สงครามระหว่างความดีกับความชั่วร้าย
ในอินเดีย หญิงพรหมจรรย์จะได้รับการบูชา แต่ทันทีที่พวกเธอแต่งงาน พวกเธอจะถูกปฏิบัติเยี่ยงคนรับใช้ และถูกบังคับให้ใส่ผ้าคลุมหน้า เป็นเครื่องแสดงชัดเจนว่าพวกเธอสูญเสียสมบัติที่บริสุทธิ์ของพวกเธอไป เทพเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ จั๊กกัดอัมบาและสรัสวาตี ถูกยกไว้ในความนิยมสูงสุด ผู้คนมาเพื่อล้างเท้าของพวกเธอในการยกย่องบูชา ความสำเร็จของความบริสุทธิ์ของพวกเธอ
กระนั้น เมื่อมีการนำทุกสิ่งมาปฏิบัติในทางที่เป็นจริง เมื่อพวกผู้หญิงบอกกับครอบครัวของพวกเธอว่า พวกเธอจะกลายเป็นเทวีด้วยการฝึกความบริสุทธิ์ของความคิด คำพูด และการกระทำ พวกเธอก็ประสบกับความกลัวและความเกลียดชัง และพวกญาติ ๆ ก็ทุบมือพวกเธอด้วยด้ามขวานและล่ามพวกเขาไว้ด้วยโซ่ที่ใหญ่โต
"โอ มนุษย์! ในความมัวเมากับอวัยวะของร่างกายและสัมผัสของเธอ เธอแสดงออกอย่างป่าเถื่อน นั่นคือสูญเสียพลังทั้งหมดในการแยกผิดแยกถูก แยกสัจจะจากความชั่ว จำไว้เถอะ...วันหนึ่ง ร่างกายของเธอจะกลายเป็นฝุ่นดิน บ้านของเธอ เพชรของเธอ ทองของเธอ ชีวิตของเธอ ทั้งหมดจะเข้ารวมกับฝุ่นธุลี มีกี่วันนะที่เหลืออยู่สำหรับเธอ ??? โอ มนุษย์ ตื่นขึ้นเถิด......และรู้จักตนเองก่อนที่มันจะสายเกินไป"
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงขับร้องเพลงแล้วเพลงเล่า เพลงของความบริสุทธิ์และสัจจะ ถือกระจกเพื่อให้ผู้ซึ่งกลัวว่าจะเห็นว่าตนเองได้กลายเป็นปีศาจอย่างไรได้ส่องดู ความสะดุ้งด้วยความกลัวได้กระจายไปทั่วทั้งสังคมของพวกซินดิ บางสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังและไม่ธรรมดากำลังเกิดขึ้น ซึ่งพวกเขาทั้งหมดไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ใช่...พวกเขาจะไม่เป็นเช่นเดิมอีกเลยโดยไม่ต้องใส่ใจในผลที่ออกมาจากการเผชิญหน้า
เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นความจริงของเหตุการณ์ มีหลายคนอธิบายด้วยหลักเหตุผลของพฤติกรรมของพวกเขาเอง จนกระทั่งดูเหมือนผิดเป็นถูก พวกเขาพูดกันว่า ผู้ที่ไปฟัง บาบา และกลายเป็นผู้ถือพรหมจรรย์เป็นคนบ้า แต่ใครกันคือผู้ที่เป็นคนบ้าที่แท้จริง ??
