Tuesday, November 12, 2013

คุณธรรม - การละวาง(Detachment)



บัลลังก์ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของสภาวะที่เหมือนกับของบราห์มาของการเป็นรูปธรรมแห่งความรักสูงสุด และก็ยังละวางอย่างสูงสุด ดังนั้นลูกดวงวิญญาณบราห์มินจงทำตามพ่อ (บราห์มา) ดังนั้นลูกก็เหมือนกับบาบา กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัว  สัญลักษณ์ของดวงวิญญาณซึ่งละวางอย่างเต็มที่คือดวงวิญญาณที่จะได้รับความรักอย่างสูงสุดจากบาบาและครอบครัวทั้งหมด 
ละวางหมายความว่าละวางจากทั้งสี่ด้าน 
สิ่งแรก : คือละวางจากสำนึกของความเป็นเจ้าของของร่างกาย
สิ่งที่สอง : ละวางจากสัมพันธ์ทั้งหมดของร่างกาย ผ่านดริชตีของลูก ทัศนคติ และการกระทำของลูกในทุก ๆ ทาง ขณะที่เห็นความสัมพันธ์ทางร่างกาย ควรจะมีสภาวะของสำนึกแห่งการเป็นดวงวิญญาณโดยธรรมชาติ ดังนั้นการละวางหมายความว่าการละวางจากร่างกาย จากสัมพันธ์ทางร่างกายและสิ่งของที่สามารถถูกทำลายได้ของร่างกาย ถ้าสิ่งใดทำให้อวัยวะสัมผัสซุกซน นั่นคือ มันจะสร้างความปรารถนา มันหมายความว่าไม่มีการละวาง มันยังเป็นการง่ายที่จะมีการละวางจากความสัมพันธ์ แต่การละวางจากความต้องการของวัตถุทั้งหมด นั่นคือถูกดึงเข้าไปหาสิ่งเหล่านั้น ให้คงอยู่ในรูปที่สูงศักดิ์ในขณะที่กลับมาเป็นอิสระจากการดึงดูด ลูกเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่า รูปที่ชัดเจนของการดึงดูดคือความปรารถนา อย่างไรก็ตามรูปที่ละเอียดอ่อนของความปรารถนาคือ "ฉันชอบสิ่งนี้" มันไม่ได้มีความปรารถนาแต่ "ฉันเพียงแต่ชอบมัน" รูปที่ละเอียดอ่อนนี้ นำมาซึ่งรูปของความปรารถนา (lchcha) แทนที่จะเป็นความดี (Achcha) ดังนั้นควรจะมีการตรวจสอบที่ดีสำหรับสิ่งนี้
สิ่งที่สาม : ในขณะที่ลูกมีเครื่องมือทั้งหมด ลูกมีเครื่องมือมากกว่าที่ต้องการ ไม่มีสิ่งใดขาดแคลน แต่ขณะที่มีเครื่องมือเหล่านี้และใช้มัน สภาวะโยคะของลูกไม่ควรจะขึ้น ๆ ลง ๆ การเป็นโยคีและใช้มันเรียกว่า การละวาง ถ้าลูกไม่มีสิ่งใดลูกก็ไม่สามารถพูดได้ว่าละวาง ลูกควรจะสามารถใช้มันเพียงแค่เป็นเครื่องมือเท่านั้น ลูกไม่ควรใช้มันด้วยความปรารถนาใด ๆ หรือ เพราะว่าลูกชอบมัน ลูกจะต้องมีการตรวจสอบสิ่งนี้ให้แน่นอน ที่ใดมีความปรารถนา ไม่สำคัญว่าลูกทำความเพียรมากเท่าใด มันจะไม่ปล่อยให้ลูกลายเป็นคนดี
สภาวะของโยคีหมายถึง สภาวะที่ซึ่งละวาง แม้แต่ขณะที่กำลังใช้สิ่งของต่าง ๆ 
สิ่งที่สี่ : ก็คือการละวางจากสันสการ์เก่าและนิสัยเก่า มันได้พบว่าสันสการ์และนิสัยของร่างเก่านี้ขมขื่นมาก นี่ก็เป็นรูปของอุปสรรคที่ใหญ่ในการที่จะเป็นผู้พิชิตมายา บางครั้งบัพดาดาก็เห็นว่างูของนิสัยเก่าและสันสการ์เก่าจบสิ้นลง แต่ร่องรอยก็ยังคงอยู่ แล้วเมื่อเวลามาถึงมันก็หลอกลวงดวงวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่า สันสการ์ที่ขมขื่นนี้ทำให้ดวงวิญญาณอยู่ภายใต้อิทธิพลของมายา ซึ่งมันทำให้ไม่คิดว่าบางสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งผิด อำนาจแห่งการเข้าใจจบสิ้น จงละวางจากสิ่งนี้ด้วย นี่ก็ต้องการการตรวจสอบอย่างดี เมื่ออำนาจของการตระหนักรู้ถึงความจริงจบลง ดวงวิญญาณจะต้องพูดโกหกเป็นพันครั้งเพื่อพิสูจน์การโกหกนั้น นั่นคือการที่คนตกอยู่ภายใต้มายาได้อย่างไร ดังนั้นการพิสูจน์ว่าตัวเองถูกต้องเป็นสัญลักษณ์ของการตกอยู่ภายใต้สันสการ์เก่าของลูก มันเป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำบางสิ่งให้ชัดเจนเพื่อความถูกต้อง แต่อีกสิ่งหนึ่งการที่จะต้องพิสูจน์มันด้วยความดื้อดึง ผู้ซึ่งพิสูจน์สิ่งนั้นด้วยความดื้อดึง ไม่สามารถที่จะเป็นรูปธรรมของความสำเร็จได้ ดังนั้นตรวจสอบให้ดีว่ามีสันสการ์เก่าใด ๆ หรือนิสัยเก่าหลงเหลือซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ Samja? (เข้าใจไหม) 
การที่จะละวางจากทั้งสี่สิ่งนี้หมายความว่า การละวางจากทั้งสี่ทิศทาง ดวงวิญญาณเช่นนี้เป็นที่รักของบาบาและของครอบครัว ดังนั้นลูกได้กลายเป็นผู้ซึ่งนั่งบนบัลลังก์ดอกบัวเช่นนี้หรือไม่ นี่คืออะไรที่หมายถึงการทำตามพ่อ บราห์มาบาบานั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัว นี่เองที่ทำไมท่านจึงกลายเป็นลูกผู้ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง ที่ได้รับความรักจากบาบา และจากบราห์มินในรูปที่มีตัวตน เช่นเดียวกับในรูปที่ละเอียดอ่อน แม้จนกระทั่งบัดนี้อะไรที่ปรากฏขึ้นจากหัวใจของบราห์มินทุก ๆ คน "บราห์มาบาบาของเรา" ลูกไม่มีความรู้สึกว่าลูกไม่เคยเห็นท่านในรูปที่มีตัวตน เพราะหัวใจของลูกได้พบท่าน ลูกได้พบท่านผ่านดวงตาของสติัปัญญา ลูกได้สัมผัสท่านผ่านทางดวงตาที่สูงส่ง นี่เองที่ทำไมบราห์มินทุก ๆ คนพูดจากหัวใจ "บราห์มาบาบาของฉัน" ดังนั้นนี่คือเครื่องหมายของความรัก การละวางจากทิศทางทั้งสี่ ทำให้ท่านเป็นที่รักของทั้งโลก ลูกมีประสบการณ์นี้ใช่หรือไม่ ดังนั้นด้วยวิธีนี้ จงกลายเป็นผู้ละวางจากทิศทางทั้งสี่ทั้งหมด และดังนั้นก็จะได้รับความรักจากทุกคน (Avyakt 25/10/87)

