Monday, April 22, 2013

คุณคือใคร ?


ความไม่รู้จักตนเองของมนุษย์ พิสูจน์ได้โดยคำตอบที่มากมายและหลากหลาย ต่อคำถามที่ว่า "คุณคือใคร ?" เมื่อพวกเขาได้ถูกเชิญให้แนะนำตนเอง บางคนบอกชื่อของร่างของเขา ซึ่งเราจะได้เห็นในตอนท้ายว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เป็นเพียงร่างกายที่ประกอบไปด้วยเนื้อและกระดูก บางคนก็เปิเผยอาชีพ ชื่อเสียง อย่างเช่น หมอ ทนายความ ฯลฯ เราทุกคนรู้ว่าบุคคลนั้นมีอยู่ก่อนที่เขาจะยืดอชีพการงานนั้น และ เขาก็ยังอยู่ต่อไป แม้ว่าเขาจะเลิกอาชีพนั้นไปแล้วก็ตาม

แม้กระนั้น ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่แนะนำตนเองโดย เชื้อชาติ เพศ สัญชาติ อย่างที่พูดกันว่า คนนิโกร เพศหญิง หรือ ชาวอินเดีย ซึ่งก็เป็นคำตอบต่อคำถามว่า "คุณคือใคร ?" ที่ผิดอีกเช่นกัน เพราะว่าคำตอบเหล่านี้ อ้างถึงรูปร่างหน้าตาหรือประเทศของบุคคลที่เกี่ยวข้อง

"ฉัน" และ "ของฉัน" ("I" AND "MY") 
คำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามที่ว่า "คุณคือใคร ?" ก็คือ "ฉันคือดวงวิญญาณ" ความแตกต่างระหว่างร่างกายและดวงวิญญาณสามารถแสดงให้เห็นได้โดยการใช้คำว่า "ฉัน" และ "ของฉัน" ทั้งสองคำนี้ แสดงความหมายที่แตกต่างอย่างชัดเจน "ฉัน" หมายถึง ดวงวิญญาณ และ "ของฉัน" ใช้เมื่อดวงวิญญาณแสดงความเป็นเจ้าของในทรัพย์สมบัติ ซึ่งร่างกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นสมบัติของดวงวิญญาณ

สมมุติว่า ท่านอาศัยอยู่ในกระท่อม ท่านก็จะพูดว่า "นี่เป็นกระท่อมของฉัน" หรือ "กระท่อมนี้เป็นของฉัน" ท่านจะไม่พูดว่า "ฉันเป็นกระท่อม" เช่นเดียวกัน ท่านจะกล่าวถึงอวัยวะต่าง ๆของร่างกายของท่านว่าเป็น "ร่างกายของฉัน"




 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ใช่ร่างกาย แต่ร่างกายเป็นสมบัติของท่าน หรือ อีกความหมายหนึ่ง ร่างกายเป็นกระท่อมซึ่งดวงวิญญาณอาศัยอยู่ภายใน คำกล่าวง่าย ๆ นี้ "ฉันเป็นดวงวิญญาณ" และ ร่างกายที่ฉันอาศัยอยู่ภายในนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวของฉัน" เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนถึงความแตกต่างของสองสิ่ง

อะไรคือดวงวิญญาณและอะไรคือจิตใจ ?
WHAT IS SOUL AND WHAT IS MIND?





หากร่างกายเปรียบเสมือนดั่งเช่นรถยนต์ ดวงวิญญาณก็คือคนขับรถที่คอยบังคับรถยนต์ให้วิ่งไป ร่างกายนั้นไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นดวงวิญญาณที่บังคับใช้มัน ดวงวิญญาณอาศัยอยู่กึ่งหลางระหว่างคิ้ว สามารถจะคิดและตัดสินใจ กายเนื้อและกระดูกผสมผสานกับดวงวิญญาณแสร้างชีวิตให้มวลมนุษย์

ดวงวิญญาณแสดงการกระทำโดยผ่านร่างกาย
คำว่า "ฉัน" และ "ของฉัน" เป็นการแสดงออกทางคำพูดเป็นคำพูดของพลังที่มีอารมณ์และความคิดที่เรียกว่า ดวงวิญญาณ และ เป็นการแสดงการกระทำของดวงวิญญาณโดยผ่านร่างกายที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด เช่นเดียวกับคนที่พูดและฟังโดยใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือ คนเป็นสิ่งที่แยกจากโทรศัพท์  เช่นกัน ... ดวงวิญญาณก็เป็นสิ่งซึ่งแยกจากร่างกาย ความสัมพันธ์ระหว่างดวงวิญญาณและร่างกายสามารถอธิบายได้โดยใช้ตัวอย่างของคนขับรถยนต์และรถยนต์