ผู้ซึ่งพบกับความสงบและมีความสุขด้วยการเข้ามาสู่หนทางของความบริสุทธิ์และอยู่ในการคิดถึงพระเจ้า หรือ ผู้ซึ่งเมามายด้วยความทะนงตนและทะยานอยากด้วยร่างกาย ผู้ซึ่งทุบตี ลูกเมีย และแม้แต่แม่ของพวกเขาเองจนเกือบจะเสียชีวิต
คำเยาะเย้ยและเหน็บแนมของสถานการณ์มิได้ทำลาย บาบา หรือ ลูก ๆ ของท่าน พวกที่อยู่ในความโง่งมงายของความมืด คิดว่าผู้ที่ได้รู้แจ้งคือ คนบ้า ในขณะที่ผู้ซึ่งรู้แจ้งก็รู้สึกเช่นกันกับผู้ที่อยู่ในความมืด ในไม่ช้ามันจะปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร
ซิสเตอร์ คนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยรุ่น อาศัยอยู่ครอบครัวเล่าถึงว่าเธอถูกกักขังในห้องของเธออย่างไร ในทุก ๆ เช้า จะมีการป้องกันมิให้เธอไปยังสัตสังของบาบา และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเธอตั้งใจที่จะสละการแต่งงานนั้นอย่างแน่วแน่ พวกเขาเริ่มขังเธอมากขึ้นและให้เธออดอาหาร เมื่อเธอยังถือพรหมจรรย์พวกเขาเฆี่ยนตีเธอด้วยแส้หนัง
มันเป็นข้อสอบจริง ๆ สำหรับเด็กหญิงผู้ที่เคยชินกับการให้ความเคารพกับครอบครัวอย่างสูงสุด เธอมิได้ปรารถนาที่จะไม่เชื่อฟังแม้แต่ขณะนี้ แต่บัญชาของพระเจ้าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก "ฉันจะไปโดยไม่ต้องกินอะไร" เธอบอกพวกเขา และพวกท่านอาจจะทุบตีฉันได้ ทุกวันเท่าที่ท่านปรารถนา แต่ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากน้ำอมฤตของความรู้ได้ ดังนั้น กรุณาเถิด โปรดกรุณาอนุญาตให้ฉันไปสัตสัง
เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลยุทธ์ของพวกเขาไม่เป็นประโยชน์ ครอบครัวของพวกเขาก็เรียกหมอผีมา หมอผีท่องเวทมนต์ส่งมาที่เธอและบังคับให้เธอกินน้ำไสยศาสตร์นั้น แต่เธอยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน อำนาจเวทมนต์ของมนุษย์หรือจะสู่กับอำนาจเวทมนต์ของพระเจ้าได้อย่างไร ?? หมอผีรู้ทันทีว่าเขาพ่ายแพ้เสียแล้ว ความรักของเธอแนบแน่นอย่างแท้จริงต่อพ่อที่สูงสุดและในที่สุด หมอผีก็หยุดที่จะพยายามอีก
พ่อแม่บรรเทาลงเล็กน้อย และเธอก็พยายามที่จะใช้ชีวิตตามปกติที่บ้าน แต่ตอนนี้ทั้งญาติและเพื่อน ๆ เฝ้าดูเธอด้วยสายตาที่แตกต่างกันในความฉงน ราวกับว่าเธอเป็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ ในตอนเย็น เธอจะนั่งเงียบ ๆ ที่มุมใดมุมหนึ่ง มีความสุขกับความสงบในสมาธิ สภาวะที่สูงล้ำเลิศ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้กลับกระตุ้นความโกรธในคนอื่น ๆ เอง พวกเขาคิดหาหนทางที่จะสร้างความยากลำบากให้เธอทุก ๆ ครั้งที่เธอทำความเพียรทางดวงวิญญาณ และเมื่อเธอนั่งอ่านเมอร์ลีขลุ่ยแห่งความรู้ ความโกรธที่คุ้นเคยกับพวกเขาแล้วไม่เคยมีขีดจำกัด พวกเขาตีความว่ามันเป็นการโจมตีพวกเขาโดยตรง เมื่อเธอเริ่มต้นศึกษาความรู้ที่พระเจ้าอธิบายไว้ และดังนั้นการทุบตีก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาเป็นคนประเภทใด ?? เธอครุ่นคิด นี้เป็นโลกอะไรกัน ?? เป็นยุคอะไรกัน?? แล้วเธอก็เริ่มร้องเพลง
โอ มายา ภาพลวงตาที่เต็มไปด้วยสีสรรของเจ้า
ทำไมเจ้าจึงทำให้ผู้คนร่ายรำ
เจ้าทำให้ผู้คนลุ่มหลงมืนเมาด้วยความสุขทางสัมผัส
จนกระทั่งสติปัญญาได้ รั่วไหลไปจนหมดสิ้น
โอ แล้วทำไม เจ้าจึงใส่โทสะและความทะยานอยากลงไปให้พวกเขา ?