ไม่ว่าธรรมชาติจะผันแปรหรือแสดงเกมที่สวยงามให้ลูกดู ดวงวิญญาณผู้ซึ่งเป็นนายของธรรมชาติก็เฝ้าดูเกมทั้งสองนี้อย่างผู้เฝ้าดูที่ละวาง ลูกจะไม่สับสนด้วยเกมนั้น ลูกจะรู้สึกเป็นสุข ลูกจะไม่รู้สึกสับสน (Avyakt 16/03/92)

การที่จะกลายเป็นผู้ละวางจากร่างกายหมายถึง การตายทั้งที่มีชีวิตอยู่ เมื่อลูกตาย ทั้งโลกก็ตายไปแล้วสำหรับลูก นั่นหมายความว่าลูกได้ละทิ้งเพื่อนทั้งหมดและญาติทั้งหมดแล้ว (Sakar 10/04/96)

การมีความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนาหมายถึง การไม่มีความผูกพันและยึดติด ผู้ซึ่งมีความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนาอันไม่มีขีดจำกัดจะได้รับความรักจากบาบาอย่างสม่ำเสมอ และความรักนั้นจะทำให้ดวงวิญญาณละวาง การได้รับความรักจากบาบา การละวาง และแล้วก็ทำงาน เป็นที่รู้กันว่ามีความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนาอันไม่มีขีดจำกัด ถ้าลูกไม่ได้รับความรักจากบาบา ลูกก็ไม่สามารถกลายเป็นผู้ละวาง แต่จะถูกดึงไปสู่การผูกพันยึดติด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความรักจากบาบา แล้วก็ยังไปรักบุคคลหรือสิ่งของ การที่จะอยู่เหนือความดึงดูดหมายถึงการเป็นผู้ละวาง นี่หมายถึงเป็นสภาวะที่อยู่เหนืออิทธิพล ไม่ใช่สภาวะของการถูกอิทธิพลโดยการดึงดูดที่มีขีดจำกัด มันหมายความว่าดวงวิญญาณอยู่เหนืออิทธิพล ใช้สิ่งสร้างและเครื่องมือ แต่ใช้มันโดยปราศจากอิทธิพลครอบงำ (Avyakt 27/11/87)

ความหมายของการเป็นคาร์มาโยคีคือ "ดวงวิญญาณซึ่งปราศจากร่าง เป็นผู้ละวางจากบ่วงพันธะของร่างกาย ฉันมาใช้ร่าง เพียงเพื่อมาแสดงการกระทำ ฉันทำงานเสร็จสมบูรณ์และกลายเป็นผู้ละวางจากความสัมพันธ์ของกรรมนั้น"  ลูกอยู่ในสัมพันธ์แต่ลูกไม่ได้อยู่ในบ่วงพันธะ ดังนั้นนี่คืออะไร ลูกมาเพื่อแสดงการกระทำ และแล้วลูกก็กลายเป็นผู้ละวางและจากไป ลูกไม่ได้มากระทำภายใต้อิทธิพลของบ่วงพันธะ แต่ลูกทำให้อวัยวะเป็นผู้รับใช้ ลูกกลายเป็นคาร์มาโยคี และกระทำด้วยสิทธิ ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของการกระทำหรือประสาทสัมผัส ถ้าใครบางคนอยู่ใต้อิทธิพล แล้วดวงวิญญาณผู้ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลก็กลายเป็นผู้ท้อแท้ ดวงวิญญาณผู้เป็นนายไม่เคยกลายเป็นผู้ท้อแท้ต่อสิ่งใด ดวงวิญญาณนั้นเข้มแข็งด้วยการเคารพตัวเอง อะไรคือนัยสำคัญของการศึกษา นั่นคือความรู้ใช่ไหม ลูกจะต้องกลายเป็นคาร์มาทีทและกลับบ้าน แล้วลูกก็ต้องไปในอาณาจักรและเล่นบทบาทของผู้ปกครองของลูก นี่คือสาระของความรู้ ญาณและโยคะคือการมาและการไป ลูกก็มั่นคงอยู่ในการฝึกฝนนี้ทั้งวันทั้งคืน ในสติปัญญามีความสุขของการกลับบ้าน และแล้วก็ไปอยู่ในอาณาจักรใช่ไหม ทำให้ตัวลูกมั่นคงอยู่ในสภาวะไร้ร่างเมื่อใดก็ตามที่ลูกต้องการ และกลายเป็นคาร์มาโยคีเมื่อไรก็ตามที่ลูกต้องการ การฝึกฝนนี้ควรจะลึกมาก มันไม่ควรจะเป็นว่าลูกปรารถนาที่จะมีสภาวะไร้ร่าง แต่ด้วยบ่วงพันธะทางร่างกาย บ่วงพันธะของกรรม และบ่วงพันธะส่วนบุคคล บ่วงพันธะของสิ่งที่ครอบครอง บ่วงพันธะของธรรมชาติและสันสการ์ ดึงดูดลูกไปสู่พวกมัน ทำให้ลูกไม่สามารถเป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะไร้ร่าง
