Showing posts with label 84ชาติเกิด. Show all posts
Showing posts with label 84ชาติเกิด. Show all posts

Thursday, May 23, 2013

ละครโลกที่เป็นอมตะ


ผลสะท้อนที่มีต่อกัน ระหว่างดวงวิญญาณ ธรรมชาติและดวงวิญญาณสูงสุด
พระเจ้าชีว่าครูผู้สูงสุดเปิดเผยว่าละครโลกนี้ไม่มีการเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ มันเป็นอมตะและถูกกำหนดไว้แล้ว มันเคลื่อนไปบนพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกันของแก่นสารสำคัญที่เป็นอมตะสามสิ่ง ดวงวิญญาณ ประกิต (สสารหรือพลังงานที่ไม่มีชีวิต) และ พระเจ้าพ่อชีว่า ละครเป็นเรื่องราวของความสูงส่งและความตกต่ำของมนุษย์ ชัยชนะและพ่ายแพ้ ความสุขและความทุกข์ทรมาน ความรู้และความไม่รู้ ความเป็นอิสระ และการติดบ่วงของพวกเขา

มันต่างเป็นเรื่องราวของการแสดงพลังของความดีและพลังของความชั่วและสภาวะที่แตกต่างซึ่งดวงวิญญาณได้ผ่านมาในทั้งสี่ยุค มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของดวงวิญญาณที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเอง และร่างกายที่สูญสลายได้ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกต่ำของมนุษย์และแล้วก็กลับมาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับตัวเอง ความเสื่อมและความตกต่ำ กระบวนการของกฏแห่งกรรม การเริ่มมีกิเลสในตอนเริ่มต้นของยุคทองแดง การเติบโตของการบูชากราบไหว้ การลงมาเกิดของดวงวิญญาณบริสุทธิ์จากพารามธรรม การลงมาเป็นผู้นำศาสนา บทบาทของศาสนาที่แตกต่างกันในโลก ความเติบโตของผู้ที่คลั่งไคล้ และผลสุดท้าย การเปิดเผยความรู้ที่แท้จริงโดยพระเจ้าชีว่าเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่โดดเด่นของละครนี้


ละครโลกซ้ำรอยเหมือนเดิมทุกประการ

ละครโลกมี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งพระเจ้าชีว่าเปิดเผยผ่านนิมิตที่สูงส่ง เหมือนที่มีภาพประกอบไว้ในวงจรโลก และ ต้นกัลป สวรรค์ซึ่งเคยมีอยู่ บัดนี้กำลังจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในอนาคตอันใกล้ อะไรที่เป็นปัจจุบันได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในอดีต

ผู้คนพูดกันทั่วไปว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย บัดนี้พระเจ้าพ่อชีว่าพูดว่า ประวัติซ้ำรอยเดิมทุกประการทุก ๆ กัลป เหมือนกับภาพยนต์ที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ ซึ่งเป็นอมตะและซ้ำรอยแบบไม่มีจุดจบของเวลา ฉากทั้งหมดใช้เวลา 5,000 ปี และมันก็จะกลับมาฉายซ้ำโดยอัตโนมัติ

ทุก ๆ ความคิดและการกระทำของทุก ๆ ดวงวิญญาณประกอบกันขึ้นเป็นละคร ไม่มีดวงวิญญาณสองดวงที่เหมือนกัน แต่ละดวงวิญญาณมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไปในแต่ละชาติเกิด ในความเป็นจริงในแต่ละบทของแต่ละดวงวิญญาณแตกต่างกันทุก ๆ วินาที ตลอดทั้งกัลป ซึ่งละครนั้นซ้ำรอยเหมือนเดิม เพราะว่าในทุก ๆ วงจร ดวงวิญญาณทุกดวงผู้ซึ่งเป็นผู้แสดงในละครจะเป็นคนเดิม เพราะพวกเขาเป็นอมตะและไม่ตาย

แต่ละดวงวิญญาณจะเล่นบทบาทเดิมในวงจรหน้า เพราะว่าดวงวิญญาณได้บันทึกรอยประทับที่ไม่สามารถลบออกได้ไว้เป็นบทบาทของตัวเอง ซึ่งได้เล่นมาชีวิตแล้วชีวิตเล่าในวงจรโลก สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในละครนั่นคือ ดวงวิญญาณมนุษย์ซึ่งเป็นจุดแห่งแสงที่มีชีวิตบรรจุไว้ด้วยบทบาททั้งกัลป 5,000 ปี อันเป็นพลังที่นอนเนื่องอยู่ภายใน หรือเรียกว่ารอยประทับ ที่ไม่สามารถทำลายได้ มันอยู่ในรูปของสันสการ์


ละครสอนการกระทำที่ถูกต้อง

ละครอธิบายประวัติศาสตร์การคงอยู่ของมนุษย์ มนุษย์คงอยู่เพราะว่าได้มีอยู่มาตั้งแต่อนันตกาล ที่ทำให้ทฤษฏีที่มีอยู่ทั่วไปมากมายเกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์หมดความหมาย การคงอยู่นั้นเป็นอมตะมันหมุนเวียนไปตามวงล้อของเวลา ดวงวิญญาณเป็นผู้แสดงในละคร มนุษย์ที่มีความสุขจะเป็นคนซึ่งมีพฤติกรรมเช่นผู้ดู ไม่ได้รับการกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก การปล่อยวางจากภาระกิจอย่างจริงใจ ด้วยการปล่อยวางทางดวงวิญญาณ ปล่อยวางจากกรอบของความคิดเป็นสัญลักษณ์ของโยคีที่แท้จริง

มัีนเป็นเคล็ดลับของความสุขที่แท้จริงด้วย คาร์มาโยคะ (Karma Yoga) เป็นสาระสำคัญของความสุข จะต้องไม่มีความปรารถนาต่อผล แต่ผลลัพธ์ของการกระทำที่ตนทำไว้จะส่งผลเองโดยอัตโนมัติ การละทิ้งการกระทำเป็นสาเหตุของการไม่มีความสุข

พระเจ้าพ่อชีว่าเปิดเผยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่รายละเอียดของกรรมของแต่ละบุคคลไม่ได้รับการเปิดเผย ดังนั้น เราไม่ต้องนั่งนิ่งด้วยทัศนคติที่ยอมรับต่อโชคชะตา ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตและเป็นละคร เหตุการณ์จะดำเนินไปตามแผนของละคร ความรู้ที่ว่าละครจะซ้ำรอยใช้เป็นเหมือนกับเบรคของรถยนต์ ขณะที่การกระืทำหรือความเพียรพยายามเพื่อพัฒนาตนเองเหมือนกับคันเร่งของรถยนต์ ดังนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินไปตามปกติ

ความรู้ว่าละครจะซ้ำรอยเหมือนเดิมทุกประการ จะต้องไม่นำมาใช้สำหรับอนาคต ยกเว้นในกรณีที่มีความแน่นอน เช่นการกำลังมาถึงของสวรรค์เท่านั้น ความรู้เรื่องละครช่วยให้เราลืมประสบการณ์ที่ขมขื่นและทุกข์ทรมานของอดีต อย่างไรก็ตามทุก ๆ เหตุการณ์ในละครที่เจ็บปวดเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อดวงวิญญาณ ทำให้ดวงวิญญาณรู้แจ้งพอที่จะยอมรับมันในฐานะที่มันเป็นเช่นนั้น ขอให้เราเรียนรู้จากอดีตของเราและนำมาสร้างอนาคต
พระเจ้าชีว่าได้ให้ความรู้เกี่ยวกับละครที่กำลังจะมาถึงตอนจบของกัลป ความรู้นี้สามารถจะช่วยให้โยคีหลีกเลี่ยงการทำความผิดในอนาคตด้วย (ขณะที่ช่วงเวลาของการทำความเพียรทางดวงวิญญาณยังคงดำเนินอยู่) เพราะว่าเขาเข้าใจว่าอะไรก็ตามที่เขาทำบัดนี้ ก็จะซ้ำรอยเดิมหลังจาก 5,000 ปี


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


ดวงวิญญาณมนุษย์ไม่ได้ข้ามชาติไปเกิดเป็นสัตว์



ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ระหว่างกัลปดวงวิญญาณมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติ และได้รับร่างเป็นมนุษย์ตลอด มีมนุษย์บางพวกซึ่งเชื่อว่า ดวงวิญญาณมนุษย์จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์ด้วย พวกเขาเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายถึง 8ล้าน 4แสนชนิดในโลก ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงสุด พวกเขามีความเห็นว่า ดวงวิญญาณมนุษย์ที่ไปเกิดในสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อเป็นการลงโทษต่อการกระทำที่ไม่ดี

มีสถาบันทางความคิดสองแห่งที่เชื่อในสิ่งนี้ สถาบันแรกมีทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิดที่มีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณจะต้องผ่านวงจรของการเกิดทั้งหมด 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ แหล่งที่สอง มีทฤษฎีที่ความจำกัดในการข้ามสายพันธุ์ ซึ่งมนุษย์จะกลับไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดขึ้นอยู่กับบาปของเขาที่ทำไว้ และหลังจากการทนทุกข์จากการลงโทษในร่างสัตว์หนึ่งชาติหรือหลายชาติ ดวงวิญญาณของเขาจึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็ยังมีทฤษฎีของการวิวัฒนาการที่นำเสนอข้อคิดเห็นโดยนักปราชญ์ฝ่ายตะวันตก ว่ามนุษย์จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาอย่างช้า ๆ จาก อมีบา (สัตว์เซลเดียว) ทฤษฏีเหล่านี้จะนำมาอธิบายในหัวข้อต่อไปนี้


ทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด
ก่อนอื่นเราจะพิจารณาทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด ผู้สนับสนุนความคิดนี้เชื่อว่าดวงวิญญาณที่เกิดมาในร่างมนุษย์จะ้เกิดได้หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดอย่างสมบูรณ์ในวงจรการกลับมาเกิดที่ยาวนานถึง 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์

ตามที่พวกเขาว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นโอกาสที่หายากเป็นอย่างยิ่งที่เตรียมไว้ให้โดยพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ ท่านจะให้โอกาสกับดวงวิญญาณได้พบกับความหลุดพ้นด้วยตัวเองจากละครโลกตลอดไป มันเป็นช่วงสั้น ๆ ของการเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ดวงวิญญาณสามารถจะทำความเพียรเพื่อบรรลุถึงการหลุดพ้นเช่นนี้ได้ แล้วดวงวิญญาณควรที่จะพลาดโอกาสนี้หรือ ถ้าพลาดมันจะต้องมีการผ่านการทดสอบที่ทรหดอีกรอบหนึ่งในวงจรที่ไม่ได้ร่างเป็นมนุษย์ถึง 8ล้าน 4แสนร่าง ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ในคราวหน้า แล้วจึงจะเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะทำให้ตนเองมีโอกาสที่จะพบกับการหลุดพ้นด้วยตัวเองจากโลกนี้

ดูจากเหตุผลนี้การเกิดในร่างมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากและพิเศษมากอย่างที่พวกเขาอ้างไว้ การตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะพบว่าความคิดนี้เพ้อฝันและไร้เหตุผลอย่างยิ่ง พวกเราลองคิดดูและจินตนาการว่า ดวงวิญญาณได้รับร่างมนุษย์หลังจากเกิดมา 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ประชากรของเผ่าพันธุ์ในโลกก็จะคงที่ กล่าวคือลิง ยุง วัว อีกา นกกระจอก ปลา แมลงวัน ฯลฯ ก็จะต้องมีจำนวนที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่มันเป็นดังนั้นหรือไม่

นอกจากนี้การเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณ จะเกิดโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเกิดในแต่ละสายพันธุ์มาเป็นลำดับเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาอะไรเป็นหลักการในการเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณไปยังสายพันธุ์ที่ต่ำกว่า (สัตว์) ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำที่ชั่วร้ายหรือทำบาป ถ้าเช่นนั้นกฏแห่งกรรมก็ไม่มีผลใช่ไหม?? แล้วจะอธิบายการเกิดมาเป็นมนุษย์เพียง 2-3 วันได้อย่างไร การตายในวัยทารกที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวงจรที่ยาวนานของการเกิดเป็นสัตว์ถึง 8ล้าน 4แสนชนิด อีกอย่างหนึ่ง การได้เกิดเป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวหลังจากที่เกิดในร่างอื่นถึง 8ล้าน 4แสน ชนิด ก็หมายความว่าโลกนี้เป็นแหล่งที่ทุกข์ระทมที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกดวงวิญญาณ แล้วทำไมผู้สร้าง ซึ่งเป็นผู้ให้คุณประโยชน์และเป็นผู้เอื้ออำนวยความสุขต้องการให้มันเป็นเช่นนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นใครเป็นผู้นับและัพิสูจน์ได้อย่างน่าเชื่อถือว่าจำนวนสายพันธุ์นั้นมี 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์ ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่า ผู้ให้การสนับสนุนทฤษฏีนี้ไม่สามารถให้คำตอบที่เป็นที่น่าพอใจต่อคำถามนี้ได้


