Monday, March 3, 2014
อดิเทพ ตอนที่ 2 # 27
ศาลสถิตยุติธรรม
ขณะที่พ่อแม่ซึ่งนำลูกสาวของตนกลับบ้าน ด้วยการบีบบังคับ หรือศาลสั่งก็ตาม ก็เริ่มที่จะยกโทษให้กับลูก ๆ พวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถทำให้เด็กหญิงเหล่านี้ยอมรับสิ่งซึ่งพวกเขาใช้เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกินเนื้อสัตว์หรือเสื้อผ้าแพง ๆ หรือภาพยนตร์หรือการแต่งงาน เด็กหญิงเหล่านี้เพียงแต่คงอยู่ในการคิดถึงพระเจ้า และปฏิเสธที่จะให้การร่วมมือต่อการกระทำใด ๆ ที่ไร้ประโยชน์และไม่บริสุทธิ์
ที่แย่ที่สุด คือพ่อแม่จะหมดสนุกกับความสุขที่มาจากกิเลสถ้าเด็กหญิงเหล่านี้อยู่ร่วมด้วย แต่มันก็ยังไม่ใช่ความรู้สึกผิดมากเท่ากับความรักที่ได้รับชัยชนะในที่สุด พวกเขาถามตัวเอง ว่าทำไมพวกเขาต้องตัดสิทธิลูกของตนเอง ที่ลูก ๆ จะได้รับการศึกษาทางดวงวิญญาณที่ดีที่สุดเช่นนั้น ตราบเท่าที่เด็ก ๆ ตัดสินใจตั้งใจจะเลือกหนทางด้านนี้ ดังนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ ทยอยกันให้อนุญาตที่จะกลับไปยังสถาบันของพ่อ
บาบาต้อนรับพวกเขากลับบ้าน และเลี้ยงดูพวกเขาโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ใช่พ่อของเด็กเหล่านั้น เด็กที่โชคดีเหล่านี้มีพ่อ 3 คน 1. พ่อทางร่างกาย 2.พ่อทางดวงวิญญาณ "บราห์มา" และ 3. พ่อสูงสุด ชิพบาบา
แม้แต่บัดนี้ผู้นำของ แอนตี้ปาร์ตี้ ก็ยังดำเนินกิจการที่ชั่วร้ายของพวกเขาอยู่ วันหนึ่งพวกเขาเริ่มรณรงค์ แรงกดดันชนิดใหม่ กลยุทธ์ที่ชั่วร้ายกว่าที่เคยเป็นมา พวกเขาโทรศัพท์ไปถึงแม่ของเด็ก ๆ ผู้ซึ่งไปอาศัยอยู่กับบาบา และบอกพวกเขาถึงเรื่องโกหกที่เป็นเรื่องราวที่น่าขยะแขยงเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทางดวงวิญญาณ เรื่องหนึ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เหล่าแม่ที่ถูกหลอกลวงได้ง่ายก็เริ่มกลัว และกังวลเกี่ยวกับบทบาทของลูกสาวของพวกเขา ส่วนคนผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ผู้ใส่ร้ายป้ายสีก็ข่มขู่พวกเขาให้ยินยอมและบอกพวกเขาว่าถ้าไม่ยินยอมจะถูกขับออกจากวรรณะ อาจจะถูกทำร้ายร่างกาย หรือธุรกิจของครอบครัวอาจจะพังพินาศ
แม่เหล่านั้นถูกบอกให้เรียกเด็ก ๆ กลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง "แต่พวกเราได้ให้อนุญาต ในรูปแบบลายลักษณ์อักษรพวกผู้เป็นแม่ตอบ พวกเขาสามารถหาจดหมายได้จากศาล"
พวกแอนตี้ปาร์ตี้ ผู้มาเยือนตอบ "เรามีแผนอื่นในสมองอีก" และถ้าท่านไม่ทำตามที่เราพูด พวกท่านจะต้องรับความทุกข์แน่ ๆ การข่มขู่นั้นได้ผล
อีก 2-3 วันต่อมา พวกเขาพาเหล่า แม่ ไปยังการาจี และปล่อยพวกเขาไว้ที่ประตูบ้านของชีว่ารัตนาโมตาจี ผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการนับถืออย่างสูงในเมืองนั้น แม่ถูกสั่งให้นั่งอยู่ที่หน้าประตูรั้วและเริ่มอดอาหารประท้วงจนกว่าเขาจะรับปากก็ว่าจะช่วยพวกเธอช่วยเหลือลูก ๆ ของเพวกเธอ
ชีว่ารัตนาจีผู้สูงอายุ โมโหเมื่อได้ยินว่าอะไรเกิดขึ้นอยู่นอกประตูรั้ว เขาเรียกแม่ เหล่านั้นเข้ามาข้างใน และบอกให้เธอเล่าเรื่อง พวกเธอแสดงความถ่อมตน และถูกบอกบทโดยสมาชิกแอนตี้ปาร์ตี้ ผู้ซึ่งมากับพวกเขา พวกเขาเล่าเรื่องโกหกเกี่ยวกับโอมมันดาลี และพวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างไรจากชีว่ารัตนา ในการนำลูก ๆ ของพวกเขากลับมา ท่านพอที่จะเรียกดาด้ามา และบอกให้เขาสั่งเด็ก ๆ กลับได้หรือไม่
