Saturday, February 22, 2014

อดิเทพ ตอนที่ 2 # 20


ไฟ
เวลาเคลื่อนไปเป็นวงกลม ราวกับฟิล์มภาพยนต์ที่หมุนซ้ำไม่รู้จบ การฉายของภาพยนต์แต่ละรอบนาน 5,000 ปี พวกเราดวงวิญญาณผู้เป็นทั้งคนแสดงและผู้ชม ตัวบทภาพยนต์มีด้วยกัน 4 ฉากที่แตกต่างกัน  และเคลื่อนจากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุขไปจบที่จุดของความทุกข์แสนสาหัส  โลกเริ่มต้นด้วยดินแดงแห่งความอัศจรรย์ การตอบสนองของทุก ๆ ความฝันปราสาททองคำและเพชรมากมาย แม่น้ำแห่งน้ำนม โลกที่เป็นสวนและการละเล่นและเสียงหัวเราะ อาณาจักรแห่งราชนิกูลที่สูงส่งและประเสริฐยิ่งกว่า คาเมร๊อด เต็มไปด้วยความเบิกบานยิ่งกว่า ซานาดู มันเป็นโลกของมนุษย์ที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาต่อความไม่ลงรอยกัน หรือกิเลสใด ๆ มันเป็นยุคทองอย่างแท้จริง

ประชากรมีน้อยมาก น้อยกว่า 1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ตอนเริ่มต้น และพวกเราเป็นผู้ปกครองโลกทั้งหมด ไม่มีคนอื่นอีกเลย เมื่อเริ่มแก่ตัวลง ไม่เคยเลย แม้แต่สักวันหรือชั่วขณะหนึ่งที่จะเจ็บป่วยหรือไม่มีความสุขประเภทใด ๆ เลย เมื่อเวลาแห่งการออกจากร่างกายมาถึง ณ เวลาที่เตรียมการมาครบ 150 ปี เราจะได้รับนิมิตของชีวิตของเราในชาติต่อไป  มันมีความสุขและเราก็ออกจากร่างในความสงบสำหรับการไปอยู่ในร่างใหม่อีกต่อไป

โลกค่อย ๆ เก่าลงอย่างช้า ๆ ประชากรเพิ่มขึ้นและราชวงศ์ใหม่เข้ามาแทนราชวงศ์แห่งสุริยราชวงศ์ รามและสีดา เข้ามานั่งบัลลังก์แทนลักษมีและนารายัญ หลังจาก 8 ช่วงอายุและ 1,250 ปี ยุคทองได้มาถึงจุดจบด้วยความสงบ และบัดนี้ จันทราราชวงศ์ก็เริ่มขึ้น ซึ่งเป็นยุคเงิน ขนาดของอาณาจักรได้เติบโตขึ้นอย่างมาก  แต่มันยังคงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว มีอาณาจักรเล็ก ๆ หลายอาณาจักรอยู่ภายในอาณาจักรใหญ่ กษัตริย์ที่เล็กต่างมอบความจงรักภักดีอย่างแท้จริงให้กับวงศ์ผู้ปกครอง ความสุขยังคงอยู่ ไม่มีสงคราม ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการป่วยไข้ ไม่มีโชคร้าย เพียงแต่โลกเริ่มเก่าลงเล็กน้อย องศาของความบริสุทธิ์ของเราลดลงเล็กน้อย และมันก็ผ่านไปในท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยช่วงอายุหนึ่งตามด้วยอีกช่วงอายุหนึ่ง จนจบ 12 ช่วงติดต่อกันในการเกิดทีมีแต่ความสุข และใช้เวลามา 1,250 ปี ได้ผ่านไปในห้วงเวลาของนาฬิกาจักรวาล