การเกิดเป็นสัตว์ไม่สามารถเกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ชั่วร้ายของมนุษย์
ทฤษฎีที่สองเป็นทฤษฏีวงจรการเกิดที่เปลี่ยนแปลงสลับสายพันธุ์ที่จำกัด ด้วยการมีความพยายามที่จะสร้างความเกี่ยวพันระหว่างการข้ามชาติเกิดระหว่างสายพันธุ์และกฏแห่งกรรม มีความพยายามที่จะทำให้ทฤษฏีถูกต้องถึงแม้ว่าจะไร้ผล มันอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาของมนุษย์ที่มีกิเลสที่ได้จินตนาการไว้ว่า สันดานที่ไม่ดีของมนุษย์จะทำให้เขากลับไปเกิดในร่างของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีการพูดว่าผุ้ที่สร้างความเย้ายวนใจจะไปเกิดเป็นสุนัข คนที่โลภมากจะไปเกิดเป็นงู คนที่มีลูกมากจะไปเกิดเป็นหมูในชาติหน้า ถ้าใครแอบฟังคนอื่นพูดจะเกิดเป็นจิ้งจก ฯลฯ และอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนได้ว่าการกลับมาเกิดของมนุษย์จะเกิดเป็นสัตว์เช่นนั้นเช่นนี้


เชื่อถือไม่ได้และไร้เหตุผล
เรามาตรวจสอบในกรณีของคนที่มีความหมกมุ่นทางกาม ที่ถูกเชื่อว่าจะกลับมาเกิดเป็นสุนัข ด้วยเหตุผลว่าสุนัขนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศด้วย ถ้าเป็นจริง สันสการ์ของดวงวิญญาณที่เกี่ยวกับกามราคะก็จะไม่จบสิ้น ในทางตรงข้ามมันจะรุนแรงมากขึ้นเพราะว่าสุนัขก็ยังมัวเมาอยู่ในกามตัณหาอย่างต่อเนื่อง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะกลับชาติไปเกิดเป็นสุนัขเพื่อรับโทษ

อีกประการหนึ่งหลังจากดวงวิญญาณและร่างแล้วสัญชาตญาณของกามระคะก็ติดไปกับดวงวิญญาณและอุปนิสัยเดิมก็ติดไปกับเขาด้วย ดังนั้นเขาก็ยังรักษาสัญชาติญาณของการหมกมุ่นอยู่ในกามราคะในรูปที่เป็นมนุษย์ของเขา และแรงกระตุ้นทางกามราคะก็ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เพศตรงข้ามมากกว่าที่จะมีกับสัตว์อื่นใด ทุกวันนี้ มีผู้คนหลายล้านซึ่งมีความต้องการทางเพศมากกว่าสุนัข มันช่างไม่่สมเหตุสมผลเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าบุคคลที่มีความขอบหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามราคะเช่นนี้พวกเขาจะกลายเป็นสุนัขในชาติเกิดหน้าจึงไม่สมเหตุสมผลเลย

ตามความเป็นจริงพวกเขาจะกลับมาเกิดในฐานะมนุษย์ที่หมกมุ่นอยู่ในกามระคะเท่านั้น ตัวอย่างอื่นก็อยู่บนพื้นฐานเพียงแต่การนึกฝันและที่ไม่มีเหตุผลพอกัน และควรจะสังเกตว่าบาปเช่นนี้และการเกิดในร่างของสัตว์ได้มีการดึงเข้ามาให้มีการเกี่ยวพันกันในบางกรณีเท่านั้น เพราะว่าสัตว์ต่าง ๆ เช่น นกและสัตว์ที่มีสันสวยงามและน่ารักมีอยู่มากมาย อย่างเช่น นกยูง ผีเสื้อ นกแก้ว กระต่ายป่า กวาง ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับกรรมของมนุษย์ได้เลย


สองสิ่งที่ผิดไม่สามารถทำให้เกิดความถูกต้องได้
บางครั้งแนวคิดของมนุษย์ที่ว่าจะไปเกิดเป็นสตว์เป็นเพียงการค้นหาข้อแก้ตัวเนื่องจากการนำกฏแห่งกรรมไปใช้อย่างผิด ๆ ตัวอย่างเช่น มีการพูดกันว่าด้วยการฆ่าสัตว์ ผู้ฆ่าจะเกิดเป็นสัตว์นั้นในชาติหน้าและสัตว์นั้นก็จะกลับมาเป็นมนุษย์และฆ่าเขาเป็นการล้างแค้น แต่นั่นหมายความว่าเป็นการทำกรรมที่ไม่ดีซ้ำซ้อน ความผิดสองอย่างไม่ได้ทำให้เกิดความถูกต้อง นี่ไม่ใช่กฏแห่งกรรม บาปไม่ได้ถูกชำระโดยการทำบาปมากขึ้น แต่บาปจะถูกชำระด้วยความสำนึกผิดหรือถูกลงโทษ หรือโดยผ่านราชโยคะ ลองมาพิจารณาถึงกรรมของคนฆ่าสัตว์ เช่น ผู้ฆ่าสัตว์เป็นพันๆ ตัวในชีวิตของเขา เขาก็จะถูกฆ่าเป็นพันครั้ง นี่ก็จะชี้ให้เห็นของความเชื่อถือไม่ได้ของทฤษฏีนี้


กระบวนการของดวงวิญญาณจะปรากฏขึ้นโดยผ่านร่างมนุษย์เท่านั้น
มีคำถามอยู่ว่าถ้ามนุษย์ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ชาติเกิดในอดีตและชาติเกิดในอนาคตของเขาเอง แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปเกิดในร่างของสัตว์?? ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยว่าไม่มีการกลับไปเกิดข้ามสายพันธุ์ ซึ่งสามารถสนับสนุนโดยประสบการณ์ที่แน่ชัด 
กล่าวคือ ไม่มีกรณีใดที่บุคคลจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขาหรือเธอได้เกิดเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทุก ๆ เรื่องมีคำยืนยันอย่างชัดเจนว่าชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น นอกจากนี้ การทำนายของนักโหราศาสตร์ถึงชาติก่อนและชาติต่อไปของบุคคล ก็จะอ้างว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์เทานั้น


