Friday, June 7, 2013

เสาหลักของราชโยคะ

การฝึกฝนราชโยคะเป็นการฝึกหัดที่ละเอียดอ่อนที่สุด ผู้ฝึกฝนจะต้องพัฒนาสภาวะของจิตใจที่เป็นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำตามระเบียบวินัยที่เป็นแก่นสำคัญแก่ดวงวิญญาณ ซึ่งก่อให้เกิดเสาหลักทั้งสี่ของราชโยคะ




พรหมจรรย์
กามราคะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของโยคี มันเป็นอันตรายต่อชีวิตที่สุดและมีอำนาจสูงสุดในหมู่กิเลสหลักทั้งห้า ซึ่งกำเนิดมาจากสำนึกแห่งการเป็นร่างเหมือนกับน้ำทิพย์และยาพิษ โยคะ และ โบคะ (Bhoga ความหมกมุ่น)  เป็นสิ่งที่อยู่กันคนละด้าน ทั้งสองไม่สามารถไปด้วยกันได้และการหมกมุ่นในกามราคะเป็นรูปที่หยาบที่สุดของความหมกมุ่น ถ้ายังไม่สามารถเอาชนะจอมราชันแห่งกิเลสนี้ได้ การพูดเกี่ยวกับโยคะทั้งหมดก็หมดความหมาย การหมกมุ่นในกามราคะเป็นการแสดงออกของความปรารถนาเยี่ยงสัตว์ ก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่สุด ทำให้โกรธแค้น หยาบคาย ชั่วร้ายและการก่ออาชญากรรมถึงแก่ชีวิต ซึ่งเท่ากับเป็นการฆ่าและการทำลายล้างความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ มันเป็นการกระทำที่ต่ำที่สุด และสกปรกที่สุด ซึ่งเหมือนกับการถลำลงไปในท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำคลำ

โยคีผู้ปราถนาที่จะโลดแล่นไปยังอาณาเขตของความสุขเหนือประสาทสัมผัส ไม่ควรที่จะแม้แต่ฝันถึงน้ำพิษที่แสนหวานนี้แม้แต่เพียงชั่วขณะ มันเป็นการฆ่าตัวตายสำหรับตนเองถ้าทำเช่นนั้น เพียงความคิดที่หมกมุ่นถึงกามราคะก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขาแตกสลายและทำลายสติปัญญาของโยคี ความโกรธก็แตกหน่อมาจากความไม่สมหวังในความทะยานอยากต่อกามราคะ และกิเลส เมื่อทั้งสองมาพร้อมกันก็ทำให้เกิดการล่มสลายแก่เขาโดยสิ้นเชิง คัมภีร์ได้เล่าเรื่องราวของหฐโยคีที่ตกต่ำไว้หลายคน ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่อความงามทางร่างกายของใบหน้าและรูปร่าง

ราชโยคีนั้นไม่ได้ถูกดึงดูดไปสู่ความงามทางร่าง เพราะว่าการมองของเขาได้เปลี่ยนไป เขาได้มองไปที่ความงามของดวงวิญญาณ สำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณได้เปลี่ยนสายตาของเขา จากสายตาที่ต่ำทรามและสกปรกไปสู่สายตาที่สูงส่งใสสะอาด และบัดนี้เขาได้รับความพอใจต่อความรักทางจิตที่มีต่อทุกดวงวิญญาณ เช่น พี่ชายให้กับน้องชายเพราะว่าไม่ได้คิดถึงร่างกายอีกต่อไป

การถือพรหมจรรย์ ทำให้เขามีความแข็งแกร่งทางร่างกายอย่างยิ่ง อำนาจแห่งศีลธรรมและอำนาจแห่งดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ส่งเสริมให้เขามีความกล้าหาญและพลังของความมุ่งมั่น ทำให้เขาสามารถบรรลุถึงชัยชนะเหนือกิเลสอื่น ๆ ทั้งหมดได้โดยง่าย เขารู้ว่าเหล่าเทพ ซานยาสซี มหาตะมะ และผู้บริสุทธิ์ได้รับความเคารพเป็นอย่างมากเพราะความสูงส่ง หรือความบริสุทธิ์ นั่นคือ การถือพรหมจรรย์

เขาเห็นว่าการหมกมุ่นในกามราคะเป็นประตูไปสู่นรก เขาเข้าใจว่าโลกเริ่มกลายเป็นนรกจากยุคทองแดง เมื่อเหล่าเทพเริ่มลิ้มรสผลไม้ที่มีน้ำพิษที่หวงห้ามนี้ และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาหญิงชายซึ่งเป็นผลพวงมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา ต้องตายโดยการมีสัมพันธ์ทางกามราคะ ซึ่งเป็นกิเลสซึ่งสืบทอดมาเป็นความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน

บัดนี้ในชาติสุดท้ายของยุคแห่งการบรรจบพบกัน มีคำสั่งจากพระเจ้าชีว่าให้หยุดดื่มน้ำพิษที่สกปรกของกามราคะนี้ เพื่อที่จะได้รับมรดกจากท่านอีกครั้งหนึ่ง มรดกที่สูงส่งแห่งสถานภาพของเทพ แห่งความบริสุทธิ์ ความสงบ และความมั่งคั่งอย่างสมบูรณ์ที่จะได้รับในสัตยุคหรือสวรรค์ ด้วยการเป็นทายาททางดวงวิญญาณของบราห์มา โยคีก็ประพฤติตนตามหนทางของบราห์มา งดเว้นจากการเสพกาม มีความบริสุทธิ์ในความคิด ในคำพูด และการกระทำ นั่นคือความหมายของคำว่า "พรหมจรรย์"


อาหารบริสุทธิ์
(ก) อาหารที่บุคคลรับประทานเข้าไปมีอิทธิพลอย่างล้ำลึกต่อการทำงานของจิตใจ
คำพูดที่ว่า "อาหารเป็นเช่นไรจิตใจเป็นเช่นนั้น" ดังนั้น มันเป็นสิ่งจำเป็นที่โยคีจะตองฝึกอย่างเข้มงวดในความบริสุทธิ์เกี่ยวกับอาหารของเขา มีหลายประเด็นเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของอาหาร โยคีนั้นหารายได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง อาหารของเขาบริสุทธิ์ (Sattwic) นั่นคือ เรียบง่าย สด และถูกอนามัย อาหารของโยคีจะไม่มีเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ หอม กระเทียม น้ำเมาและยาสูบ มันปราศจากของมึนเมา และเครื่องดื่มกระตุ้นทั้งหมด รวมทั้งพริก ซึ่งกระตุ้นความปรารถนาเยี่ยงสัตว์หรือกระตุ้นอารมณ์

อาหารของเขาถูกเตรียมและปรุงโดยบุคคลซึ่งมีสำนึกถึงพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ และถือพรหมจรรย์ ถ้าถูกปรุงโดยผู้ที่มีกิเลส กระแสที่เต็มไปด้วยกิเลสของเขาจะถูกถ่ายทอดไปยังโยคีโดยผ่านอาหารนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหารใด ๆ เขาก็จะทำการอุทิศอาหารนั้นต่อพระเจ้า และก็จะถือว่ามันเป็นอาหารที่พระเจ้าได้ให้พรและทำให้ศักดิ์สิทธิ์ (Prasadam) ซึ่งจะช่วยชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ตลอดเวลาที่เขารับประทานอาหาร เขาคิดถึงพระเจ้า

การทำเช่นนี้ประสาทสัมผัสของรสชาติและกลิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุม เขาก็จะไม่ลุ่มหลงอยู่ในการรับประทานตามต้องการ ไม่รับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย ละโมบ และนี่เป็นเหตุให้เขาปลอดภัยจากความหนักหน่วง ความเฉื่อยชา โยคีไม่ไ้ด้อยู่เพื่อกิน  เขากินเพื่ออยู่

(ข) ต้องหยุดกินเนื้อสัตว์
การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสันสการ์ของความโหดร้ายทารุณและความรุนแรงของมนุษย์ โยคะและการกินเนื้อสัตว์ไม่สามารถไปด้วยกันได้ มันเป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนประกอบของมนุษย์นั้นมีสรีระที่ไม่เหมาะสมสำหรับการกินเนื้อสัตว์อย่างสิ้นเชิง พวกสัตว์ที่กินเนื้อจะมีฟันที่แหลมคม มีลำไส้ที่เล็ก มีกงเล็บที่สามารถตัดและฉีก มีกรามซึ่งแข็งและตายตัวเหมือนกับกรามของสุนัข ซึ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ไม่เหมือนกับแพะหรือวัวซึ่งสามารถเคี้ยวเอื้อง แต่สัตว์หลาย ๆ ชนิด   เช่น แพะ วัว ฯลฯ ซึ่งมนุษย์เรากินเนื้อมัน พวกมันกลับไม่กินเนื้อสัตว์อื่น ๆ 
ยิ่งกว่านั้น เนื้อของสัตว์จะทำให้มนุษย์ประสบปัญหากับระบบการย่อยอาหารมากกว่าการกินพวกพืช พวกสัตว์ซึ่งมีกำลังทางกายและมีสรีระที่แข็งแรงหรือเป็นสัตว์ที่ช่วยในการขนส่ง เช่น ช้าง วัว และ อูฐ ฯลฯ ต่างก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ว่าพวกมันก็มีความสามารถที่จะทำงานเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและมีความอดทนและทนทานมากได้

พืชและต้นไม้ไม่มีสมองใด ๆ ไม่มีระบบประสาทเหมือนดวงวิญญาณที่สามารถมีประสบการณ์ของความเจ็บปวดหรือการบาดเจ็บ ดังนั้น การนำมาเป็นอาหารจึงไม่เกี่ยวข้องกับการเจ็บปวดของพืชและต้นไม้เหล่านั้น ผลและพืชผักได้บรรลุถึงจุดเจริญเต็มที่ก่อนที่มนุษย์จะนำมาเป็นอาหาร มิฉะนั้นก็จะเน่าเสียและสูญเปล่า ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ จอห์น แมททิว และ แดเนียล ต่างก็ไม่กินเนื้อสัตว์ นักปรัชญากรีก เช่น อริสโตเต็ล เพลโต และ โซคราติส นิวตัน (นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง) หรือนักกวีชาวอังกฤษ ชื่อ นิวตัน โป๊ป แชลลี่ (Shelley) และไบรอน (Byron) และ เบอร์นารถ ชอร์ (Bernard Shaw) ซึ่งเป็นนักเขียนบทละคร ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นคนที่กินพืช

SAT-SANG (สัต-ซัง)  หรือ การมีเพื่อนร่วมทางที่ถูกต้อง
มนุษย์นั้นสามารถดูได้จากเพื่อนที่เขาคบค้าสมาคม โยคีทำตามคำพูดว่า "ไม่ฟังความชั่วร้าย ไม่่เห็นความชั่วร้าย ไม่พูดคำชั่วร้าย ไม่คิดชั่วร้าย และไม่ทำความชั่วร้าย" และละเว้นจากเพื่อนที่ชั่วช้าเลวทราม เว้นจากการสนทนาสิ่งชั่วร้าย เว้นหนังสือที่แสดงความลามกอนาจาร ภาพยนต์ที่ยั่วกามารมณ์ ละครที่ต่ำช้า เพลงที่ลามกอนาจาร และสิ่งอื่น ๆ ที่สกปรกและบรรยกาศที่เต็มไปด้วยกิเลสที่ปรากฏอยู่ัทั่วไป คนที่ต้องการเป็นโยคีที่ดีจะต้องป้องกันตัวเขาเองจากการจู่โจมของบรรยากาศเหล่านี้ และหนทางที่ดีที่สุดเพื่อจะให้ได้บรรลุผลก็คือ การมาชุมนุมกันทางดวงวิญญาณของพวกเรา เพื่อที่จะให้ได้รับน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้าเป็นประจำทุกวันสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะต้องมีเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันจากความชั่วร้ายเช่นนั้น เหมือนอย่างเช่นเรารู้สึกสดชื่นหลังจากที่เราได้อาบน้ำในตอนเช้า 

เช่นเดียวกัน เราก็ต้องอาบน้ำทางดวงวิญญาณโดยรับความรู้ของพระเจ้า เพื่อที่จะให้ดวงวิญญาณกลับมาสดชื่นและห่างไกลจากความคิดที่ชั่วร้าย ำว่า สัต-ซัง หมายถึง มีความจริงเป็นเพื่อนร่วมชีวิต หรือพระเจ้าคือผู้ร่วมทาง ผู้ร่วมทางของพระเจ้ (การใช้สติปัญญาสื่อสารกับดวงวิญญาณสูงสุดอย่างสม่ำเสมอ) ผู้ซึ่งเป็นผู้สูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของผู้ที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำให้ดวงวิญญาณนั้นสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ด้วย


การซึมซับคุณธรรมที่สูงส่ง
เป้าหมายสุดท้ายของราชโยคะ คือ การยกระดับสถานภาพมนุษย์ให้เป็นเทพ ดังนั้น โยคีจึงไม่เพียงแต่ละทิ้งสันสการ์ที่ไม่ดี แต่จะต้องได้มาซึ่งคุณสมบัติและคุณธรรมที่สูงส่งซึ่งให้คุณประโยชน์ด้วย ด้วยวิธีนั้นเขาก็จะกลับมามีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสถานภาพเทพที่สูงส่งที่สุด สูงส่งเหมือนกับศรีลักษมีและศรีนารายัญ พระเจ้าชีีว่าเป็นมหาสมุทรของคุณธรรมที่สูงส่งทั้งหมดและเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์เทพ ดังนั้นโยคีจึงคิดว่าตนเองเป็นลูกที่มีค่าของท่านและมีความใส่ใจที่จะซึมซับคุณธรรมที่สูงส่งอย่างตั้งใจ เช่น ความถ่อมตน ความเรียบง่าย ความอดทน และความอดกลั้น ฯลฯ

จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ









No comments:

Post a Comment