แล้วบางสิ่งซึ่งเป็นความเคราะห์ร้ายได้เกิดขึ้น พวกเราดวงวิญญาณเริ่มเสียความสว่างสดใสและความสูงส่งของเรา เราเริ่มถูกดึงดูดไปยังร่างกายของกันและกัน เราเสียสำนึกที่ถูกต้องว่าเราเป็นดวงวิญญาณที่เป็นอมตะ เราหลงเข้าไปในบ่วงของกิเลส

เทพนั้นตกต่ำลงมา เมื่อเราเป็นเช่นนั้น โลกก็ถูกกระทบอย่างรุนแรง แผ่นดินไหวและน้ำท่วมทำลายอาณาจักร  ชำระล้างร่องรอยทั้งหมดของอาณาจักร ผู้คนกระจัดกระจาย และมันใช้เวลานานปีที่จะเริ่มก่อสร้าง อะไรก็ตามที่สาบสูญไป และแม้กระนั้น มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ ความสามารถ ความรู้ ความบริสุทธิ์ ทั้งหมดได้หายไปสิ้น

และดังนั้นพวกเราก็เริ่มทำการทรมานตนเองเพราะสำนึกบาป เพื่อที่จะค้นหาจากส่วนลึกภายในตนเอง อะไรที่มันผิดพลาดและจะแก้ไขให้ถูกต้องได้อย่างไร จากร่องรอยแห่งความจำของจิตใต้สำนึกที่ลึก ๆ เราจำได้ ผู้ซึ่งเป็นผู้สร้างโลกของเทพมนุษย์โลกนั้นท่านเป็นพระเจ้า ดวงวิญญาณสูงสุดผู้ไร้ร่าง ชีว่า และตังนั้นเราจึงสร้างวัดให้กับท่าน เราปลุกเรียกท่านให้กลับคืนมา เพื่อช่วยพวกเราสร้างสวรรค์ของพวกเราอีกครั้งหนึ่ง

แต่มันเป็นการยากที่จะจดจำดวงวิญญาณที่ปราศจากร่างกาย และดังนั้นเราก็เริ่มสร้างวัดถวายเทพ ถวายลักษมีและนารายัญ และก็ถวายรามกับสีดา และต่อมาก็ถวายให้กับเทพองค์อื่น ๆ อีกมากมาย พวกเราได้ลืมไปว่าเทพนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวตนดั้งเดิมของเราเอง การบูชาเริ่มไม่บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ นี้คือช่วงของยุคทองแดง แม้แต่เวลาหลังจากการล่มของอาณาจักร อินเดียก็ยังร่ำรวยอย่างน่าตื่นตะลึง  แต่ไม่สามารถเทียบได้กับที่เคยเป็นมา เทียบกันไม่ได้เลย และบัดนี้ประเพณีเริ่มแข็งกระด้าง ในขณะที่กองทัพต่างชาติมาขโมยทรัพย์สมบัติของเรา เราค่อย ๆ กลายเป็นชาติล้าหลัง ประเพณีบูชาที่มีอยู่ในความทรงจำแห่งเวลาที่รุ่งโรจน์บัดนี้ได้ผ่านไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดใหม่ ๆ ถูกสร้างขึ้นมาอีก ความศรัทธาในลัทธิการสละละทิ้ง จารีดและคุณค่าของความบริสุทธิ์ และคัมภีร์ทำให้ผู้คนที่ใส่ใจในการรักษากฏแห่งความถูกต้องของการดำรงชีวิต อาหารบริสุทธิ์ การเพิ่งรวมหรือการทำสมาธิและอื่น ๆ ยังดำรงอยู่ แต่ความรู้ของพระเจ้าได้หายไปและนี่เองที่มนุษย์ได้ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

มันเป็นช่วงเวลาของมนุษย์อื่น ๆ ที่จะขึึ้นมาปรากฏบนเวทีละครโลก ระหว่างการทำลายล้างซึ่งตามหลังยุคเงินมานั้น ทวีปได้แยกตัวออก และหลายเผ่าพันธุ์ได้เริ่มพัฒนาขึ้น แต่ละเผ่า เริ่มด้วยความรู้ซึ่งเป็นเศษเล็กเศษน้อยของปริศนาของวงจรโลก ทวีปอเมริกาเหนือได้โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล และพวกอินเดียนซึ่งเป็นเจ้าของเดิมได้เข้ามาตั้งรกราก ณ ที่นั้น