เช่นเดียวกัน การดึงของบ่วงพันธะใด ๆ จะดูดลูกไปสู่ตัวมัน บ่วงพันธะทำให้ดวงวิญญาณถูกผูกไว้ ดังนั้นบัพดาดาจะสอนบทเรียนนี้เสมอว่า :  จงมีอิสระไม่ถูกอิทธิพล เป็นอิสระและไม่มีอิทธิพลนั่นคือเป็นผู้ละวางและมีความรัก จะต้องมีการฝึกฝนสิ่งนี้เป็นระยะเวลานาน เพื่อที่จะนำลูกเข้าใกล้สภาพคาร์มาทีท บราห์มาบาบาได้ให้ประสบการณ์กับลูกของผลที่เกิดขึ้นทันทีของการฝึกฝนของท่านที่จะเป็นผู้ละวางและมีความรักในชีวิตทางร่าง ก่อนที่จะกลายเป็นคาร์มาทีท ลูกทั้งหมดได้แบ่งปันประสบการณ์สิ่งนี้ของพวกเขา ท่านอยู่อย่างละวางขณะที่กำลังฟัง ท่านละวางขณะที่ทำสิ่งต่าง ๆ และละวางขณะที่กำลังพูด ท่านไม่เคยหยุดทำงานรับใช้ ท่านไม่เคยหยุการกระทำใด ๆ และท่านรับใช้ลูก ๆ อย่างสมบูรณ์ด้วยความละวางจนวันสุดท้าย การละวางนำมาซึ่งประสบการณ์ของความสำเร็จที่ง่ายดายในทุก ๆ การกระทำ ลองปฏิบัติดูและเฝ้าดู เรียกใครก็ได้ พูดกับเขาสัก 1 ชั่วโมง และใช้ความเพียรพยายามที่จะทำให้เขาเข้าใจ ในทางตรงข้าม ขณะที่ฟัง พูดกับดวงวิญญาณอื่นแค่ 15 นาที มั่งคงตัวลูกอยู่ในสภาวะของการละวาง และส่งกระแสของการละวางไปให้ดวงวิญญาณอื่น และเฝ้าดูว่าอะไรจะเกิดขึ้ ความสำเร็จที่ลูกได้รับใน 15 นาทีนี้ จะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ใน 1 ชั่วโมง บราห์มาบาบาฝึกฝนเช่นนี้และแสดงให้ลูกดู ดังนั้นลูกได้ยินไหมว่าลูกต้องทำอะไร กิน ดื่ม เล่น และทำงานรับใช้ แต่อย่าลืมการละวาง ลูกจะต้องทำงานรับใช้มากเท่าใด บัดนี้ให้แผ่กระแสทางดวงวิญญาณ กระแสของสภาวะของการมีสภาวะที่ไร้ร่าง กระแสที่ทรงอำนาจของการละวางและมีความรักไปในบรรยากาศ นี่คือวิธีการของการทำงานรับใช้ด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะรับใช้ผู้อื่น ถ้าลูกแม่นยำในวิธีการนี้ด้วยตัวลูกเอง ลูกจะบรรลุผลสำเร็จในงานรับใช้ การฝึกฝนแรกเริ่มของลูกก็คือ ทำให้ดวงวิญญาณกลายเป็นผู้ละวาง มันคือการละวาง มันคือการละวางแล้วมันจะเป็นการละวางจากร่างกาย มันเป็นเพียงความผูกพันยึดติดที่ไม่ยอมให้มีการละวาง ธรรมชาติเดิมแท้ของดวงวิญญาณคือการคงอยู่อย่างละวาง มันแยกกัน ร่างกายไม่ใช่ดวงวิญญาณและดวงวิญญาณก็ไม่ใช่ร่างกาย ทั้งสองสิ่งแยกจากกัน ดังนั้นมันจึงไม่ได้รวมกันใช่หรือไม่ มันเป็นเพียงเพราะนิสัยของการผูกพันยึดติดได้ถูกปลูกฝังมา 63 ชาติ อะไรก็ตามที่มันเป็นของดั้งเดิมก็ยังคงสภาพดั้งเดิมของมันเสมอ (Avyakt 29/12/89)