โอ มายา เจ้าดักจับส่วนที่ดีที่สุดของมวลมนุษย์
โอ เจ้าทำให้พวกเขาลืมรูปที่แท้จริงของพวกเขา
พวกเขาหลงอยู่กับเครื่องแต่งกายที่เป็นหลุมพราง
และทำให้พวกเขาลืมว่าพวกเขามาจากที่ใด
เจ้าบดขยี้พวกเขาด้วยล้อบดแห่งความทุกข์ระทม
ใน ศรีมัต ภัควัต งานที่มีชื่อเสียงของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอินเีดีย มีเรื่องหลายเรื่องเกี่ยวกับเจ้าชาย กฤษณะ ผู้ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็น "พระเจ้า" กฤษณะถูกบรรยายให้เห็นว่าเป็นคนเป่าขลุ่ย เขาเป่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ซึ่งทำให้โกปี้ หญิงรีดนมวัว เสียสติด้วยความลุ่มหลงและหนีออกจากบ้านไปอยู่กับพระเจ้าเพศ
แล้วฉันก็จำเรื่องราวเหล่านั้นของกฤษณะได้ ซิสเตอร์ระลึกย้อนไป เมื่อฉันยังเล็ก ๆ ฉันเคยอ่าน เมื่อโกปี้ตกหลุมรักกับเสียงขลุ่ย (เมอร์ลี) ของพระเจ้า ครอบครัวของเธอพยายามป้องกันพวกเธอเพื่อไม่ให้หนีไปอยู่กับคนเป่าขลุ่ย บ่อยครั้ง ที่ฉันเคยฉงนว่า โกปี้สามารถได้ยินเสียงขลุ่ยที่แสนไพเราะของพระเจ้าได้อย่างไร แต่สามีของเธอไม่ได้ยิน หรือว่าพวกเขาปิดหูของพวกเขาไว้ ซึ่งเขาไม่ต้องการที่จะได้ยินเสียงขลุ่ยซึ่งมีอำนาจเวทย์มนต์ ?? ตอนนี้ฉันเข้าใจอย่างทันทีว่าอะไรคือความลับที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวโบราณ มันไม่ได้อ้างถึงสิ่งใดเลยนอกเสียจากประสบการณ์จริงที่เกิดกับฉันซึ่งฉันกำลังประสบอยู่ ขลุ่ยของพระเจ้ามิใช่เครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งแต่มันคือ ขลุ่ยของความรู้ เมื่อได้ัฟังความรู้ ฉันรู้สึกเต็มไปด้วยความสุขเหนือโลก และญาติเหล่านี้ที่ป้องกันไม่ให้ฉันออกไปรับฟังความรู้นั้นเพิ่มขึ้นและพวกเขาก็ไม่อาจได้ยินเสียงเพลงแห่งความรู้ด้วยตนเอง
ฉันเห็นตัวฉันเองเป็นโกปี้แห่งความรู้ ความหมายที่แท้จริงจากคัมภีร์ที่ซ่อนไว้ถูกเปิดเผยให้ฉันเข้าใจ มันเป็นอนุสรณ์ความลับของการลงมาบนโลกของชิพบาบา และการตกหลุมรักของพวกเีราต่อสัจจะและความบริสุทธิ์นี่เอง ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ทำให้ฉันสามารถที่จะทนต่อความยากลำบากและการกระำทำทารุณ ซึ่งทำให้ฉันได้รับความทุกข์ทรมานและก็ยังสามารถยิ้มรับมันได้
อ่านต่อ >>> อดิเทพ ตอนที่ 2 # 19
No comments:
Post a Comment