ความคิดที่เป็นสากลของพระเจ้า
ผู้คนในโลกทั้งหมดพูดว่าพระเจ้าเป็นแสงหรือจโยติ(JYOTI) ในอินเดียที่วัดของ ชีว่า ที่พบเห็นทั่วไปทั้งประเทศ(ดูภาพประกอบ A:พ่อสูงสุดของดวงวิญญาณทั้งหมด) มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น รามอิศวร (Rameshwaram หมายถึง พระเจ้าของศรีราม),โกปอิศวร(Gopeshwar หมายถึง พระเจ้าของศรีกฤษณะ),อมาร์นาถ(Amarnath),วิศวนาถ(Visshwanath) โสมนาถ(Somnath),ปาชูปาตินาถ(Pashupatinath ในเนปาล), มหากาฬอิศวร(Mahakaleshwar), มุกตีอิศวร(Mukteshwar) ฯลฯ ซึ่งเป็นชื่อของคุณสมบัติต่างๆ ที่พรรณนาถึงการกระทำที่สูงส่ง และคุณภาพของพระเจ้าชีว่า
ภาพประกอบ A
ในอินเดียนิกายต่างๆ มีชื่อว่า "ชัคติ" (Shakti), "กันปาติ" (Ganpat), "ผู้กราบไหว้บูชาราม" (Rama-worshippers), "กฤษณะ-อุปศักติ์" (Krishna-Upasaks) ทั้งหมดเชื่อในชีว่า ความจริงวัดชีว่าที่โดดเด่นทั้ง 12 แห่งของอินเดียก็ถูกเรียกว่า "จโยติ ลิงกัม แมท"(Jyotirlingam Maths หมายถึง สถานที่ศักดิ์สิืทธิ์๋ซึ่้งเป็นสัญลักษณ์ของแสง) ได้พิสูจน์อีกว่ารูปของพระเจ้านั้นเป็นแสง และชีว่า-ลิงก้า นั้นเป็นสัญลักษณ์ของตัวพระเจ้าเอง
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าหรือ อัลลาห์ เป็นดวงวิญญาณสูงสุดผู้ซึ่งเป็นแสง ในเมกกะที่ชาวมุสลิมไปแสวงบุญมีหินศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า สาง-อี-อัสวัด (Sang-E-Aswad) ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ คานา-อี-คาบา (KHANA-E-KABA) หินนี้ผู้แสวงบุญทุกคนได้ส่งจูบไปจากระยะไกลก่อนที่เขาจะเริ่มพิธีแสวงบุญ มันเป็นที่น่าสังเกตว่า สาง-อี-อัสวัีด มีความโดดเด่นที่คล้ายคลึงกับ ชีว่า-ลิงก้า
ชาวยิวและชาวคริสเตียนเชื่อว่า โมเสส มีนิมิตของพระเจ้าในรูปของเปลวไฟ พวกเขาเรียกว่า ยะโฮวา (Jehovah), พระคริสต์ และ กูรูนานาค ผู้ก่อตั้งนิกาย ซิคส์ฺ (Siksism) ทั้งสองศาสนาพูดว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวและในโบสถ์ก็มีเทียนไขจุดทิ้งไว้ เพราะว่าเปลวไฟเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า
ในญี่ปุ่นมีนิกายหนึ่งซึ่งสมาชิกต่างเพ่งรวมไปยังหินรูปไข่ เรียกว่า "ชินกอน เซกิ" (Chinkon Seki) ซึ่งหมายความว่าผู้ให้ความสงบ ซากสลักหักพังของนครวัดยุคโบราณในเขมรแสดงถึงการกราบไหว้บูชา ชีว่า-ลิงก้า มีให้เห็นอยู่ทั่วไปด้วยเช่นกัน มีความเด่นชัดทางด้านโบราณคดีอย่างหนึ่งพอที่จะแสดงว่า ชาวอียิปต์โบราณ ชาวเฟนีเซีย ชาวอาหรับ ชาวกรีก ชาวอินเดียแดงและชาวอินโดนีเซีย บูชากราบไหว้หินรูปไข่ การบูชา ชีว่า เป็นการบูชาที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จักและแนวคิดว่าพระเจ้าเป็นรูปของแสงก็เป็นความคิดที่เ็ป็นสากล!