เหมือนคนขับรถยนต์ที่ขับรถยนต์ไป ดวงวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายและก็พาร่างกายไป รถยนต์นั้นอาจจะดีมาก แต่ถ้าคนถือพวงมาลัยไม่รู้จักการบังคับให้ถูกต้องเหมาะสม เขาก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่รู้ระบบการทำงานที่ถูกต้องของดวงวิญญาณและร่างกาย... เราก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุในชีวิตได้ ซึ่งจะมีผลตามมาเป็นการทนทุกข์ทรมานเช่นกัน ในความเป็นจริง เป็นดวงวิญญาณนั่นเองที่แสดงการกระทำทั้งหมดผ่านร่างกาย ร่างกายและอวัยวะเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำตามคำสั่งของดวงวิญญาณ

เพื่อที่จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น เช่น ปากไม่พูดด้วยตัวของมันเอง... แต่เป็นดวงวิญญาณที่พูดโดยผ่านปาก ซึ่งเป็นอวัยวะของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ดวงวิญญาณจึงเห็น ได้ยิน รู้สึก และ กระทำการโดยผ่านร่างกาย กระบวนการเหล่านี้แสดงโดยผ่านเครื่องมือของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของการเห็น เสียง คำพูด กลิ่น และการสัมผัส ประสาทเหล่านี้ทำงานโดยผ่านอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับมันในร่างกาย โดยได้รับสารซึ่งส่งผ่านมาทางสมอง ดวงวิญญาณจะพิจารณา ตัดสิน วางแผน คิดและจดจำ ด้วยการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

ดวงวิญญาณได้รับประสบการณ์โดยผ่านร่างกาย
ร่างกายนี้ทำด้วยธาตุทั้ง 5 ที่รู้จักกันดี คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมและอากาศ ธาตุที่เด่นชัดเหล่านี้ มีธาตุทุก ๆ ธาตุที่รู้จักกันทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนประกอบ ร่างกายเป็นระบบกลไกของสรีระวิทยา ซึ่งหมายความว่า ดวงวิญญาณไม่เพียงแต่กระทำการเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับประสบการณ์ซึ่งเป็นผลของการกระทำ ในรูปของความพอใจและความเจ็บปวดด้วย

สสารเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถคิดและรู้สึกได้ ความจริงเป็นดวงวิญญาณนั่นเอง ซึ่งมีประสบการณ์โดยผ่านร่างกาย ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังตัวอย่างเช่น สมมุติว่า คนหิวกำลังรับประทานของหวานที่อร่อยมาก แต่ขณะที่อาหารอยู่ในปาก ทันใดนั้น ... เขาได้รับข่าวที่เศร้ามาก ความหิวและรสชาติที่เขากำลังได้ลิ้มรสอย่างอร่อยอยู่นั้นได้หายไปในทันที นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ลิ้นที่สัมผัสความเอร็ดอร่อย แต่เป็นดวงวิญญาณนั่นเอง ซึ่งรับรสโดยผ่านลิ้นซึ่งเป็นอวัยวะทางร่างกาย

มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระลึกว่า ดวงวิญญาณนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบที่จะตามมาจากการกระทำใด ๆ นี่เป็นเหตุผลที่ช่วยสนับสนุนว่า "มหาตมะ" (ดวงวิญญาณที่สูงส่ง) "บุญญาตมะ" (ดวงวิญญาณที่สูงศักดิ์) และ "บาปตมะ" (ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยบาป) นั้นใช้สำหรับดวงวิญญาณ ไม่ได้ใช้สำหรับร่างกาย ความพิการใด ๆ ทางร่างกายของเด็กเกิดใหม่ ได้พิสูจน์ความจริงว่า ดวงวิญญาณไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการกระทำ เพราะว่า ดวงวิญญาณจะได้รับร่างใหม่ตามกรรมที่ทำมาในชาติก่อน (ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของการกลับมาเกิดของดวงวิญญาณจะมีการอธิบายในตอนท้าย)

