Friday, February 21, 2014

อดิเทพ ตอนที่ 2 # 19

สงครามระหว่างความดีกับความชั่วร้าย
แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ยังไม่ถึงที่สุดในบ้านนั้น แม่ของเธอตั้งใจที่จะให้้เธอแต่งงานออกไป และจัดการเลืือกคู่ครองใ้ห้กับเธอ แต่เธอปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว "การแต่งงานนั้นไร้ค่า เป็นการตกต่ำ ถ้ามันเกี่ยวกับกามราคะ" ซิสเตอร์อธิบาย การแต่งงานของฉันได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วกับพระเจ้า ยังจะมีที่ว่างใดสำหรับคนอื่นอีกหรือ ?

ได้ยินเช่นนี้ ญาติของเธอเดือดดาลอย่างยิ่ง พวกเขาทำร้ายทุบตีเธออย่างป่าเถื่อน จนเธอเกือบจะหมดสติ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตี แล้วพวกเขาก็จับเธอโยนเข้าไปในห้องมืดที่ชื้น ๆ ขังเธอและล่ามเธอด้วยโซ่เหล็กอันหนักอึ้ง ด้วยการทดสอบครั้งสุดท้าย พวกเขาทุบมือของเธอด้วยสาก แล้วพวกเขาก็ขังเธอไว้ในห้องที่มืดสนิท เธอไม่ได้รับอาหารวันแล้ววันเล่า อยู่แต่ผู้เดียว ณ ห้องนั้น มัดมือและเท้าเธอไว้ในคุกใต้ดินที่เย็นยะเยือกและมืดสนิท

แต่สำหรับฉัน เธอหวนคิด ในห้องมืดมิดนั้นสว่างด้วยแสง หลังจาก 2-3 วันผ่านไป ฉันเิริ่มรู้สึกหิว แต่ความศรัทธาและความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อพระเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โลกทางวัตถุช่างว่างเปล่าในความรู้สึกของฉัน "อย่างสงบนิ่ง" ฉัีนเริ่มบอกท่านในความคิดของฉัน ว่าท่านควรจะมาได้แล้วเพื่อปกป้องฉัน ท่านรออยู่นานพอแล้ว โอ พระเจ้า รักษาัศักดิ์ศรีของฉันไว้ ในกลุ่มคนเหล่านั้น อย่าปล่อยให้ฉันยอมจำนนต่อพวกเขาเพราะการทรมานนี้ ท่านต้องมาเดี๋ยวนี้ และปลอดปล่อยฉันจากเครื่องพันธนาการนี้"

แล้วฉันก็เริ่มมีประสบการณ์การแยกออกอย่างสมบูรณ์ของตัวฉันจากร่างกายของฉัน ฉันออกจากห้องมืดนั้นอย่างสมบูรณ์และถูกส่งไปยังช่วงเวลาอื่น ศรีกฤษณะยืนอยู่เบื้องหน้าฉัน เขาำกำลังเ่ป่าขลุ่ยที่เลื่องลือของเขา และดนตรีนั้นช่างไพเราะจับใจ  เขาเคลื่อนไหวด้วยความงดงามอ่อนช้อยอย่างยิ่ง ฉันไม่เคยเห็นใครที่มีความน่ารักเช่นนั้น ฉันรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความสุขอย่างสมบูรณ์แบบ และแล้วกฤษณะก็พูดกับฉันด้วยเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน "บัดนี้บ่วงพันธะของเธอจะถูกทำลายไปในไม่ช้า ดังนั้น จงอย่ากลัว ที่ฉันมาปรากฏในรูปนี้"

ระหว่างประสบการณ์นี้ ฉันรู้สึกว่าความหิวและความกระหายน้ำของฉันได้บรรเทาไปทันทีและร่างกายของฉันไม่มีความอ่อนเพลีย ฉันรู้สึกว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ภายใน ดวงวิญญาณของฉันได้รับการบรรจุพลังแล้ว