ผู้นำศาสนาที่ยิ่งใหญ่คนแรก อับบราฮัม เกิดขึ้นในเวลานี้ ท่านเห็นผู้คนในอินเดียบูชาเทพ และท่านรู้ว่านี่ผิด ไม่มีใครอื่น มีเพียงพ่อสูงสุด พระเจ้า เท่านั้นที่ควรบูชา ดังนั้น ท่านจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ดินแดนที่คาดหวังของท่านเอง และเริ่มอะไรที่ได้กลายมาเป็นทั้งสองศาสนาคือ ศาสนายิว และศาสนาอิสลาม ท่านสร้างวัดชีว่าขึ้นในเมกกะ ที่ซึ่งในภายหลังโมเฮมเม็ดได้รับการสักการะบูชา และโมเฮมเม็ดได้สถาปนาการปกครองเหนือประเทศเคนาน (Canaan) (ปราเลสไตน์โบราณและฟินิเซีย) ซึ่งได้กลายมาเป็นบ้านของชาวยิว เทพได้เคยถูกเรียกว่า "อิโลฮิม" (ภาษายิวหรือฮิบรู) แต่บัดนี้คำซึ่งเป็นพหูพจน์นั้นได้เริ่มที่จะทำให้เป็นคำที่อ้างอิงถึงพระเจ้าเพียงอย่างเดียว

วัฒนธรรมอียิปต์ก็ได้รำลึกถึงราชวงศ์ของเทพในสมัยโบราณ ในความเป็นจริง พวกเขาก็เรียกตัวเขาเองว่า เทพแห่งสุริยะ พีระมิดของพวกเขาเป็นเครื่องแสดงแทนด้วยหินให้เห็นจุดของแสงแผ่รังสีลงมาข้างล่างจากท้องฟ้า

นครรัฐของชาวกรีกเริ่มปรากฏตัวขึ้นและนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่นได้อภิปรายถึงธรรมชาติแห่งความจริงแท้ ใช่ มันเคยมีเทพที่เคยปกครองโลกในช่วงหนึ่ง พวกเขารู้ ชาวกรีกก็เริ่มสักการะบูชา เทพด้วยเช่นกัน  และพวกเขาก็สร้างเรื่องขึ้นมามากมายเกี่ยวกับผู้สูงส่งเหล่านั้น ผู้ซึ่งพวกเขาเรียกว่าเทพแห่งเขาโอลิมปัส นักปรัชญาชาวกรีกพัฒนาทฤษฏีหลายทฤษฏีเกี่ยวกับดวงวิญญาณจักรวาล และเทพบางทฤษฏีได้ถูกต้องอย่างน่าทึ่ง บางทฤษฏีห่างไกลจากความจริง แม่้แต่ในช่วงเวลาของเพลโต คุณค่าของความบริสุทธิ์ยังคงอยู่ในหัวข้อหลัก เป็นที่ยอมรับกันเพียงน้อยนิดและผู้ที่ชาญฉลาดเท่านั้นที่สามารถได้รับสถานภาพนั้นได้

พลังของดวงวิญญาณตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง อาณาจักรกรีกล่มสลาย อาณาจักรโรมันเข้ามายิ่งใหญ่แทน ชาวฮินดูได้สร้างผู้นำศาสนาที่ยิ่งใหญ่หลายคน และช่วงสั้นๆ ของอาณาจักรที่ให้ความสำคัญกับพลังทางดวงวิญญาณ แต่ความตกต่ำได้เข้ามาเช่นกัน สงครามก็เพิ่มขึ้น ศาสนาของพวกเขาเริ่มหยาบกระด้าง เข้าสู่การถือแบบแผนกฏระเบียบอย่างเคร่งครัด