มนุษย์ประกอบด้วยดวงวิญญาณและร่างกาย ไม่ใช่มีพียงร่างกายเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ถูกเรียกว่า "ชีวาตมา"(Jeevatma) ร่างกายคงอยู่อย่างมีชีวิตตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังคงอาศัยอยู่ เป็นที่น่าสนใจที่จะต้องสังเกตว่า การเข้ามาอยู่ของดวงวิญญาณจะหล่อเลี้ยงการทำงานของร่างกายที่มีกระบวนการมากมายโดยอัตโนมัติ ดังนั้น กระบวนการหายใจจึงเกิดอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะที่มนุษย์อยู่ในการนอนหลับที่ลึก

 เมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างไป เหตุการณ์นั้นเรียกว่า "ตาย" แล้วก็มีการพูดว่า "แสงได้จากไป" หรือ "ดวงวิญญาณได้เดินทางไปแล้ว" หลังจากการตาย การแยกสลายในร่างกายก็เริ่มขึ้นและก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ร่างกายนั้นถูกนำไปใช้ในหนทางที่แตกต่างกันโดยบุคคลที่แตกต่างกัน ร่างกายจะมีค่า และมีความสำคัญตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังอาศัยอยู่ เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็จะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าปราศจากกระแสไฟฟ้า ร่างกายนั้นหมดประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง ถ้าปราศจากดวงวิญญาณ ด้วยเหตุนี้....ดวงวิญญาณและร่างกายทั้งสองนั้น มีความจำเป็นต่อกันและกัน




ในสนามแห่งการกระทำ ซึ่งเรียกว่า "โลก" ร่างกายนั้นถูกพิจารณาว่าต่ำกว่าดวงวิญญาณในแง่ของคุณค่า ร่างกายนั้นเสื่อมสลายได้ ขณะที่ดวงวิญญาณนั้นเป็นอมตะ ร่างกายนั้นสร้างจากเซลล์ที่เสื่อมสลายได้ ดวงวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอันเป็นอมตะ ไม่สามารถทั้งสร้างและทำลายได้ ดวงวิญญาณอยู่อย่างเป็นจริงอย่างต่อเนื่องและอย่างสมบูรณ์

ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นคือ ดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกระทบด้วยกาลเวลา วงจรชีวิตของเขาก็เป็นความจริงด้วย ไม่ใช่สิ่งลวงตา ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน คือ ถูกจำกัดด้วยเวลาและเป็นอมตะ...เสื่อมสลายและเป็นนิรันดร

ดวงวิญญาณมีอยู่จริงหรือ ?
ผู้ช่างสังเกต อาจมีคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของดวงวิญญาณ และคิดว่า ชีวิตเป็นคุณสมบัติของการรวมตัวของสสารที่เป็นเคมี มนุษย์เกิด เติบโต แล้วก็ตายนั้นเป็นสิ่งลี้ลับ ซึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมองและจิต ได้ประสบความสำเร็จในการพิสูจน์ว่า ชีวิตคือการดำเนินสืบต่อกันไปของการคงอยู่และการตาย 

มีการอธิบายการไม่กลับมาเกิด และยอมรับอย่างผิด ๆ ซึ่งการตาย ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดหักเห ความจริงที่พิสูจน์ว่าดวงวิญญาณคงอยู่ ได้มีการค้นคว้าเมื่อไม่นานมานี้ โดยศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสาทรับความรู้สึกพิเศษ (ญาณ) (อภิจิตวิทยา) นักอภิจิตวิทยาได้ยืนยันการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีสภาวะการคงอยู่ที่สมบูรณ์และไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ๆ ซึ่งเรียกว่า ดวงวิญญาณว่ามีจริง ซึ่งมีความแตกต่างจากร่างกายมนุษย์และสมอง (และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "อาตมา" (ATMA) ดวงวิญญาณ หรือ ROOH ในภาษาทางศาสนา)




บทสรุปของนักอภิจิตวิทยาเกี่ยวกับดวงวิญญาณ หรือ การคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีสภาวะการคงอยู่ที่สมบูรณ์และไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ๆ นี้ ได้สรุปหลังจากทำการศึกษาค้นคว้า กรณีที่เกิดขึ้นจริงของเด็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ผู้ซึ่งเล่าเรื่องของเหตุการณ์ชีวิตในชาติก่อนของพวกเขาอย่างถูกต้อง ถ้าปราศจากการยอมรับ การคงอยู่ของดวงวิญญาณ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายเรื่องประสาทการับรู้พิเศษ หรือให้รายละเอียดความแตกต่างระหว่างสภาวะทางร่างกายและสภาวะทางจิตใจของมนุษย์สองคนที่แตกต่างกัน นับตั้งแต่เกิดได้อย่างน่าพึงพอใจ



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

No comments:

Post a Comment