ในไม่ช้าหลังจากนั้น ญาติของเธอก็เปิดประตูคุกใต้ดิน  พวกเขากักขังเธอไว้สามวัน และพวกเขาแน่ใจว่าเด็กหญิงผู้มีรูปกายที่บอบบางจะยินยอมยินดีที่จะเข้าพิธีแต่งงานหรืออะไรก็ได้ เพื่อที่จะรับอิสระและมีอาหารรับประทาน  พวกเขาลงบันไดมาพร้อมกับไฟฉายและส่องมาที่หน้าของเธอ

"ตอนนี้บอกพวกเราสิว่าเธอตัดสินใจว่าจะทำอะไร ?? ผู้เป็นพ่อพูดขึ้น 
ลูกตกลงจะแต่งงานใช่ไหม ??  ฉันสั่นหัว
 "จงเลิกเป็นคนดื้อรั้น เพียงแค่พูดว่าฉันจะไม่ไป โอมมันดาลีอีกแล้วและฉันยินยอมที่จะแต่งงาน ! 
"พ่อกำลังพูดอะไรนะ ? " ฉันตอบ
"พ่อยังไม่เข้าใจฉันอีกหรือ ? พ่อไม่เ้ข้าใจหรือ การอุทิศชีวิตต่อพระเจ้าของฉันนั้น ไม่มีอะไรที่พ่อจะมาขู่ให้ฉันกลัวได้หรอก พ่อไม่สามารถกดความรักที่แท้จริงไว้ได้ แม้แต่พ่อจะเอาชีวิตฉันไป ฉันจะไม่ใส่ใจ ฉันจะปลื้มใจมากขึ้นที่ได้ไปสวรรค์และทำไมฉันจะต้องไม่มีความสุข ? ฉันรับเอาศาสนาในการคิดถึงพระเจ้า ชิพบาบา สามีที่สุดล้ำเลิศ ดังนั้น ถ้าต้องการฆ่าก็ฆ่าเถอะ ถ้าท่านปรารถนาและช่วยทำสิ่งหนึ่งให้ฉันด้วย ฉันขอร้อง นำศพของฉันไปทิ้งที่ประตูทางเข้าโอมมันดาลี"

พวกเขามองเธออย่างอัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป พวกเขากลับขึ้นไปและปรึกษากันในหมู่พวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาค่อนข้างจะโกรธและรู้สึกว่าแพ้ "ยังไม่เปลี่ยนความคิดหรือ ? พวกเขาถามอีกครั้ง" เธอจะไม่พูดว่า "ตกลงหรือ ?"

ฉันไม่ใช่เช่นคนปัญญาอ่อนที่ท่านต้องการให้ฉันเป็น เธอตอบ "ฉันได้เรียนรู้ที่จะมีความอดทน ทนต่อความโหดร้าย เพราะว่าฉันมิได้อยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว พระเจ้าอยู่ักับฉัน และท่านทำให้ฉันเข้มแข็ง แต่ท่านต้องตระหนักว่าท่านจะต้องทุกข์ทรมานต่อผลแห่งพฤติกรรมของท่าน เพราะว่าผู้คุ้มครองของฉันท่านเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ฉันรู้สึกสงสารพวกท่านทั้งหมด เพราะไม่รู้จักพระเจ้า ท่านได้เพิ่มภาระบาปของท่านมากขึ้น มากขึ้น"

พวกเขาถอดโซ่ที่ล่ามเธอไว้ออก และพาเธอขึ้นมาข้างบน แต่ขณะที่เธอกำลังอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอนั้น พวกเขาก็ยังปรึกษาหารือกันอยู่

ผู้ชายจาก แอนตี้โอมมันดาลี มาถึงกันหลายคน พวกเขาพูดหนุนผู้เป็นพ่อไม่ให้เลิกล้มความตั้งใจเดิมที่มีต่อลูกสาวของเขา พวกเขาร้องขอต่อความทรนงตนของผู้เป็นพ่อ ท่านอยากเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนหรือ ?  ท่านต้องการให้พวกเขาพูดว่า ท่านไม่สามารถควบคุมแม้แต่ลูกสาวของตนเองหรือ ?  ถ้าท่านล้มเหลวในการห้ามปรามเธอจากการที่เธอต้องการไปสัตสัง  มันจะเป็นการพ่ายแพ้ของทั้งกลุ่ม ทั้งเมือง และ "แรงกระตุ้นปีศาจ" ของ บาบา จะแข็งแกร่งขึ้น เพราะผู้ชายพวกนั้นพูด พ่อตัดสินใจกลายเป็นคนแข็งกระด้างมากขึ้น พ่อสูญสิ้นการมองเห็น  ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับลูกสาวไม่มีความสำคัญอีกต่อไป  พ่อหลอกตัวเองด้วยการคิดถึงหลักการที่สูงกว่าเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าถ้าถามพ่อ พ่อก็ไม่สามารถตอบได้ว่ามันเป็นหลักการอะไร

ในที่สุด พ่อก็ย่างสามขุมไปยังลูกสาวหัวรั้น แสดงความต้องการอีกครั้งว่าเธอจะยินยอมแต่งงาน เขาพร้อมที่จะตบเธอถ้าเธอปฏิเสธ
"แน่นอน ฉันตกลง" เธอยิ้มละมัย "แต่หาสามีผู้ซึ่งดำรงตนอยู่ในศาสนาอย่างแท้จริง เขาจะต้องไม่เป็นคนกินเนื้อ หรือดื่มไวน์หรือคบเพื่อนเลว เขาจะต้องไม่มีความอยากในตัณหาราคะ หาสามีเช่นนี้ให้กับฉัน เหมือนสามีของสีดา หาคนที่เหมือนรามให้กับฉันและฉันจะยินดีจูงมือเขาเข้าพิธีวิวาห์"

พ่อของเธอไม่รู้จะตอบเช่นใด แต่เขารู้สึกว่าถูกล้อเล่น "ลูกจะต้องแต่งกับใครก็ได้ที่ฉันสั่ง" เขาตะโกน เขากระตุ้นตัวเขาเองให้เกิดความบ้าคลั่งเช่นนั้น ทันทีทันใดนั้นเขาก็ตบตีลูกเขาอีกครั้ง ด้วยกำปั้นของเขา เธอล้มลงกับพื้น เขาเรียกลูกชายเข้ามาและล่ามโซ่เธอไว้อีกครั้งหนึ่ง 

มีคำประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับผู้หญิงอินเดีย ขณะที่ลูกสาวถูกหามกลับเข้าไปในความมืด เธอร้องอย่างเบา ๆ เป็นกลอนในบทประพันธ์
"ผู้หญิงอินเดียนั้นแสนยิ่งใหญ่ พวกเธอทนทุกข์ไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่เคยร้องสักคำ เธอรับภาระทั้งหมด เธออดทนราวกับปฐพี ร่างกายของเธอทั้งยืนหยัดและแข็งแกร่งและจิตใจของเธอบริสุทธิ์ ดั่งสายน้ำคงคาโบราณ ไม่เพียงแต่เท่านั้น เธอยอมรับด้วยตัวเธอต่อการลงโทษของการกระทำอาชญากรรมโดยผู้อื่น เธอบรรเทาความทุกข์ของทุกคนที่อยู่ในความดูแล ผู้หญิงอินเดียคือภาพลักษณ์ของการสละอุทิศตนอย่างแท้จริง ในรูปแบบของการสละอุทิศนี้ โลกทั้งโลกต้องยอมรับความพ่ายแพ้"

เธอถูกขังอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้พวกเขาปล่อยเธอนอนอยู่ในนั้น 2 เดือน ให้อาหารแก่เธอเพียงพอแก่การประทังชีวิตไว้เท่านั้น และเธอก็ตกอยู่ภายใต้การกระทำซึ่งทารุณและทุกข์ทรมาน เพื่อให้เธอยอมแพ้ทุกวัน ในทีสุดพี่สาวคนโตกลับมาจากอังกฤษ ที่ซึ่งเธอเดินทางไปศึกษาหลายปี เธอตกใจกับสิ่งที่เธอเห็นและจัดการให้ครอบครัวของเธอปล่อยน้องสาวทันที แต่หลังจากนั้นครอบครัวก็ยังทำทารุณแก่เธอ