มนุษย์ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์
ในความเป็นจริงผู้ที่เชื่อเรื่องการเกิดข้ามสายพันธุ์ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณว่า สันสการ์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากสันสการ์ของสัตว์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้เหตุผล ขณะที่สัตว์ถูกชี้แนะโดยสัญชาตญาณของพวกมัน ตัวอย่างเช่น นกและแมลงจะทำรังและรวงของพวกมันในแบบเดิม ๆ โดยที่พวกมันถูกชี้ำนำให้ทำด้วยสัญชาติญาณเพียงเท่านั้น ดังนั้น สัตว์จึงไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาตามต้องการเหมือนกับมนุษย์ที่สามารถทำได้ นอกจากนั้นมนุษย์ยังเสพติดในกามราคะ ความโกรธและความรุนแรงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นดวงวิญญาณซึ่งใช้ร่างมนุษย์ถูกแบ่งขึ้นด้วยการกระทำของพวกเขาเอง ถ้าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปรับร่างของสัตว์ เหตุการณ์ที่ผิดปกติก็จะเกิดขึ้น สติปัญญา สันสการ์ของมนุษย์ ไม่สามารถที่จะแสดงออกโดยผ่านร่างสัตว์ 
ขบวนการที่เหนือกว่าของเขาไม่สามารถที่ใช้ได้ร่างสัตว์ เช่นกันดวงวิญญาณและสันสการ์ของสัตว์จะปรากฏขึ้นอย่างน่าหัวเราะเยาะในร่างมนุษย์ มนุษย์จะไม่เคยเป็นสัตว์และจะไม่เป็นสัตว์ตลอดไป แต่ในเวลานี้เขากลับเลวยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก.


ร่างของสัตว์ไม่ได้มีไว้เพื่อรับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษ
ร่างของสัตว์ไม่ได้มีจุดประสงค์ไว้สำหรับเป็นเครื่องมือลงโทษดวงวิญญาณมนุษย์ จุดประสงค์ของการลงโทษก็เพื่อให้ฆาตกรได้รับประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความโศกเศร้า เพื่อว่าเขาจะได้เรียนรู้และหยุดการกระทำที่เลวร้ายในอนาคต มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความเข้าใจว่าเขากำลังถูกลงโทษโดยผ่านความทุกข์ทรมาน เนื่องจากการกระทำความชั่วในชาติก่อนของเขา
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้แบกความเจ็บปวดและความโศกเศร้าแทนดวงวิญญาณมนุษย์แล้ว ทำไมดวงวิญญาณจึงมามีความทุกข์ในรูปมนุษย์อีก (บางคนทุกข์ทันทีที่เกิด) ในเมื่อได้รับการลงโทษตามกำหนดในร่างสัตว์แล้ว ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรที่เกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความไวในความรู้สึก และความอ่อนโยนของหัวใจ มนุษย์ฉลาดกว่าและมีความรู้สึกไวกว่าสัตว์ ดังนั้น แม้แต่คำพูดที่ทำให้เขาขายหน้าหรือถูกเยาะเย้้ยก็จะทำให้เขาเจ็บปวด เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นจึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ใส่ใจที่จะรักษามารยาทสังคม ประเพณี ชื่อเสียง สถานภาพและอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมาน ก็มีแต่ร่างของมนุษย์เท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับการเป็นเครื่องมือในการลงโทษดวงวิญญาณ บางคนคิดว่าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นร่างสำหรับการลงโทษมนุษย์ เพราะสัตว์ต่าง ๆ มีอวัยระเพื่อการใช้สอยน้อยกว่า แต่เราไม่ได้สังเกตหรือว่า มนุษย์ดก็มีบุคคลซึ่งตาบอด หูหนวก พูดไม่ได้ พิการ ฯลฯ ด้วยเช่นกัน
มีข้อโต้แย้งที่อ้างโดยคนทั่วไป ก็คือ ความกลัวที่จะเกิดมาเป็นสัตว์ทำให้มนุษย์หยุดการกระทำที่ชั่วร้าย แต่คนที่มีสติปัญญาก็จะหยุดการกระทำที่ไม่ดี เพียงแต่เขาได้เห็นการกระทำที่ไม่ดีเหล่านั้นในหมู่มนุษย์ และเห็นคนอื่นทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษเนื่องจากบาปของพวกเขา โดยต้องเป็นคนขี้โรค พิการ เป็นอัมพาต โรคเรื้อน บ้า ตาบอด ฯลฯ ด้วยเหตุจากบาปที่ของพวกเขาทำไว้ ดวงวิญญาณมนุษย์ก็ทุกข์ทรมานต่อผลทั้งหมดในร่างของมนุษย์นั่นเอง
ทุกวันนี้มีมนุษย์มากมายผู้ซึ่งกำลังทุกข์มากมายเหลือคณานับ เนื่องจากความยากจน ความหิวโหย โรคภัย บางคนหนีทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตาย เหตุเพราะความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส ดังนั้นร่างมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำความดีและความชั่วเท่านั้น แต่มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับเก็บเกี่ยวรับผลของการกระทำเหล่านั้นที่จะตามมาด้วย


ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างบาปและการไปเกิดข้ามสายพันธุ์
สัตว์ก็มีประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความสุขในแต่ละสายพันธุ์ของสัตว์ ถ้าสายพันธุ์ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่จะเป็นร่างสำหรับการลงโทษให้กับดวงวิญญาณมนุษย์ สัตว์ก็ควรจะพบกับทุกข์ทรมานตลอดเวลา แต่ไม่ไ้ด้เป็นเช่นนั้น สัตว์บางชนิดมีความสุขมากกว่ามนุษย์หลายคน เศรษฐีดูแลสัตว์เลี้ยงของเขาให้มีความสุขเป็นอย่างมาก สุนัขของคนรวยนั่งอยู่ในรถยนต์มีนมและขนมปัง ขณะที่ผู้คนที่ยากจนนับล้านกำลังอดอยาก มนุษย์บางคนเป็นคนรับใช้ดูแลม้าแข่ง และมีหมอหลายคนที่จะช่วยดูแลสุขภาพของม้าเหล่านั้นด้วย แต่ยังมีมนุษย์ผู้ซึ่งไม่ได้รับนมหรือยาใด ๆ เลย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าดวงวิญญาณมนุษย์จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์ เพราะการทำบาปบนโลกมากมายและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยบาป ประชากรของสัตว์จะต้องเพิ่มขึ้นและประชากรของมนุษย์จะต้องลดลงอย่างรุนแรง ในกลียุคปัจจุบันนี้ โลกก็จะกลายเป็นสวนสัตว์อย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าตกใจและไม่มีการลดลง


ความโศกเศร้าและความสนุกสนานในดวงวิญญาณแต่ละประเภท
ด้วยเหตุนี้ความเห็นเกี่ยวกับการได้ัรับโทษของดวงวิญญาณว่า จะต้องเปลี่ยนชีวิตไปเป็นสายพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ นั้นผิดอย่างแน่นอน การทำงานของกฏแห่งกรรมไม่ต้องอาศัยการเกิดใหม่ในสายพันธุ์สัตว์ ความทุกข์ทรมานและความสุขสามารถทีจะรับประสบการณ์ได้ในสายพันธุ์เดิม ถ้ามนุษย์จะต้องเกิดใหม่เป็นสัตว์เพื่อการลงโทษต่อการกระทำผิดของพวกเขา ก็จะไม่มีความทุกข์ทรมานในรูปที่เป็นมนุษย์ ผู้คนเกิดมาร่ำรวยหรือยากจน แข็งแรงหรืออ่อนแอ ปกติหรือไม่ปกติ ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตของพวกเขา บางคนมีข้อบกพร่องมาแต่กำเนิด บางคนสูญเสียอวัยวะบางส่วนระหว่างชีวิต ดังนั้นการเกิดการตายและเหตุการณ์อื่น ๆ ของชีวิต เกิดขึ้นตามกฏแห่งกรรม


ทำไมจะต้องเป็นสัตว์?? 
อาจจะมีคำถามว่าถ้าไม่มีการข้ามสายพันธุ์ในการเกิดใหม่ แล้วสายพันธุ์ของสัตว์นั้นมีความจำเป็นเพื่ออะไร สิ่งนี้จะต้องมีการอธิบาย แม้แต่การแสดงละครธรรมดาเรายังต้องการเวที ผู้แสดงในชุดต่าง ๆ ฯลฯ โลกนี้เป็นโรงละครใหญ่ ซึ่งมีโลกเป็นเวที (เรียกว่า Karmakshetra) มหาสมุทร ภูเขา แม่น้ำ พืชผักชนิดต่าง ๆ ฯลฯ ไม่ได้เพียงแต่เพิ่มความน่ารักและเป็นฉากที่โอฬารตระการตาให้กับโรงละครเท่านั้น แต่มันก็รับใช้เพื่อการควบคุมระบบของโรคละครด้วย เพราะว่าในละครนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ทำนองเดียวกัน สัตว์มากมาย นก แมลง ฯลฯ ก็ทำหน้าที่ของตนเองที่จะแสดงและรักษานิเวศน์วิทยาของธรรมชาติให้สมดุลพร้อม ๆ กับการเพิ่มความหลากหลายให้กับละครของชีวิตที่ยิ่งใหญ่บนโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ในวิถีทางของทุก ๆ คนและทุกสิ่งมีประโยชน์ในตนเอง และมีบทบาทที่จะเล่นในละครโลกของจักรวาลนี้.


สัตว์จะคงอยู่ในความเป็นสัตว์ชนิดนั้นตลอดไปหรือไม่ ???
บางคนเห็นว่าสัตว์นั้นต่ำและน่าสงสาร ดังนั้นจึงถามว่าสัตว์จะคงอยู่เป็นสัตว์เช่นนั้นหรือ ?  ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ดวงวิญญาณของสัตว์ก็มีอารมณ์และความรู้สึกที่สนุกสนานและเศร้าเป็นของตนเอง พวกเขาสนุกสนานและทนทุกข์ในวิถีทางของตน โดยผ่านนร่างกายในแต่ละชนิดของพวกตนตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปคิดว่าพวกเขานั้นต่ำหรือน่ารังเกียจ ความจริงก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดในสายพันธุ์ทั้งหมดและเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความดีงามของโลกทั้งโลก เมื่อมนุษย์กลายเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลส โลกทั้งโลกก็เสื่อมทราม ในยุคทองยุคเงินมนุษย์บริสุทธิ์สมบูรณ์และโลกก็เป็นสวรรค์ สัตว์ต่าง ๆ นกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสร้างทั้งหมดก็มีความสุขสูงสุด มีคำกล่าวที่เล่าลือกันเกี่ยวกับอาณาจักรของรามว่า สิงโตและวัวดื่มน้ำในบ่อเดียวกัน แสดงถึงสภาพที่บริสุทธิ์




ความบริสุทธิ์ของมนุษย์มีผลกระทบต่อการคงอยู่ของระบบนิเวศน์วิทยาทั้งหมด ดังนั้น ก่อนที่จะมีความเมตตาต่อสัตว์ มนุษย์ควรจะมีความเมตตาต่อตนเองด้วยการกลายมาเป็นผู้ที่สูงส่งและเป็นราชโยคี....บุญเริ่มต้นที่บ้าน


มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิง
ประมาณร้อยปีมาแล้ว นักธรณีวิทยาสองคน ชาร์ล (Charles) เรเยล (Lyel) และ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ (Theary of Evolution) เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสายพันธุ์ ตามที่พวกเขาอ้าง ชีวิตบนโลกนี้เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเองจากธาตุธรรมชาติในรูปของน้ำ ซึ่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า อมีบา ขึ้นมา แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่สายพันธุ์นับไม่ถ้วน



บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันถูกคิดว่าเป็น ลิงเอบ (Ape) และ ลิงชิมแปนซี มันเป็นทฤษฏีที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ และได้มีการไม่เห็นด้วยอย่างมากโดยคนจำนวนมาก ดาร์วิน (Darwin)เองค่อนข้างจะสงสัยเกี่ยวกับสิ่งนี้และพูดว่า "ผู้ซึ่งเชื่อว่าการบันทึกของธรณีวิทยามีความถูกต้องระดับหนึ่ง ไ่ม่เชื่อทั้งหมด จะปฏิเสธทฤษฏีอย่างไม่ต้องสงสัย" นักธรณีวิทยาและนักศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตที่ตามมาภายหลังทั้งหมด ก็มีการพิสูจน์ว่า ทฤษฏีของ ชาร์ล ดาร์วิน เป็นทฤษฏีที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัย ข้อเสียพื้นฐานของทฤษฏีนี้คือ มันเป็นความคิดที่โง่เขลาที่สุด เป็นความคิดที่ต่อต้านการมีอยู่ของดวงวิญญาณ มันไม่ได้มีการพิจารณาถึงความจริงว่าดวงวิญญาณและร่างกายเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน ด้วยเหตุุเพียงมีความคล้ายคลึงกันระหว่างร่างกายของมนุษย์และ ลิงเอบ (Ape) และลิงชิมแปนซี เท่านั้น ซึ่งต่อมาก็ถูกประกาศว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์
นักอภิจิตวิทยา (Parapsychologist) ก็ยอมรับถึงการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าดวงวิญญาณแล้ว (ดูหัวข้อ : ดวงวิญญาณมีอยู่จริงหรือ??) ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าสายพันธุ์ที่มีชีวิตได้ปรากฏขึ้นมาจากธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตด้วยตัวเอง  แล้วอะไรคือสาระสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณ??


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Monday, May 20, 2013

หนึ่งชาติในยุคแห่งการบรรจบพบกัน


ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และนรก มันเหมือนกับช่วงเวลารุ่งสางที่เชื่อมกลางวันและกลางคืน สวรรค์ที่กำลังจะมาถึงถูกวางรากฐานในยุคนี้ ซึ่งจะตามมาหลังจากการทำลายล้างโลกที่ชั่วร้าย และผลคือการเปลี่ยนแปลงยุค ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สำคัญที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลที่สุดในกัลป เนื่องจากมันเป็นเวลาของการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าพ่อชีว่าผู้ปราศจากร่าง ดวงวิญญาณมนุษย์ที่เกิดอีกครั้งหนึ่งในยุคนี้มีค่าเหมือนเพชร

ดังนั้นยุคแห่งการบรรจบพบกันก็มีชื่อว่ายุคเพชรด้วย ช่วงสั้น ๆ นี้เป็นช่วงที่มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสเป็นมนุษย์ที่ไร้ค่าของกลียุคได้เปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ที่ปราศจากกิเลส เป็นเทพผู้ที่มีค่าเยี่ยงเพชรของยุคทอง



ยุคแห่งการบรรจบพบกันอยู่ในช่วงท้ายของกลียุค สำหรับผู้ที่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันเป็นยุคบรรจบพบกันของเขา แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันคือกลียุค ในภาพตัวอย่างของบันไดแสดงให้เห็นว่าตอนจบของกลียุคมี บราห์มินนั่งฝึกปฏิบัติราชโยคะอยู่


บราห์มินคือการเกิดทางดวงวิญญาณ
ในยุคนี้ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วย กิเลส คือ ศูทร (Sudra) เมื่อได้ศึกษาความรู้ของพระเจ้า และทำตามกฎระเบียบอันสูงส่งเพือจะได้รับความบริสุทธิ์ได้กลายเป็นบราห์มิน คือผู้ซึ่งเข้าใจว่าพระเจ้าได้อวตารลงมาในร่างของ บราห์มา บราห์มินของยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นที่รู้จักกันในนามของ บราห์มากุมาร และบราห์มากุมารี การเกิดทางดวงวิญญาณของศูทร (Sudra) หรือ บราห์มินนี้ก็ถูกเรียกว่า การตายจากโลกเก่าทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หมายความว่ามนุษย์ได้หันหลังให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลสแห่งกลียุค ละทิ้งสภาวะของศูทร (Sudra) และกลายเป็นบราห์มิน แล้วเริ่มที่จะทำการปฏิบัติฝึกฝนทางดวงวิญญาณ ฝึกฝนและปฏิบัติราชโยคะเพื่อให้ได้รับสถานภาพเทพที่หลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต

ดวงวิญญาณเช่นนี้ได้กลับมาบริสุทธิ์ด้วยการชำระล้างบาปในอดีตของพวกเขา นั่นคือพระเจ้าชีว่าได้ช่วยยกระดับให้พวกเขาบนพื้นฐานของราชโยคะ และนำพวกเขากลับไปสู่พารามธรรม จากนั้นก็ส่งพวกเขาลงมาในโลกยุคทองในเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความเพียรทางดวงวิญญาณของแต่ละบุคคลในการพัฒนาตนเองในยุคแห่งการบรรจบพบกัน
สถานภาพของดวงวิญญาณบราห์มินนั้นสูงสุดเนื่องจากสร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้า เป็นสถานภาพที่มนุษย์ได้ค้นหามาชาติแล้วชาติเล่า การบูชากราบไหว้คือการเสาะหาพระเจ้า และผลที่ได้รับคือความเข้าใจท่าน ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกัน โอกาสทองนี้เป็นเพียงครั้งเดียวในทั้งกัลปและเป็นเพียงในช่วงสั้น ๆ ขอให้พวกเราสละตนเองช่วยเหลือในงานรับใช้ของท่าน และอุทิศตนต่อท่านอย่างสมบูรณ์


การกลับมาเกิดคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนจบ
ดวงวิญญาณทั้งหมดนับแต่ชาติเกิดแรกที่ลงมายังโลกที่มีตัวตน ก็เริ่มสูญเสียคุณลักษณะดั้งเดิมของพวกเขาอย่างช้า ๆ ตามกฎของความเสื่อม ด้วยเหตุนี้ เทพแห่งยุคทองกลายเป็นกษัตริย์ในยุคเงิน เป็นพ่อค้าในยุคทองแดงและศูทร (Sudra) ในกลียุค มันมีแต่เพียง ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้เท่านั้นที่ดวงวิญญาณได้กลายเป็นบราห์มินจากศูทร (Sudra) และกลับกลายมามีชีวิตชีวาและถูกยกระดับ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่เกิดในยุคทองหลังจากนั้นก็กลับมาเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงตอนจบของกลียุค ไม่มีดวงวิญญาณใดกลับไปยังพารามธรรมจนกว่าวงจรของละครจะจบลงอย่างสมบูรณ์




จำนวนชาติเกิดที่ดวงวิญญาณสามารถจะเกิดได้ในโลกนี้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ลงมาเกิดในชาติแรกของดวงวิญญาณนั้นบนโลกนี้ ดวงวิญญาณผู้ที่ลงมาจากพารามธรรมในตอนเริ่มต้นของยุคทองจะได้รับชาติเกิด 84 ชาติเต็ม คนอื่นก็จะได้รับชาติเกิดน้อยกว่าตามเวลาที่พวกเขาลงมา และจำนวนชาิติเกิดของดวงวิญญาณบนโลกนี้แต่ละดวงวิญญาณก็จะผ่านสภาวะ บริสุทธิ์ (Satoguni) สภาพปานกลาง (Rajoguni) และ สภาพที่ไม่บริสุทธิ์ (Tamoguni) ทุกดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุขในครึ่งแรกของบทบาทในละครโลกและเริ่มมีความทุกข์ในครึ่งหลัง



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Sunday, May 19, 2013

84 ชาติเกิดของดวงวิญญาณมนุษย์


ดวงวิญญาณมนุษย์เกิดได้มาที่สุด 84 ชาติ
ในหนึ่งกัลป ดวงวิญญาณของมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติเกิด ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลา 5,000 ปี เรื่องราวการกลับชาติมาเกิดจำนวนชาติเกิด และสภาวะที่ผ่านยุคทั้งสี่ของดวงวิญญาณดวงหนึ่งสามารถแสดงได้โดยบันได 84 ขั้น



เรื่องราวของดวงวิญญาณมนุษย์ที่ใช้ชาติเกิด 84 ชาติ

ดวงวิญญาณมนุษย์สามารถที่จะเกิดได้มากที่สุดเพียง 84 ชาติ ในละครโลกที่มีระยะเวลา 5,000 ปี ในช่วงบนของบันไดชีวิตมนุษย์เป็นเทพที่สูงส่ง แต่ในช่วงท้ายของบันไดชีวิตมนุษย์กลับกลายเป็นปีศาจ เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ตกต่ำอย่างที่สุดแล้ว พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้ลงมาเพื่อยกระดับและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์เพื่อการกลับไปเป็นเทพอีกครั้งหนึ่ง




8 ชาติของยุคทอง
ดวงวิญญาณเกิด 8 ชาติในยุคทอง ช่วงระยะเวลาของยุคนี้ 1,250 ปี ซึ่งหมายความว่าอายุเฉลี่ยประมาณ 150 ปี นี่เป็นเพราะพลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณและของวัตถุธาตุ ดวงวิญญาณและธาตุธรรมชาติไม่เพียงแต่จะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่ยังคงอยู่อย่างประสานกลมกลืนมีความสมดุลย์ระหว่างกันและกันอย่างสมบูรณ์



ประชากรก็มีจำกัดมาก ในตอนแรกแห่งยุคทองซึ่งมีเพียง 900,000 คน ลักษณะของชีวิตที่นั่นมีความสงบ ความเจริญรุ่งเรืองและปิติสุขสูงสุด นับเป็นยุคของความสมบูรณ์เหลือล้น ที่เปรียบว่าเป็นช่วงของเวลาของน้ำนมและน้ำผึ้ง ยุคที่กฎสูงสุดมีความสมบูรณ์และมีระเบียบปรากฎอยู่ทั่วโลก (Divya Maryada) ความป่วยไข้ ความทุกข์ ความกังวล ความโศกเศร้า ไม่เป็นที่รู้จัก ณ ที่นั้น ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง และความสมบูรณ์ของพวกเขาใช้แทนด้วยความเต็มเปี่ยม 16 องศาของพระจันทร์เต็มดวง นี่เรียกว่า สาโทปราทาน (Satopradhan -ความถูกต้องสูงสุด) ซึ่งเป็นสภาวะของดวงวิญญาณที่อยู่ในยุคทอง ผู้คนในยุคนี้ถูกเรียกว่าเป็น เทพ (Devta Varna) ศรีลักษมีและศรีนารายัญแห่งสุริยราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในช่วงยุคทอง

12 ชาติเกิดในยุคเงิน
จำนวนชาติเกิดทั้งหมดในยุคเงินคือ 12 ชาติ ในยุคนี้ 1,250 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ดวงวิญญาณในยุคนี้อยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสและสมบูรณ์พร้อมถึง 14 องศา เมื่อเปรียบเทียบกับ 16 องศา ในยุคทอง สภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นสภาพ สาโทกูนี (Satoguni-ความถูกต้อง) ของดวงวิญญาณ ชีวิตยังเต็มไปด้วยความสุขและความปิติถึงแม้ว่าระดับจะน้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับยุคทอง ศรีสีดาและศรีรามแห่งจันทรราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในยุคเงิน ผู้คนในยุคนี้เป็นสกุลนักรบ (Kshatriya Varan)



ด้วยเหตุนี้คันธนูจึงได้แสดงไวั้เป็นเครื่องประดับของศรีราม นี่ไม่ได้หมายความว่ามีสงครามหรือมีความขัดแย้งในยุคเงิน เช่นเดียวกันกับยุคทอง ยุคเงินก็เต็มไปด้วยความสงบและความไม่มีความรุนแรงด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ถูกเรียกว่านับรบเพราะในชาติสุดท้ายของวงจรโลก พวกเขามีความอุตสาหะที่จะมีชัยชนะเหนือกิเลสต่างๆ แต่พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับมายาในขณะที่การทำลายล้างโลกเกิดขึ้นในตอนจบของกลียุค ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับสภาวะความบริสุทธิ์ (สูงถึง 16 องศา) เช่นเทพแห่งยุคทองที่ลงมาก่อนพวกเขา


อาณาจักรของราม และอาณาจักรของราวัน 
(Ram Rajya and Ravan Rajya) 
ดวงวิญญาณเกิดมาอย่างต่อเนื่องในยุคทองและยุคเงิน ซึ่งสองยุคนี้จะเป็นสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิตในยุคนี้รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์ มันถูกเรียกว่าเป็นอาณาจักรของราม ซึ่งหมายถึงเป็นอาณาจักรที่เป็นสวรรค์ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า (คำว่า ราม ที่ใช้ ณ ที่นี่มีความหมายเหมือนกับพระเจ้าผู้ไร้ร่่าง โดยเป็นประเพณีที่ฝึกปฏิบัติสืบทอดกันมาในชนหมู่ใหญ่ของผู้สักการะบูชาชาวฮินดู) ในครึ่งแรกของกัลปซึ่งมีระยะเวลา 2,500 ปี แม้แต่มนุษย์ทุกวันนี้ก็ร้องเพลงสรรเสริญอาณาจักรของราม
หลังอาณาจักรของรามก็ตามมาโดยอาณาจักรของราวัน (Ravan Rajya) ประกอบด้วยยุคทองแดงและกลียุค มีชื่อเรียกว่า นรก นรกเป็นครึ่งหลังของกัลปมีระยะเวลา 2,500 ปีเช่นกัน สภาพที่มีอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของราวันเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับอาณาจักรของราม ช่วงเวลานี้ดวงวิญญาณที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในอาณาจักรของ ราวันก็อยู่ในสภาวะที่ชีวิตของพวกเขาติดบ่วงพันธะ

21 ชาติในยุคทองแดง
ในยุคทองแดงมรดกของพ่อผู้เป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้หมดไปและช่วงเวลาของนรกก็เริ่มขึ้น ผู้คนมีสำนึกเป็นร่าง กิเลสเริ่มปรากฏขึ้น ความสงบ ความปิติและความสุขได้เริ่มหายไปทีละน้อยๆ ราชวงศ์ผู้ซึ่งมีมงกุฎสองชั้นของเทพและกษัตริย์ผู้ปกครองโลกก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป มีศาสนามากมาย หลายอาณาจักร หลายผู้ปกครองและหลายภาษาปรากฎขึ้นตามกันมา
ขณะที่เทพผู้ปกครองสวรรค์ผู้เคยมีมงกุฎสองชั้นและมีสมญานามว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดหายไป ก็มีผู้ปกครองของยุคทองแดงมีเพียงมงกุฎที่ประดับด้วยเพชรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้มีสถานภาพที่ร่ำรวยทางวัตถุและเป็นตำแหน่งที่สูงของเขามาแทน พวกเขาไม่ได้มีมงกุฎที่สองของความบริสุทธิ์ที่ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งแสงและเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มงกุฎแห่งแสงได้ไปปรากฎอยู่ที่ผู้นำศาสนาอย่างไรก็ตามผู้นำศาสนาก็ไม่ได้ครอบครองมงกุฎของความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน 
ด้วยเหตุนี้ ในยุคนี้มงกุฎของความศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎของความสูงส่งได้ถูกแยกออกจากกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อำนาจทางศาสนา และอำนาจการปกครอง ได้แยกออกจากกัน
ในยุคทองแดงการบูชากราบไหว้ก็เริ่มขึ้น ผู้ที่เคยมีค่าควรแก่การบูชา เป็นเทพบัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้เพราะว่าพวกเขาไม่มีความบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสอีกต่อไป สภาวะของดวงวิญญาณจึงอยู่ในระดับปานกลาง ความบริสุทธิ์ลดลงเหลือ 8 องศา วรรณะของพวกเขาก็ต่ำลง พวกเขาถูกจัดอยู่ในวรรณะพ่อค้า (ชั้นที่สอง) ระยะเวลา 1,250 ปีของยุคทองแดงดวงวิญญาณมนุษย์เกิด 21 ชาติ ช่วงอายุก็ลดลงไปด้วยตามลำดับ

42 ชาติในกลียุค
ในกลียุคหรือยุคเหล็กนั้น ดวงวิญญาณสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สภาพ ทาโมกุนา (Tamoguna) ซึ่งหมายความว่าต่ำสุด อุปนิสัยที่ผิดได้กลับมามีอำนาจมากกว่า โลกได้แบ่งเป็นหลายร้อยรัฐ เป็นรัฐใหญ่และรัฐเล็ก เหล่ากษัตริย์ถูกชิงอำนาจหรือถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงในนาม ระบบของรัฐบาลที่แพร่หลายคือ ประชาตันตระ (Praja Tantra) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลของประชาชนโดยประชาชน
ในยุคนี้สภาพไร้กฎหมายปรากฏขึ้นสู่จุดสูงสุด สังคมทำตามอำเภอใจโดยปราศจากความอาย ผู้หญิงถูกตีค่าเป็นเพียงตุ๊กตาแห่งกามารมณ์ สภาพไร้ศีลธรรมขึ้นสู่จุดสูงสุด การบูชากราบไหว้ไปสู่สภาพที่ตกต่ำ และมีรูปแบบที่เสื่อมถอยที่สุด รูปปั้นของเทพและเทวีมากมายถูกทำขึ้นมาบูชากราบไหว้แล้วก็เอารูปปั้นเหล่านั้นไปทิ้งในแม่น้ำ ฯลฯ การบูชายัญด้วยสัตว์ต่างๆ โดยมนุษย์ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอโทษต่อเทพเจ้า กล่าวง่ายๆ คือ ความเชื่อที่มืดบอดปกคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลในยุคนี้จัดอยู่ในประเภท ศูทร (Sudra) ซึ่งหมายถึงผู้คนที่มีกิเลสชั่วร้ายและหมายถึงสภาพจิตที่สกปรกต่ำต้อย ศูทร (Sudra) ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรแตะต้อง เป็นเพราะพวกเขาได้รับเชื้อโรคร้ายของกิเลสทั้งห้าไว้อย่างมากมายแล้วพวกเขาก็นำไปติดผู้อื่น
คนทั้งหมดของกลียุคได้รับผลกระทบจากกิเลสทั้งหลายในระดับที่แตกต่างกันไปพวกเขาก็ถ่ายทอดกิเลสไห้แก่กันและกันเป็นอาจิณ ซึ่งก่อให้เกิดวงจรแห่งกิเลส คำว่า "ศูทร" (Sudra) (ไม่ควรจะแตะต้องเป็นอันขาด) ถ่ายทอดความหมายของการมีกิเลสในตัวมนุษย์ไม่ใช่วรรณะ หรือผู้ที่มีอาชีพเป็นคนคุ้ยขยะ ในยุคเหล็ก 1,250 ปี ดวงวิญญาณเกิด 42 ชาติ อายุเฉลี่ยนั้นต่ำสุดในยุคนี้ การทำแท้ง การตายของทารก การตายจากอุบัติเหตุและการตายของเด็กที่เกิดก่อนกำหนดเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