ผู้นำศาสนาคนอื่นตามลงมา นี้คือ พระคริสต์ ท่านกระตุ้นผู้คนให้เข้าสู่ปรากฏการณ์ใหม่ของความเป็นดวงวิญญาณ ในเวลาที่หน่อใหม่ของศาสนาเกิดขึ้น อาณาจักรโรมันก็ล่มสลาย และเข้าสู่การมีอำนาจเหนืออาณาจักรยุโรปทั้งหมด

ศาสนานี้ตีความผิด คิดว่าพระเจ้าเป็นผู้มีร่างกาย เช่นเดียวกับชาวอินเดียที่เข้าใจผิดคิดสับสนว่าเทพเป็นพ่อผู้สูงสุด แต่พวกคริสเตียนมีความรู้อย่างอื่นซึ่งค่อนข้างจะถูกต้องโดดเด่น ซึ่งเกี่ยวกับการมาถึงของ "วันแห่งการพิพากษา"  และเกี่ยวกับดินแดนสวรรค์ที่จะตามมา พวกเขารอให้พระคริสต์มาอีกครั้ง พวกเขาไม่รู้ว่าบทบาทของ "ลูกของพระเจ้า" ได้จบลงแล้ว แต่เป็นบทของพระเจ้าที่จะต้องลงมาเล่นด้วยตนเองเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่

ในช่วงเวลาที่ชาวโลกทั้งหมดได้น้อมรับผู้นำศาสนาของตน ประชากรเริ่มเพิ่มมากขึ้นราวกับละคร  เช่นกันกับสงครามและการกระทำด้วยกิเลสอื่น ๆ ภายในหน้ากากของศาสนาผู้คนบังคับซึ่งกันและกันให้ยอมต่อการครอบงำ คนทั้งชาติ ถูกแย่งชิง การปล้นสะดมภ์และผู้คนในอินเดียถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา

ดังนั้นยุคเหล็กจึงเริ่มขึ้น มีช่วงขณะที่เป็นฤกษ์งามยามดีปรากฏออกมาเหมือนอย่างเช่น การฟื้นฟูในยุโรป เมื่อศิลปะและวิทยาศาสตร์เริ่มเจริญที่นั่น เป็นเหมือนกับการสำรวจโลก แต่ความต้องการก็คือผลกำไร และเป็นความโลภของพวกเขาที่ขยายตัว เช่นกันกับความหยิ่งยโสและความโกรธ การกระทำโหดร้ายต่อผู้คนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา การเคลื่นนไหวที่ประสบความสำเร็จของวิทยาศาสตร์เริ่มต้นขึ้นแล้ว ความรู้ของดวงวิญญาณสูญสิ้นลงจนเกือบหมดสิ้น แต่บัดนี้ ความรู้ทางโลกวัตถุขยายตัวทำให้สามารถทำให้อาณาจักรเติบโตอย่างน่าสะพรึงกลัว  อาวุธปืนและอาวุธอื่นก้าวหน้าอย่างมาก การเปลี่ยนสภาพชนบทไปตามสภาพที่เป็นอุตสาหกรรม กษัตริย์ผู้คดโกงเริ่มถูกบีบลงเปลี่ยนไปเป็นผู้ปกครองระบบประชาธิปไตย การปกครองของประชาชนที่ปกครองเหนือประชาชน

อินเดียได้ถูกยืดครั้งแรกโดยมุสลิมและครั้งหลังโดยอังกฤษ ในที่สุดดินแดนเก่าแก่ก็เริ่มตื่นขึ้น มหาตมะ คานธี นำชาวอินเดียให้เป็นอิสระจากผู้ปกครองต่างชาติ แต่ไม่ได้เป็นอิสระจากกิเลส ภารกิจนั้นต้องได้รับการแทรกแซงของพระเจ้า

ในขณะเดียวกันสงครามต่าง ๆ ก็มีการแพร่กระจายและป่าเถื่อนมากกว่าเดิม ขณะที่ผู้คนต่างกู่ร้องตะโกนเสียงดังว่าพวกเขากำลังพัฒนาและก้าวหน้าขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น ความจริงคือพวกเขาได้เสื่อมลงมาเรื่อย ๆ เกือบ 5,000 ปี พวกเขาเกือบจะเผาโลกทั้งหมดเป็นจุล

อาวุธนิวเคลียร์ถูกพัฒนาขึ้นมา  ประเทศทั้งหลายในโลกหมกมุ่นอยู่กับการครอบครองเครื่องมือแห่งการทำลายล้างเหล่านี้  ความชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาสู่จุดสุดยอดในโลก และในขณะเดียวกันพลังของพระเจ้า กำลังผนึกกำลังตัวเองแน่นอย่างลับ ๆ จะมีใครเชื่อบ้างว่าท่านได้ลงมาในช่วงเวลาที่วิกฤต ในสถานที่ที่ห่างไกลโดยการสอนผู้คนให้บริสุทธิ์ ? และคำสอนเหล่านั้นจะเปลี่ยนจักรวาลได้หรือ ? แต่มันจะเป็นเช่นนั้น

และเหมือนกับว่าผู้คนกำลังอยู่ในขบวนการเผาโลกอยู่ ดังเช่น ดวงวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ของ "ไฮเดอราบัด" ได้พยายามที่จะเผาบ้านของพระเจ้า เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลยุทธิ์ก่อกวนไม่ได้ผล ก้าวต่อไปของการพยายามคือใช้ความรุนแรง  พวกเขาติดอยู่ในกรงเล็บที่แหลมคมของความโกรธ ซึ่งเผาพวกเขาเหมือนไฟที่ดาลเดือด ลามเลียตลอดเวลา ยิ่งร้อนมากขึ้นทุก ๆ  นาที ไม่มีการรั้งรอที่จะทำลาย

ช่างน่าเย้ยหยัน ผู้คนเหล่านี้ พวกแอนตี้โอมมันดาลี ตั้งเป้าไว้ว่าการทำลายล้างสถาบันแห่งนี้ลงได้ เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขามีความสุข ในโลกแห่งสงคราม พระเจ้ากำลังสอนหนทางไปสู่ความสันติ แต่เพราะไม่สามารถสัมผัสสัจจะที่ล้ำลึกได้ พวกเขาเข้าโจมตี แผนการของพวกเขา คือการลอบวางเพลิงอาคารที่บาบาใช้ในการชุมนุม เมื่อพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการป้องกันพวกผู้หญิงมิให้ไปที่นั้น อย่างน้อยพวกเขาก็เผาบ้านที่ซึ่งพวกผู้ชุมนุมมารวมตัวกัน

พวกเขากลัวบาบาด้วยเหมือนกัน  ลึก ๆ แล้วพวกเขารู้ว่ามีพลังอันสูงส่งบางอย่างแผ่กระจายมาจากบาบา ดังนั้นพวกเขารอที่จะทำการเลวร้ายตามแผน รอวันที่บาบาไม่อยู่แล้วพวกเขาก็ระดมกำลังมาพร้อมกัน  ฝูงชนขนาดใหญ่รวมตัวกันและปิดล้อม สัตสัง บาวัน พวกเขาตะโกน คำสบถสาบานที่หยาบคาย และเริ่มขว้างปาก้อนหิน พวกเขาทำลายหน้าต่างและประตูรั้วลง

แต่ละนาทีที่ผ่านไปฝูงชนก็แสดงความบ้าคลั่งมากขึ้น  จนกระทั่งสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้คนมาร่วมกลุ่มก่อการจราจลมากขึ้นเรื่อย ๆ ถือไม้และอาวุธอื่น ๆ พวกเขาเริ่มพยายามที่จะเข้ามาในตัวบ้าน แต่แม่ตัวเล็กที่ทรงพลังอำนาจกองทัพชีพชัคตียืนขวางกั้นอย่างกล้าหาญในที่หน้าประตูบ้าน แล้วกลุ่มของสตรี 2-3 คนก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่ ไม่มีผู้บุกรุกแม้แต่คนเดียวที่จะผ่านพวกเขาเข้ามาได้  และเมื่อพวกเขามองเข้าไปในดวงตาของสตรีเหล่านี้ พวกเขาเห็นความเข้มแข็งที่ทำให้สยองขวัญ พวกเขาถอยกลับทันที
แทนที่การจะบุกเข้าไปในบ้าน พวกเขาจะเผาบ้านจากด้านนอก เหวี่ยงคบเพลิงเข้ามาทางหน้าต่าง ทุก ๆ ด้าน

ผู้วางเพลิงไม่สนใจว่าภายในบ้านมีทั้งลูกสาว ภรรยา แม่และญาติคนอื่นๆ ของครอบครัวของพวกเขาเอง และที่จะถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในกองเพลิง จิตใจของพวกเขามึนงงไปด้วยความโกรธและพวกเขาได้ลดสภาพลงไปจนต่ำยิ่งกว่าสัตว์ ผู้นำกลุ่มฝูงชนผู้วางเพลิงพยายามในนาทีสุดท้าย เพื่อมิให้พวกเขากระทำการโจมตีถึงขั้นล้มตาย แต่มันได้สายเกินไปแล้ว ฝูงคนผู้ก่อจราจลไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
โชคยังเข้าข้าง ผู้เฝ้าสังเกตการณ์โทรเรียกตำรวจ เมื่อคบเพลิงเริ่มถูกโยนเข้าไป ตำรวจมาถึงโดยเร็ว เข้าสลายฝูงชนขณะที่กลุ่มไฟได้ลุกโชติช่วงขึ้น ความเสียหายได้เกิดขึ้นกับวัตถุ แต่สถาบันกลับมีแต่จิตใจที่มีกำลังเพิ่มขึ้น ผู้คนเพียรพยายามเป็นพันวิธีที่จะทำลายโอมมันดาลี  แต่พวกเขาไม่มีพลัง เหตุการณ์ไฟไหม้และเหตุอื่น ๆ ได้ถูกบรรยายไว้ในคัมภีร์มหาภารัติ

ผ่านสถานการณ์ทั้งหมดนี้มา บาบาก็ยังรู้สึกเบาสบายไม่กังวล ท่านเป็นผู้เฝ้าดูที่ละวางอย่างสม่ำเสมอ พวกเราเป็นเพียงคนรับใช้ของพ่อ ท่านจะทำให้ทุกอย่างลงตัวด้วยดีเอง  การทดสอบอีกมากที่จะมีบนหนทางนี้ แต่ถ้าเรารักษาความมั่นใจไว้ในท่าน ในโลกละคร และในตนเอง เราจะเป็นผู้พิชิตชัย บนเรือแห่งสัจจะอาจโคลงได้แต่จะไม่มีวันจม

จากแรงบัลดาลใจโดยตัวอย่างของบาบา และจากความรู้สึกดื่มด่ำโดยน้ำอมฤตแห่งความรู้ พี่น้องชายหญิง และแม้แต่ผู้เยาว์ เดินหน้าต่อไปโดยไม่ต้องกลัวเกรงและเข้าถึงการละวางจากโลก พวกเขาได้ประสบการณ์ของสัจจะทุก ๆ วันและได้รับคุณค่าในทางปฏิบัติจริงจากคำสอนของบาบา และด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาชาญฉลาดเกินอายุของพวกเขา

อ่านต่อ  >>> อดิเทพ ตอนที่ 2 # 21

No comments:

Post a Comment