มีการฉลองในอินเดียอีกอย่างหนึ่งที่ซึ่งลูกสาวในเวลานี้เข้าใจ ผู้สักการะบูชาปั้นรูปของเทวี ขึ้นมาสักการะในช่วงเวลาหนึ่ง แต่แล้วพวกเขาก็จมรูปปั้นเหล่านั้นลงไปในน้ำ มันทำให้ระลึกถึงความจริงว่า ถึงแม้พวกฝูงชนจะก้มศีรษะให้กับความบริสุทธิ์ แต่พวกเขาไม่สามารถทนต่อมันได้นานนัก เมื่อความบริสุทธิ์นั้นมาอยู่ตรงหน้าด้วยกระจกเช่นนี้ พวกเขาจะได้เห็นว่าพวกเขาตกต่ำไปเพียงใด ดวงวิญญาณใดผิดรูปไปอย่างไร

มันได้เกิดขึ้นมาตลอดช่วงของประวัติศาสตร์ สังฆราจารย์ ผู้ก่อตั้งศาสนาซานยาสซีต้องต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานโดยการสร้างอุบายเพื่อหลอกแม่เขาให้อนุญาตเขาอยู่อย่างถือพรหมจรรย์คือ ความบริสุทธิ์ วันหนึ่งเขากำลังลุยอยู่ในทะเลสาป ขณะที่แม่ของเขานั่งอยู่บนฝั่ง เขาแกล้งร้องว่าขาเขาถูกจระเ้ข้งับไป  แม่ของเขาอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยลูกของเขา แต่สังฆราจารย์ร้องออกมา "ฉันได้ยินเสียงของพระเจ้า" ท่านพูดว่าแม่ต้องอนุญาตให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ในความบริสุทธิ์ ถ้าตกลงท่านจะช่วยชีวิตผม เร็วเข้า ! "  แม่ตกลง แน่นอน และแล้วสังฆราจารย์ก็หลุดจากบ่วงพันธะ

แรงกดดันเกิดขึ้นเช่นกันกับพระพุทธเจ้า  เพื่อคงอยู่ในราชวัง และไม่ให้ทิ้งชีวิตเจ้าชายที่มีสิ่งบำเรอความสุข แต่ถึงอย่างไรก็ตามความพยายามของพระราชบิดา ก็ไม่อาจขัดขวางเป้าหมายทางจิตวิญญาณที่ท่านมี วันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็หนีจากไปและไม่กลับมาอีกเลย

ดังนั้นมันได้เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน  ลูกสาวไม่สามารถที่จะอยู่ในครอบครัวบ้านเกิดอีกต่อไป โดยไม่เอาอะไรสักชิ้นเดียว  ไม่มีแม้แต่กระเป๋าเดินทาง เธอจากไปและไปอยู่บ้านของบาบา และถึงแม้บาบาจะไม่สนับสนุนการกระทำเช่นนี้ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านก็ไม่ขับไล่เธอไป ท่านใ้ห้ที่พักแก่เธอและเธอได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรสตรี

ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็มาเช่นกันโดยมิได้บังคับ ภรรยาหลายคนถูกไล่ออกจากบ้านโดยสามีที่บ้ากามราคะและบาบาก็อ้าแขนรับพวกเขาไว้ทั้งหมด ที่ซึ่งพวกเธอได้รับการปกป้องและสันติในที่สุด  พวกเธอพบที่ที่พวกเธอเป็นส่วนหนึ่ง บ้านที่แท้จริงบนโลกนี้ ครอบครัวที่แท้จริง ครอบครัวที่แท้จริงและสูงส่งของพระเจ้า มีคำพังเพยเก่า ๆ ซึ่งกล่าวว่า "สำหรับผู้ที่ไม่มีที่ใดให้การช่วยเหลือในโลกนี้ พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลและเป็นผู้ร่วมทาง"  บัดนี้ชิพบาบากำลังแสดงตัวอย่างของสัจจะนั้นในทางปฏิบัติ

พวกผู้หญิงร่าเริงที่อยู่ของบาบา พวกเธอกลายเป็นครูเป็นผู้รับใช้โลกที่แท้จริง พวกเธออยู่ในความปิติอย่างสม่ำเสมอ เจริญงอกงามในสภาวะแวดล้อมที่น่ารักและศักดิ์สิทธิ์ ใช้ชีวิตที่ประเมินราคามิได้ของความบริสุทธิ์

อ่านต่อ >>> อดิเทพ ตอนที่ 2 # 20

No comments:

Post a Comment