ชีว่ารัตนาจี เชื่อเรื่องราวของแม่เหล่านั้น เขาโทรศัพท์ไปถึงดาด้าทันที ดาด้ามีท่าทีเป็นมิตรเป็นอย่างมาก และสัญญาว่าจะส่งเด็กหญิงเหล่านั้นไปให้เดี๋ยวนี้
"เราไปเพราะบาบาบอกให้เราไป" เป็นการย้อนรำลึกของบราห์มากุมารี มโนฮ่าอินทรา ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำของมหาวิทยาลัยของพระเจ้า แต่ขณะนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงเล็ก ๆ "เราเห็นบ้านของชีว่ารัตนาเหมือนกับราชวัง เมื่อเขามองมาที่เรา ตาของเขาแดงก่ำไปด้วยความโกรธ เขาไม่ได้ถามคำถามเราเลยเพียงแต่ออกคำสั่งให้เรากลับไปยังบ้านของแม่เรา"
เมื่อคนอื่นเข้ามารวมกันในห้องโถงเขาก็ชี้นิ้วไปยัง B.K. น้อย ๆ "เด็กเหล่านี้ก่อกวนแม่ของพวกเขา" เขากล่าวหาและชี้มายังพวกเด็ก ๆ อย่างน่ากลัว
"เรามีความรู้สึกเหมือนกับว่าปีศาจเอาก้อนหินมาทุ่มเข้าใส่เรา" มโนฮ่าดาดี้ระลึกถึง "ด้วยการเห็นความโกรธของพวกเขา เราก็เดินกลับไปนั่งที่รถ แต่ ณ ขณะนั้น มีเสียงพูดอย่างชัดเจนในดวงวิญญาณของเรา "โอ้ ชัคตีของพระเจ้า ไม่ต้องหวาดกลัวต่อผู้คนเหล่านี้ จงให้ความรู้ของพระเจ้าแก่พวกเขา เจ้าคือเครื่องมือสำหรับไถ่ชีวิตของพวกเขา"
ดังนั้น B.K. น้อยทั้งหมดเดินกลับเข้าไปข้างใน และเผชิญกับชีว่ารัตนาโมตาจี "เราต้องการพูด" นั่นคือคำกล่าวของ B.K. น้อย มโนฮ่าอินทรา
"จะพูดเกี่ยวกับอะไรอีกเล่า" เสียงตอบของเขาแหบแห้ง
"บาบาจี, ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะส่งเราไปที่ไหน" มโนฮ่าอินทราถามเขา
"ฉันปรารถนาจะให้ท่านรู้ว่าเรามีชีวิตเช่นไรขณะที่เรามีชีวิตอยู่ที่นี่ที่โอมมันดาลี และทำไมเราจึงไม่พร้อมที่จะกลับบ้าน เราอยากได้สิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียวจากท่าน และท่านควรจะรู้สึกพอใจ เราไม่ต้องการหรือปรารถนาไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน เพชรพลอย หรือความร่ำรวยใด ๆ ในโลกนี้ เราปรารถนาแต่เพียงจะใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และสูงส่ง ญาติ ๆ ของเราเหล่านี้ขัดขวางเราในการที่จะเข้าร่วมในสัตสังที่โอมมันดาลี พวกเขาเป็นอุปสรรคต่อความบริสุทธฺ์อย่างแท้จริงซึ่งเป็นแก่นแท้ของการศึกษาทางดวงวิญญาณ แทนที่จะส่งเสริมพวกเราให้ได้บรรลุเป้าหมายของชีวิตที่สูงเช่นนี้ พวกเขาก่อกวนเราทุกย่างก้าว"
"เมื่อพวกเขาพาเราไปจากที่นี่ พวกเขาจะทุบตีเราอย่างไร้ความปราณี และผู้ใหญ่อื่น ๆ ก็จะเข้าร่วมสังฆกรรมนี้ด้วย มันได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากจนไม่อาจทนทานได้ แล้วท่านสามารถที่จะทบรับได้หรือไม่ว่าท่านคือสาเหตุของการทำร้ายเช่นนั้นต่อพวกเรา ด้วยการส่งพวกเรากลับไปอยู่ในอุ้งมือมารของพวกเขา เราไม่เคยทำสิ่งใด ๆ เลยที่ให้โทษกับท่าน บาบาจี ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเขาบังคับให้พวกเรากินอาหารที่สกปรก พวกเขาบังคับข่มขู่เราแล้วพาเราไปดูภาพยนตร์ที่ลามก พวกเขาทำทุกสิ่งเพื่อให้จิตใจของพวกเราล่มสลาย เมื่อเรานิ่งอยู่ด้วยความสงบในการทำสมาธิถึงพระเจ้า พวกเขาก็ผลักหัวเรา หรือไม่ก็กระชากผม"
ในขณะที่ โมตาจี ฟัง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กหญิงเหล่านี้ค่อย ๆ ซึมเข้าไปในจิตใจของเขา "เอาหละ" เขาขัดจังหวะ "ฉันต้องการถามคำถามเธอหนึ่งคำถาม ฉันได้ยินมาว่า พวกเธอพูดว่า ไม่มีการแต่งงาน เป็นความจริงหรือเปล่า ?
