Monday, May 6, 2013

วงจรของเวลา

วงจรของเวลา (Swadarshan Chakra)

จักรในมือของวิษณุเป็นตัวแทนของวงจรประวัติศาสตร์โลกซึ่งหมายถึง วงจรของเวลา เป็นที่รู้จักกันในนามของ "Swa-darshan Chakra" เพราะมันเป็นการเปิดเผยให้มนุษย์ได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองที่มีความสัมพันธ์กับวงจรโลก (ดูภาพประกอบ C วงจรละครโลก)



วงจรละครโลก (ภาพประกอบ C)

ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์โลกมีลักษณะเป็นละครที่ซ้ำรอยเดิมทุกกัลป (5,000ปี) 
โลกแห่งความมีตัวตนของมนุษย์ก็เป็นสภาวะที่เป็นละครที่เป็นอมตะของมนุษย์และเป็นอมตะของสสาร
 ผู้กำกับและผู้สร้างของละครนี้คือ พระเจ้าชีว่า-ดวงวิญญาณสูงสุด


หนึ่งวงจรที่สมบูรณ์นั้นรู้จักกันว่าเป็นหนึ่งกัลป ซึ่งครบวงจรใน 5,000 ปี สวัสดิกะแบ่งกัลปออกเป็นสี่ช่วง ๆ ละ 1,250 ปี เท่า ๆ กัน สี่ช่วงนี้แทนสี่ยุคหรือสี่สมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน คือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง และ ยุคเหล็ก ช่วงสุดท้ายของยุคเหล็ก (กลียุค) ตามมาด้วย การเริ่มต้นของ ยุคทอง (สัตยุค) ในระหว่างสองยุคนี้เป็น "Sangam Yuga" (สังกัมยุค) หรือ "ยุคแห่งการบรรจบพบกัน" เป็นช่วงที่พระเจ้ามากระทำการที่สูงส่งของการก่อตั้งโลกใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และก็ทำลายล้างโลกเก่าด้วย การบรรจบพบกันของยุคแรกและยุคสุดท้ายเกิดขึ้นเพราะเป็นวงจรธรรมชาติของละครโลก

ยุคทอง (สัตยุค)
เป็นยุคซึ่งมีโลกที่สมบูรณ์พร้อมที่สร้างโดยพระเจ้า พ่อชีว่าโดยผ่านประชาปิตาบราห์มา เป็นโลกที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสมบูรณ์ ธาตุของธรรมชาติอยู่ในระเบียบที่ดีเลิศ ความหายนะตามธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ทอร์นาโดและเฮอริเคน ฯลฯ ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีความต้องการ ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ปราสาททำด้วยทองคำประดับด้วยอัญมณีที่มีค่ามากที่สุด โลหะและเพชรพลอยที่มีค่าซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันมีไว้ให้ทุกคนอย่างเหลือเฟือในสัตยุค มันเป็นของธรรมดาที่นั่น อาหารก็เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูงสุด ธาตุต่าง ๆ บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ สีสัน รสชาติ ภาพ และเสียงของยุคนี้ไม่สามารถที่จะเลียนแบบให้เหมือนได้




ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมและวัฒนธรรมอยู่ที่จุดสูงสุด ไม่มีสงคราม ผู้ปกครองคู่แรกคือ ศรีลักษมีและศรีนารายัญ ซึ่งเรียกว่า "สุริยราชวงศ์" ราชวงศ์ดำเนินไปตลอดทั้งยุคทอง คุณธรรมและสภาวะความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดและแทนด้วย 16 องศาของคุณภาพที่สูงสุด ศิลปะ 16 อย่าง ที่สูงสุดนั้น เปรียบได้กับพระจันทร์เต็มดวง (คืนที่พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ถูกเรียกว่าสมบูรณ์พร้อม 16 องศา ในคืนที่ตามมาองศาก็ลดลงอย่างสม่ำเสมอ การอุปมาอุปมัยนี้ใช้อธิบายกับเทพ ในยุคที่ตามมาองศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง)




ประชากรของยุคทองนั้นน้อยมาก กษัตริย์และราชินีมีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นไร ประชาราษฎร์ก็มีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นกัน และรู้กันว่าพวกเขาคือ เทพ โลกนั้นปราศจากกิเลส ดังนั้น เด็กที่เกิดจึงบริสุทธิ์ การเกิดและการตายปราศจากความเจ็บปวดและจะได้รับนิมิตรปรากฏขึ้นก่อน