ที่อยู่อันสูงส่งของพระเจ้า
ได้มีการอธิบายมาในหัวข้่อก่อนแล้วว่า พระเจ้านั้นมีรูป รูปที่เป็นจุดแห่งแสงที่สุกใสรุ่งโรจน์ สิ่งนี้นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับที่อยู่ของพระเจ้า ทุกสิ่งที่มีรูปได้มีการพิสูจน์แล้วว่าจะต้องมีที่อยู่อาศัย ดวงวิญญาณสูงสุด พระเจ้า พ่อที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์ของเราอาศัยอยู่ใน บราห์มโลก (Bramhmlok), ปรโลก (Parlok), พารามธรรม (Paradham) หรือที่เรียกว่าสวรรค์สูงสุด
โลกที่ซึ่งดวงวิญญาณอาศัยอยู่เมื่อพวกเขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ มีชื่อเรียกว่าโลกวิญญาณที่ปราศจากร่างอยู่ไกลโพ้นไปจากโลกแห่งความมีตัวตนของมนุษย์ ไม่มีทั้งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาว และอยู่เหนือโลกละเอียดของ บราห์มา วิษณุ และชางก้า เพราะเป็นที่อยู่ของ ชีว่า จึงถูกเรียกว่า ชีว่าบุรี ด้วย และเมื่อพระเจ้าอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่สูงสุดนี้ ท่านได้ถูกเรียกว่าเป็น "ปรบราห์มปรเมศวร" (Parbrahm Parmeshwar) หรือพ่อสูงสุดที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์
มีแนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับที่อยู่ของพระเจ้าที่มีอยู่ทั่วไปว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันจะมีประโยชน์มากที่จะได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นนี้ในรายละเอียด
พระเจ้าไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทุกวันนี้นักศาสนาและนักเทววิทยาส่วนมากพูดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ ที่ได้ตั้งสมมุติฐานเช่นนี้ ความเ้ข้าใจผิดพลาดนี้เป็นต้นเหตุ ในการนำมนุษย์ชาติเกือบทั้งหมดให้หลงทางจากพระเจ้าและตัดการมีโยคะของพวกเขากับท่าน คำว่า โยคะ หมายถึง การรวม การเชื่อม หรือติดต่อระหว่างสองสิ่งที่มีอยู่ นั่นก็คือ ดวงวิญญาณและดวงวิญญาณสูงสุด
โยคะจะหมดความกมายถ้าพระเจ้าถูกคิดว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ผู้คนส่วนมากคิดว่าพระเจ้าเป็นพ่อสูงสุด และในเวลาเดียวกันก็คิดว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นที่น่าประหลาดใจที่พวกเขาเชื่อทั้งสองประเด็นพร้อมกัน นี่เป็นผลจากข้อพิสูจน์ที่ผิดๆว่าดวงวิญญาณนั้นไม่ได้แตกต่างจากดวงวิญญาณสูงสุด เป็นที่แน่ชัดว่า พ่อไม่ได้แผ่ซึมเข้าไปในลูกๆของเขา เช่นกัน พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อของดวงวิญญาณทั้งหมดจะไม่เข้าไปอยู่ในพวกเขา เพราะพระเจ้าเป็นพ่อสูงสุดของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมด ผู้คนจึงพูดถึงความเป็นพี่น้องสากลแต่จะไม่มีใครพูดถึงความเป็นพ่อสากล
ผู้ซึ่งคิดว่าดวงวิญญาณมนุษย์เป็น "อณู" ของพระเจ้า (ถึงแม้ว่าความเชื่อเช่นนี้จะไม่ถูกต้อง) พวกเขาควรจะถามตัวเองว่า ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้าจะสามารถแบ่งออกเป็นส่วนหรือเป็นอณูอีกได้อย่างไร เพราะถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะมีการแบ่งงออกเป็นส่วนได้อย่างไรอีกเล่า ถ้ามีการโต้แย้งว่าผู้ที่ไม่มีความไม่รู้เท่าันั้นที่แบ่งแยกดวงวิญญาณและดวงวิญญาณสูงสุด ถ้าอย่างนั้นก็จะมีคำถามเกิดขึ้นอีกว่า พระเจ้าอยู่ในผู้ที่ไม่รู้นั้นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่... แล้วท่านจะอยู่ทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร? ควมจริงแท้ก็คือดวงวิญญาณและพระเจ้าเป็นสิ่งซึ่งแยกจากกันและนำไปสู่การสรุปว่า พระเจ้าไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย พระเจ้าก็เหมือนกับดวงวิญญาณอื่นๆเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก ถ้าท่านอยู่ในทุกสิ่งก็จะไม่มีวัตถุซึ่งไม่มีความรู้สึก แม้แต่ร่างกายที่ตายแล้วก็จะคงอยู่อย่างมีความรู้สึก อีกอย่างหนึ่ง ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณลักษณะของท่านก็จะต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่สาระสำคัญแท้จริงแล้วพระเจ้าเป็นมหาสมุทรแห่งความสงบ ความรักและความปิติ แต่คุณลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ก็ไม่ได้ปราฎอยู่ในโลกทุกวันนี้ ตรงกันข้ามกิเลสทั้งห้า นั่นก็คือ กามราคะ ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยึดติด และความทะนงตน จะพบได้ทุกแห่งในโลกทุกวันนี้ ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าเป็นผู้สร้าง และผู้สร้างจะไม่ซึมแทรกเข้าไปในสิ่งสร้างนั้นของท่าน ท่านจะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งสร้างนั้นเสมอ เช่นกัน พระเจ้าถูกเีรียกว่า ผู้กู้ชีวิตดวงวิญญาณบาป แต่การทึกทักว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งก็หมายความว่า พระเจ้าได้ทำผิดด้วยตัวท่านเอง และทำบาปที่เราเห็นในโลกทุกวันนี้ด้วย
จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ
No comments:
Post a Comment