ซิสเตอร์มโนฮ่าสั่นศีรษะแล้วยิ้ม "บาบาจี มันไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้ปฏิเสธการแต่งงาน แม้แต่รามยังแต่งงาน ศรีกฤษณะก็แต่งงานด้วยเช่นกัน บาบาจี มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราไม่ต้องการแต่งงานกับบุคคลซึ่งเต็มไปด้วยราคะ เราปรารถนาที่จะแต่งงานกับบุคคลผู้ซึ่งได้ "หักคันธนู" (หมายถึงผู้ที่ได้บรรลุถึงสภาพการตระหนักรู้ในตนเอง) และผู้ซึ่งเข้าถึงสภาพที่เป็นนายเหนือประสาทสัมผัสแห่งอวัยวะของพวกเขา โมตาจีประหลาดใจและขัดแจ้งด้วยการตอบเช่นนี้ "คันธนูอะไร มันคือคันธนูของการสำนึกรู้ในตนเองหรือ" เขาถาม
"ใช่ค่ะท่าน" เธอผงกศีรษะ
ได้ยินเช่นนี้หน้าของเขาเปล่งประกายขึ้นทันใด เขารู้สึกมีความสุขต่อสิ่งที่ได้ยินเหมือนกับว่าเขาเข้าใจอย่างชัดแจ้งเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่สักการะบูชาพระเจ้าเหล่านี้ นั่นไม่ใช่เป็นเพียงการเล่นเกมของพวกเด็ก ๆ มันไม่ใช่สิ่งผิด พวกเขาใช้ชีวิตสูงส่งอย่างแท้จริง เท่าที่บุคคลสามารถจะปรารถนาได้
"ฉันเข้าใจแล้ว" เขาพูด "ความคิดของพวกเธอสูงค่าที่สุด และความปรารถนาที่เธอต้องการความจริงแล้วยิ่งใหญ่ ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้พบกับเด็กหญิงเช่นนี้ ด้วยความคิดและบุคลิกภาพที่สูงส่งอย่างแท้จริง พวกเธอคือเทวีที่แท้จริง เอาหละ! ฉันเข้าใจความจริงแล้ว ต่อไปนี้ความโหดร้ายที่ทำให้พวกเธอได้รับความทุกข์นั้นจะไม่เกิดกับพวกเธออีก ตอนนี้ไม่ต้องกลััวแล้ว
และแล้วโมตาจี ที่หันหน้ามายังแม่ ๆ "พวกเธอน่ะ โชคดีมากนะที่มีลูกสาวเป็นโยคีที่เต็มไปด้วยความสงบเช่นนี้ พวกเธอได้ตีดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์เช่นนี้จริงหรือ เธอบังคับข่มขืนจิตใจให้พวกเธอกินอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยหรือ พวกเธอเป็นลูกสาวที่สูงส่งและบริสุทธิ์ พวกเธอเป็นเทวีที่จุติลงมา ต่อไปนี้ระวังให้ดี อย่าทำร้ายพวกเธออีก พาเด็ก ๆ กลับไปบ้านพร้อมกับพวกเธอได้แล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเด็ก ๆ ต้องการไปที่สัตสัง พวกเธอต้องอนุญาตเด็ก ๆ เหล่านี้"
แม่พวกนั้นยืนขึ้นด้วยความกลัว กลัวว่าเด็กจะบอกโมตาจีว่า พวกหล่อนได้ให้การอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเด็ก ๆ แล้ว และเธอก็ยังมาพูดโกหกกับเขา และบอกโมตาจีว่า เด็ก ๆ ได้หนีออกจากบ้านแต่เด็ก ๆ ก็ยังเฉย เด็ก ๆ ไม่ได้เปิดเผยสภาวะการณ์ที่แท้จริง ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ สามารถทำได้
B.K.น้อยทั้งหมด เดินทางกลับไปยังไฮดราบัด ไปยังครอบครัวเดิมของพวกเธอ แต่เหตุการณ์มิได้เป็นดังก่อนแล้ว พวกเธอได้เพิ่มอำนาจภายในซึ่งมนุษย์เหล่านั้นไม่สามารถที่จะมาต่อต้านได้อีกต่อไป พวกเธอรักษารูปแบบของอาหารและหลักการอื่น ๆ ของพวกเธอไว้ และใช้เวลาที่มีอยู่ในการให้ความรู้กับญาติ ๆ เพื่อนและเพื่อนบ้าน พวกเธอสอนวิธีทำสมาธิใหม่ด้วยและมีหลายคนที่ได้รับประสบการณ์ที่เหนือธรรมดา เด็ก ๆ ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในงานบ้านและพวกเธอก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ทางบ้านจะตำหนิได้เลย พวกเขาทั้งหมดเกรงกลัวต่อเด็ก ๆ ท้ายที่สุด พวกเขาก็ให้ตั๋วแก่เด็ก ๆ กลับการาจี ไปมหาวิทยาลัยของพระเจ้า ที่บ่วงพันธะของกรรมเก่าได้ถูกตัดออกอย่างสิ้นเชิง