เหตุการณ์ที่จะมาถึง ไม่มีการตายก่อนเวลา การตายแต่วัยเด็กไม่มี ณ ที่นั้น ไม่มีการไว้ทุกข์เวลามีคนตายเพราะเป็นการเข้าใจกันทุกคนว่าดวงวิญญาณเปลี่ยนร่าง การเป็นอยู่ของพวกเขานั้นสงบและปิติสุขอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่า "ชีวัน มุกตี" (Jeewan Mukti)

ยุคเงิน (Treta Yuga)
เป็นยุคที่มีความเป็นอยู่เหมือนกับยุคทอง แต่องศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมลดลงจาก 16 องศา เหลือ 14 องศา มีประชากรเพิ่มขึ้น ผู้ปกครองเปลี่ยนเป็น ศรีราม และ ศรีสีดา แห่ง "จันทราราชวงศ์" ยุคนี้ปราศจากกิเลส มีกฏหมายที่สมบูรณ์และเป็นระเบียบ อุดมสมบูรณ์และมีความสอดคล้องกลมกลืนในความเป็นอยู่ ความแตกต่างระหว่างสองยุคนี้คือ ยุคเงินนั้นมีความปิติสุขน้อยกว่ายุคทองเล็กน้อย




สองยุคนี้รวมกันเป็นระยะเวลาซึ่งโลกเป็นสวรรค์ เป็นระยะเวลา 2,500 ปี ช่วงเวลานี้ เรารู้จักกันในฐานะเป็นกลางวันของบราห์มา

ยุคทองแดง (Dwapur)
ยุคนี้นรกได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เทพเริ่มหลงลืมตนเอง พวกเขาเริ่มมีสำนึกแห่งความเป็นร่าง ผู้ซึ่งเคยเป็นเทพก้าวเข้าสู่หนทางของกิเลสและความไม่ชอบธรรม เทพเริ่มสูญเสียคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา ขณะที่พวกเขากลายมาเป็นผู้ที่มีกิเลส ความหายนะและปัญหาที่เกิดจากสำนึกแห่งความเป็นร่างก็เริ่มต้นขึ้น 




สภาวะของความปิติสุขค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองไปสู่สภาวะของความตึงเครียดและไม่มีความสุข ธาตุธรรมชาติก็หยุดที่จะให้ความสะดวกสบาย ความสมดุลย์ที่เคยมีมาก่อนระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมก็ถูกรบกวน ความหายนะทางธรรมชาติก็เริ่มต้นขึ้น องศาของความสมบูรณ์ก็ลดลงไปถึง 8 
นี่เป็นเวลาที่ความศรัทธาของการบูชากราบไหว้เริ่มต้นขึ้น (Bhakti) เริ่มแรกเป็นการบูชากราบไหว้พระเจ้าชีว่าผู้ปราศจากร่างก่อน แล้วการบูชาบวงสรวงเทพ เช่น ศรีลักษมีและศรีนารายัญก็เริ่มตามมา

ในยุคทองแดงศาสนาอื่น เริ่มต้นขึ้น 2,500 ปีก่อนวันนี้ ท่านอับบราฮัม ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา 2,250 ปีก่อนวันนี้ พระพุทธเจ้าก่อตั้งศาสนาพุทธขึ้นมา 2,000 ปีก่อนวันนี้ จีซัสไครสท์ ก่อตั้งศาสนาคริสต์ และ 1,450 ปีก่อนวันนี้ ท่าน โมฮัมเหม็ด เริ่มต้นศาสนามุสลิม ความจริงที่น่าสนใจที่ควรจะตั้งข้อสังเกตุ นั่นคือศาสนาเหล่านี้ เริ่มต้นหลังจากคุณธรรมสูงส่งได้หายไปจากโลกนี้ เทพซึ่งครั้งหนึ่งเคยน่าเคารพยำเกรง บัดนี้บูชากราบไหว้ภาพและรูปปั้นของตัวเอง ผู้ที่น่าเคารพยำเกรงได้กลายเป็นคนธรรมดา ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยน่ากราบไหว้บูชา บัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้
ในยุคนี้ประชากรได้เพิ่มมากขึ้น อายุที่ยืนยาวก็ลดลง ชีวิตไม่ได้บริสุทธิ์อีกต่อไป แต่ถูกชี้นำโดยกิเลสต่าง ๆ ความโศกเศร้าเริ่มต้นขึ้น ความเป็นหนึ่งเดียวของสวรรค์ได้หายไป ทำให้เกิดรูปแบบของศาสนาที่ผสมผสานกันหลายแบบ รวมทั้งอาณาจักรและภาษา ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้ง เนื่องจากคุณธรรมที่สูงส่งหมดไป เทพก็ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าเทพอีกต่อไป หลังจากนั้นศาสนาเทพดั้งเดิมก็เปลี่ยนไปเป็น ศาสนาฮินดู แปลกกว่าศาสนาอื่น ๆ เพราะว่าไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา 
จริง ๆ แล้ว คำว่า ฮินดูได้รับมาจาก "อินดัส" (Indus) เป็นชื่อแม่น้ำซึ่งอยู่ในอินเดียถูกเรียกว่า ฮินดูสถาน ซึ่งหมายถึง ดินแดนของแม่น้ำอินดัส ชื่อฮินดูเดียวกันนั้นเองก็ถูกนำมาใช้กับศาสนา ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นรูปแบบที่ตกต่ำแล้วของศาสนาเทพดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งมีชื่อเดิมว่า อดิสานาธาน เดวี เตวะตา ธรรมะ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma)

ยุคเหล็ก (กลียุค)
มนุษย์ได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วมากในยุคเหล็ก (กลียุค) พิธีกรรมของการบูชากราบไหว้ได้มีอำนาจต่อสังคมอย่างรุนแรง สภาวะได้มาถึงจุดที่ผู้บูชากราบไหว้ถึงกับเริ่มบูชากราบไหว้แม่แต่ ธาตุ ภูเขา แม่น้ำลำธาร บ่อน้ำ สถานที่ดังกล่าวได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแสวงบุญ ศีลธรรมตกต่ำ กิเลสต่าง ๆ  เพิ่มขึ้น ความรู้ได้ใช้ไปในทางที่ผิด จิตใจและสติปัญญาของมนุษย์เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งชั่วร้าย ความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันนั้นเกิดขึ้นรุนแรงสาหัส ประชากรเพิ่มขึ้นไปสู่อัตราที่ไม่สามารถจัดการได้ ชีวิตที่เคยยืนยาว บัดนี้ได้ถึงจุดที่สั้นที่สุด ความตายก่อนเวลาอันควรเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวันนี้ ความโศกเศร้าและไม่มีความสุขอยู่ที่จุดสูงสุด  ศีลธรรมตกต่ำ



ยุคทองแดง และ กลียุค เมื่อรวมกันเข้าก็ทำให้โลกกลายเป็นนรก และถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา มีระยะเวลา 2,500 ปี


ยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga)



พระเจ้าพ่อชีว่าพูดว่า ท่านเองมาจากพารามธรรม เมื่อความไม่ชอบธรรมบนโลกมากถึงจุดสูงสุด เพื่อทำลายความไม่ชอบธรรมที่ปรากฏอยู่ทั่วไป และมาก่อตั้งศาสนาเทพดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่ง "ชีพบาบา" ลงมาเพียงในตอนปลายของกลียุคที่มนุษย์เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า (ยุคเหล็ก) มันเป็นช่วงเวลานี้นี่เองที่มนุษย์ร้องเรียกหาท่าน และทำทุกวิถีทางที่จะอ้อนวอนและร้องเรียกให้ท่านมาและช่วยพวกเขาให้พ้นภัย ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน มาให้ความช่วยเหลือและชำระล้างบาปให้พวกเขา ชีพบาบาอวตารลงมา (ลงมาบนโลก) ในช่วงบรรจบพบกันของตอนจบของกลียุค และตอนเริ่มต้นของสัตยุค ณ เวลาที่ท่านอวตารลงมาในร่างของ บราห์มา ยุคแห่งการบรรจบพบกันก็เริ่มต้นขึ้น

มีเพียงการอวตารครั้งเดียวของพระเจ้า
ชีพบาบาได้วางรากฐานของโลกใหม่ โลกใหม่ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นได้หลังจากการจบสิ้นของความไม่ถูกต้องของโลกเก่าแห่งกลียุคเท่านั้น ดังนั้น การอวตารลงมาของชีพบาบาจึงเกิดขึ้น ณ ยุคบรรจบพบกันนี้เท่านั้น จะไม่มีการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในช่วงเวลาอื่นของกัลปนอกจากเวลานี้ ท่านอวตารลงมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากสภาวะของโลกซึ่งตกต่ำลงเรื่อย ๆ ไปจนถึงตอบจบของยุคเหล็ก

มันเป็นเพียงเวลาเดียวของยุคแห่งการบรรจบพบกันที่ชีพบาบาได้อวตารลงมา และเปลี่ยนโลกไปเป็นสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สำคัญที่สุด และเป็นสมัยที่เป็นสิริมงคลในกัลปเพราะเป็นเวลาที่ท่านอวตารลงมา มันอาจจะเรียกว่า "ยุคเพชร" ได้ด้วย พวกเราทั้งหมดอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน บัดนี้ เรากำลังตระเตรียมตนเองโดยผ่านราชโยคะ 
เพื่อการโยกย้ายจากนรกที่แท้จริงของปัจจุบันซึ่งเรียกว่า "ยุคเหล็ก" ไปสู่โลกใหม่แห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมที่เรียกว่า "ยุคทอง" (สวรรค์) ยุคแห่งการบรรจบพบกันมีไว้สำหรับผู้ที่มีความรู้นี้ สำหรับผู้ที่ไมีมีความรู้นี้หรือผู้ที่ไม่เชื่อ ยังเป็นกลียุคของพวกเขา นี่คือเวลาที่ดวงวิญญาณธรรมดาจะเปลี่ยนไปสู่ ดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงสุด (Purushottam)

นี่คือเหตุผลที่ช่วงเวลานี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยุคแห่งการบรรจบพบกันของดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงส่ง ในหนทางของความศรัทธาของการบูชากราบไหว้ การบรรจบพบกันของแม่น้ำสองสาย หรือ มากกว่านั้นถือว่าเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์ ปกติการสร้างวัดจะเลือก ณ จุดนี้ ผู้คนมาอาบน้ำที่จุดนี้ด้วยความปรารถนาที่จะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์

แต่ดวงวิญญาณไม่สามารถจะทำให้บริสุทธิ์ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย การบรรจบพบกันของแม่น้ำเป็นสัญลักษณ์ของการบรรจบพบกันของยุคทองและยุคเหล็ก นั่นคือเวลาที่ดวงวิญญาณได้ชำระหนี้ที่เคยมีมาก่อน ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยพระเจ้า หลังจากที่ท่านอวตารลงมาบนโลก

สถาบันแห่งความรู้ของพระเจ้า (The Rudra Gyan Yagya)

พระเจ้าชีว่าถูกเรียกว่า รูดร้า (Rudra)  ด้วย ท่านได้วางรากฐานของสถาบันของความรู้ของพระเจ้า Rudra Gyan Yagya (ออกเสียงว่า ยักน่า) โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ด้วยเหตุนี้สถาบันที่ก่อตั้งขึ้นจึงถูกเรียกว่า ประชาปิตาบราห์มา กุมารี อิศวาริยา วิชชา วิทยาลัย (Prajapita Brahma Kumaris Ishwariya Vishwa Vidyalaya) มหาวิทยาลัยของพระเจ้าที่ซึ่งสอนหลักการของการสละละทิ้งกิเลสทั้งห้า ให้ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นสมาชิกใหม่ได้ฝึกปฏิบัติราชโยคะที่ง่าย ๆ เพื่อดวงวิญญาณจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ นี่เป็นขั้นแรกในการก่อตั้งโลกใหม่




ประชาปิตาบราห์มาไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นสื่อที่มีร่างของพระเจ้าผู้เป็นพ่อซึ่งไม่มีร่าง ในวัดของชีว่า ท่านมีสัญลักษณ์เป็น วัวศักดิ์สิทธิ์ (Nandi) เป็นพาหนะของพระเจ้าชีว่าผู้ไม่มีร่างกาย ในความเป็นจริง ประชาปิตาบราห์มาถูกแต่งตั้งให้เป็นพาหนะที่เป็นมนุษย์ที่เป็นสิริมงคลซึ่งพระเจ้าชีว่าได้ลงมาใช้สั่งสอนความรู้คือ กีตะ เพื่อก่อตั้งโลกใหม่


ช่วงเวลาการอวตารลงมาของพระเจ้า
(The Period Of God's Incarnation)


(ภาพประกอบ D)
 ช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลที่สุดในวงจรละครโลกคือ การบรรจบพบกันของปลายยุคเหล็กกับช่วงเริ่่มต้นของยุคทอง เมื่อพระเจ้าชีว่าอวตารลงมาแสดงหน้าที่ที่สูงส่งของท่าน





จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


No comments:

Post a Comment