สัญลักษณ์ของการคงอยู่อย่างละวางคือ การมีประสบการณ์ของความรักของพระเจ้าและลูกมีประสบการณ์ของความรักมากเท่าใด ลูกก็จะไม่สามารถแยกไปได้ ลูกจะเฝ้าแต่มีท่านเป็นเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ ความรักคือเมื่อลูกอยู่ด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นการที่จะมีประสบการณ์ของความรักของพระเจ้า คือประสบการณ์ของการมีพระเจ้าเป็นเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ ลูกจะไม่เคยคิดว่าตัวลูกนั้นโดดเดี่ยวใช่ไหม พ่ออยู่กับลูก (Avyakt 31/12/93)

ถ้าลูกอาศัยอยู่ในบ้าน ลูกอยู่ที่นั่นเพื่อทำงานรับใช้ อย่าได้คิดว่าลูกมีบ่วงพันธะแห่งกรรม ลูกมีกรรมที่จะต้องชำระสะสาง แต่ว่าลูกอยู่ที่นี่เพื่อทำงานรับใช้ เมื่อลูกถูกผูกอยู่ในงานรับใช้ บ่วงพันธะของกรรมก็จะจบสิ้น ถ้าลูกยังไม่มีความรู้สึกของงานรับใช้ บ่วงพันธะแห่งกรรมก็จะเฝ้าแต่ดึงลูก สัญลักษณ์ของบ่วงพันธะแห่งกรรม หรือสัญลักษณ์ของงานรับใช้คือ ถ้ามันเป็นบ่วงพันธะแห่งกรรมมันจะมีกระแสของความทุกข์ แต่ถ้าเป็นพันธะของงานรับใช้ มันจะไม่มีกระแสของความทุกข์แต่เป็นกระแสของความสุข ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่มีกระแสของความทุกข์ใด ๆ มา จงเข้าใจว่านั่นคือบ่วงพันธะแห่งกรรม และนั่นคือลูกยังไม่ได้เปลี่ยนบ่วงพันธะแห่งกรรมให้เป็นพันธะของงานรับใช้ ลูกเป็นผู้รับใช้โลก และดังนั้นไม่ว่าที่ใดก้ตามที่ลูกอยู่ในโลก ลูกอยู่ที่นั่นเพื่อทำงานรับใช้ ลูกจำสิ่งนี้อย่างมั่นคงหรือบางครั้งลูกก็ติดกับอยู่ในบ่วงพันธะแห่งกรรม ผู้รับใช้จะไม่เคยติดกับ เขาจะคงอยู่ในความรักและละวาง ลูกเข้าใจว่าลูกจะต้องอยู่ในการละวาง ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ มาอยู่ตรงหน้าของลูก ลูกจะต้องละวาง ณ เวลานั้น ลูกสามารถที่จะคงอยู่อย่างละวางจาก "ทางโลก" เมื่อไม่มีสถานการณ์ อย่างไรก็ตามในชีวิตทางดวงวิญญาณของลูกก็เช่นกัน จงอยู่อย่างละวางอย่างสม่ำเสมอ จงอย่าเป็นผู้ละวางแต่เพียงบางครั้ง แต่จงเป็นตลอดเวลา ผู้ซึ่งมีการละวางเพียงบางครั้งจะไ้ด้รับอาณาจักรเพียงบางครั้งเท่านั้น ถ้าลูกปรารถนาที่จะปกครองอาณาจักรตลอดเวลา แล้วลูกจะต้องคงอยู่ในการละวางตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ขีดเส้นใต้คำว่า "ตลอดเวลา" (Avyakt 31/12/93)

ณ เวลาที่เหมาะสมตามศรีมัทและตามสัญญาณจากดวงวิญญาณเครื่องมือ ใน 1 วินาที สติปัญญาควรจะกลายเป็นผู้ละวาง จากสภาพที่มีความรัก ในประเด็นนี้ลูกไม่สามารถกลายเป็นผู้ละวางอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างเช่นลูกได้กลายเป็นผู้ที่มีความรัก ลูกนั้นฉลาดในการกลายเป็นผู้ที่มีความรัก แต่ในการกลายเป็นผู้ละวางลูกใช้ความคิดถึงสองครั้งเกี่ยวกับสิ่งนี้ และลูกก็ต้องการความกล้าหาญ การกลายเป็นผู้ละวางหมายถึง การจากไปจากชายฝั่ง (Avyakt 13/12/90)

ขณะที่ลูกเดิน ขณะที่ลูกเคลื่อนไหว ตรวจสอบสิ่งนี้ : ฉันคือผู้ขับขี่ยานพาหนะ นั่นคือฉันมั่นคงอยู่ในสภาวะของการละวางและมีความรัก เป็นผู้ที่ทำให้ทุกสิ่งเคลื่อนไปใช่่ไหม ผู้ขับขี่ยานพาหนะโดยธรรมชาติแล้วเป็นผู้เฝ้าดู อะไรก็ตามที่ลูกทำ ลูกจะำทำมันหลังจากตรวจสอบและคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับมันเช่นผู้เฝ้าดู ลูกจะดูมัน ไตร่ตรองมันและแล้วก็ทำมัน ลูกจะำทำทั้งหมดนี้ในทุก ๆ สิ่ง และคงอยู่เหนืออิทธิพลใด ๆ นั่นคือลูกจะเป็นผู้ละวางจากผลกระทบของมายา (Avyakt 09/12/89)

วิธีที่ง่ายของการมีทัศนคติที่ถูกต้องของความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนาคือ แม้แต่ขณะที่เข้ามามีการพูดคุยกับดวงวิญญาณ ขณะที่ใช้เครื่องอำนวยความสะดวก หรือขณะที่ได้รับโชคของการเป็นผู้รับหน้าที่สำคัญของการทำงานรับใช้ เมื่อเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับทุก ๆ คน ลูกควรจะมีความรักในระดับเดียวกันกับที่ลูกมีความละวาง ควรจะมีความสมดุลในสิ่งนี้ (Avyakt 05/12/94)




No comments:

Post a Comment