ในการที่จะแก้ไขรอยประทับผิด ๆ ในจิตใจของผู้คน เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยของพระเจ้าซึ่งเป็นเรื่องราวที่นักใส่ร้ายป้ายสีกระทำขึ้นและแพร่กระจายไปและเพื่อจะให้ความรู้ต่อสาธารณะว่าความจริงแล้วมันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างฉากที่เกิดขึ้นในศาลสถิตยุติธรรม หนังสือได้ถูกตีพิมพ์ใช้ชื่อว่า "นี่หรือคือความยุติธรรม" หนังสือได้เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดพร้อมกับความรู้พื้นฐานของพระเจ้าที่เปิดเผยความรู้ เพื่อว่าจะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถพูดได้ว่าเขาไม่ได้รับการบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด
หนังสือพร้อมกับบทความสำคัญอื่น ๆ ได้ถูกแจกจ่ายไปยังผู้คนที่มีอิทธิพลนับร้อย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่มีคติต่อต้านโอมมันดาลีอันเนื่องมาจากรากฐานของทะเลแห่งความชั่วร้ายของข่าวลือ แต่นั่นก็ไม่ได้ง่ายที่จะเอาชนะรอยประทับที่มีอยู่ในจิตใจของผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตกอยู่ในความหวาดกลัวและความเชื่อผีสางโชคลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายตรงข้าม ไม่ยอมหยุดที่จะก่อกวนบรรยากาศด้วยการโกหก อินเดียถึงกาลเวลาแห่งความมืดสนิทอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้น มันลึกเท่าไรแล้วที่ดินแดนอันเก่าแก่ได้ตกลงมาจากความสูงที่เคยอยู่อย่างบริสุทธิ์ และรุ่งโรจน์ร่ำรวยในวันของกฤษณะ
และวันนี้ แน่นอน โลกทั้งโลกจมดิ่งอยู่ในความมืดสนิท ถึงแม้ว่าข่าวสารของพระเจ้าจะแพร่กระจายไปอย่างลับ ๆ ไปยังลูก ๆ ของท่านในทุก ๆ ประเทศบนพื้นโลก เหมือนอย่างที่มีคำพูดใน ภควัต กีตะ ต้นกำเนิดของคัมภีร์ทั้งมวล "เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีศาสนาและความชอบธรรม หลงเหลืออยู่ในภารัต (อินเดีย) พ่อจะอวตารลงมา เพื่อการก่อตั้งศาสนาที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง"
และดังนั้น พระเจ้าก็ได้ปรากฏขึ้นบนละครโลก โดยไม่มีผู้ใดสังเกตรู้แม้ว่าท่านจะได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงรูปลักษณะและภารกิจของท่านเพราะว่าท่านได้ลงมาในร่างที่ธรรมดา และเพราะว่าท่านไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ทางวัตถุใด ๆ มีเพียงน้อยนิดจากหลายพันล้านที่จดจำท่านได้ แต่ในเวลาสุดท้าย เมื่อสัจจะจากคำพูด และจากงานของท่านปรากฏขึ้นกับผู้คนทั้งหมด แล้วมันก็จะมีความสำนึกผิดอย่างใหญ่หลวงจากผู้คนซึ่งต่อต้านหรือเมินเฉยต่อท่าน แม้ว่าจะมีปิติสุขสำหรับผู้ช่วยงานที่สูงส่งของท่าน พี่น้องที่เป็นที่รักยิ่งทั้งหลาย บทบาทใดเล่าที่ท่านจะเลือกสำหรับตัวท่าน ?
อ่านต่อ >>> อดิเทพ ตอนที่ 2 # 28
Labels:
อดิเทพ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment