ระเบียบในสังคมก็จะดีพร้อม ไม่ต้องมีกองกำลังเพื่อการควบคุม อย่างเช่น กองทัพ ตำรวจและระบบนิติบัญญัติทั้งหมด

พระเจ้าและธาตุต่าง ๆ
ได้มีความคิดไปไกลอีกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นการกระทำทุกอย่าง พวกเขาคิดว่าท่านเป็นผู้ควบคุมพฤติกรรมของธาตุด้วย แม้แต่ใบไม้ที่แกว่งไกวโดยไม่ได้รับคำสั่งจากท่านั้นไม่มี! พวกเขาเชื่อเช่นนั้น ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวที่มาจากสาเหตุของพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม และความหายนะที่เกิดตามธรรมชาติ หลายคนต่างก็คิดว่าเป็นผีมือของท่านด้วย ในความเป็นจริงพระเจ้าเป็นพ่อ ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ พฤติกรรมของธาตุเหล่านี้ มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนด้วยกฏที่เป็นวิทยาศาสตร์ การขึ้นและตกของ พระอาทิตย์ ฤดูกาล ฝนตก ความหายนะทางธรรมชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นตามคำสั่งของท่าน! การคิดว่าผลงานจากพลังธรรมชาติเป็นการกระทำของพระเจ้า เป็นความไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับธรรมชาติและมนุษย์ สมมุติฐานผิด ๆ เช่นนี้ได้เปลี่ยนผู้คนมากมายให้กลายเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นงานของธรรมชาติ ไม่ใช่งานของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า พระเจ้า

สสาร ดวงวิญญาณและพระเจ้า
มีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าโลกนี้และสิ่งอื่น ๆ ในจักรวาลได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่่พระเจ้าชีว่าเปิดเผยว่าท่านไม่ได้สร้างโลกหรือจักรวาล ธาตุธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ มีและคงอยู่มาตั้งแต่อนันตกาล วิทยาศาสตร์ได้บอกเราเช่นกันว่า สสารไม่อาจสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ พระเจ้าชีว่าเปิดเผยต่อไปว่าท่านไม่ได้สร้างดวงวิญญาณขึ้นมาเช่นกัน จักรวาลและดวงวิญญาณ เป็นอมตะเช่นเดียวกับตัวท่าน สิ่งนี้จะต้องทำความเข้าใจในมุมมองที่กว้างเพราะมันเป็นกฏแห่งการคงอยู่ ที่ว่า อะไรที่ถูกสร้างขึ้นจะต้องถูกทำลาย สิ่งอมตะเท่าที่จะคงอยู่ตลอดไป เพราะมันได้มีการคงอยู่ตลอดมา สสาร ดวงวิญญาณและพระเจ้า ทั้งหมดเป็นอมตะและไม่สูญสลาย แต่ละสิ่งเหล่านี้มีคุณลักษณะ พลังและหน้าที่เป็นของตนเอง ซึ่งมีความแตกต่างจากกันและกัน
ละครโลกนี้เป็นการแสดงร่วมกันของพลังทั้งสามคือ ธรรมชาติ ดวงวิญญาณ และพระเจ้า เมื่อพลังทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกันเป็นอมตะ ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอมตะด้วย และด้วยความมหัศจรรย์เช่นนี้ ละครก็หมุนไปอย่างเป็นอมตะในรูปที่เป็นวัฎจักร ชะตากรรมก็ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้า ชะตากรรมหรือบทบาทของดวงวิญญาณทั้งหมดก็ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วและรวมไว้ในละครโลก ถ้าไม่เช่นนั้นละคนแห่งชีวิตก็จะไม่สามารถหมุนไปเป็นวัฏจักรอย่างเป็นระบบและชั่วนิรันดร์ การรู้แจ้งของพระเจ้านั้นคือความรู้เรื่องอดีต ปัจจุบันและอนาคตและเป็นอำนาจของวัฎจักรอันเป็นธรรมชาติของละครโลกด้วย



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