Tuesday, April 30, 2013

หน้าที่ของพระเจ้า


พระเจ้าสร้างจักรวาลหรือ ??
พระเจ้าสร้างธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศหรือ ??


ผู้คนมากมายเชื่อว่าท่านสร้างสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าชีว่าพูดว่า ไม่ใช่! แล้วท่านสร้างอะไรกันล่ะ ? อะไรคือการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้า มีความสับสนอย่างมากเกี่ยวกับหน้าที่ของพระเจ้า! โดยทั่วไปมีการเชื่อกันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เป็นการกระทำของพระเจ้า ผู้คนส่วนมากคิดว่ามนุษย์เป็นเครื่องมือสำหรับการปฏิบัติงานตามความต้องการของท่านและไม่มีสิ่งใดซึ่งเป็นส่วนที่มนุษย์ทำเองเลย ส่งผลสะท้อนที่ลึกลงไปในความหมายว่าพระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมทั้งหมดด้วย ดังนั้น บนพื้นฐานของความเชื่อเช่นนี้จึงเป็นการส่งเสริมให้มนุษย์โทษพระเจ้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความผิดและบาปที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่ถ้าพระเจ้ากระตุ้นให้อาชญากรก่ออาชญากรรมและความรุนแรงอื่น ๆ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องถูกแขวนคอหรือถูกลงโทษ! ควรจะเป็นพระเจ้าที่ถูกลงโทษมิใช่หรือ!

พระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นให้มนุษย์ทำหรือ ??
เมื่อพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุด หน้าที่ของท่านก็สูงส่ง สง่างามและไม่เหมือนใคร มีการพูดกันบ่อยครั้งว่าชื่อของท่านนั้นสูงส่ง ที่อยู่ของท่านก็สูงส่ง การกระทำของท่านก็สูงส่ง ท่านเป็นผู้ให้คุณประโยชน์ มีเมตตากรุณา ท่านเป็นสิ่งที่เป็นมงคล ใจดีและมีความปราณี การกระทำของท่านแสดงถึงธรรมชาติของท่าน ถ้าทุก ๆ การกระทำของมนุษย์เป็นการแสดงออกซึ่งความปรารถนาของพระเจ้าจริง ความสงบ ความสุข และความปิติก็จะปรากฏทั่วไปทุกหนแห่งบนโลก และทั้งโลกจะต้องมีกฏหมายที่สมบูรณ์ ระเบียบในสังคมก็จะดีพร้อม ไม่ต้องมีกองกำลังเพื่อการควบคุม อย่างเช่น กองทัพ ตำรวจและระบบนิติบัญญัติทั้งหมด

พระเจ้าและธาตุต่าง ๆ
ได้มีความคิดไปไกลอีกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระตุ้นการกระทำทุกอย่าง พวกเขาคิดว่าท่านเป็นผู้ควบคุมพฤติกรรมของธาตุด้วย แม้แต่ใบไม้ที่แกว่งไกวโดยไม่ได้รับคำสั่งจากท่านั้นไม่มี! พวกเขาเชื่อเช่นนั้น ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวที่มาจากสาเหตุของพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม และความหายนะที่เกิดตามธรรมชาติ หลายคนต่างก็คิดว่าเป็นผีมือของท่านด้วย ในความเป็นจริงพระเจ้าเป็นพ่อ ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ พฤติกรรมของธาตุเหล่านี้ มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนด้วยกฏที่เป็นวิทยาศาสตร์ การขึ้นและตกของ พระอาทิตย์ ฤดูกาล ฝนตก ความหายนะทางธรรมชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นตามคำสั่งของท่าน! การคิดว่าผลงานจากพลังธรรมชาติเป็นการกระทำของพระเจ้า เป็นความไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับธรรมชาติและมนุษย์ สมมุติฐานผิด ๆ เช่นนี้ได้เปลี่ยนผู้คนมากมายให้กลายเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นงานของธรรมชาติ ไม่ใช่งานของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า พระเจ้า

สสาร ดวงวิญญาณและพระเจ้า
มีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าโลกนี้และสิ่งอื่น ๆ ในจักรวาลได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่่พระเจ้าชีว่าเปิดเผยว่าท่านไม่ได้สร้างโลกหรือจักรวาล ธาตุธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ มีและคงอยู่มาตั้งแต่อนันตกาล วิทยาศาสตร์ได้บอกเราเช่นกันว่า สสารไม่อาจสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ พระเจ้าชีว่าเปิดเผยต่อไปว่าท่านไม่ได้สร้างดวงวิญญาณขึ้นมาเช่นกัน จักรวาลและดวงวิญญาณ เป็นอมตะเช่นเดียวกับตัวท่าน สิ่งนี้จะต้องทำความเข้าใจในมุมมองที่กว้างเพราะมันเป็นกฏแห่งการคงอยู่ ที่ว่า อะไรที่ถูกสร้างขึ้นจะต้องถูกทำลาย สิ่งอมตะเท่าที่จะคงอยู่ตลอดไป เพราะมันได้มีการคงอยู่ตลอดมา สสาร ดวงวิญญาณและพระเจ้า ทั้งหมดเป็นอมตะและไม่สูญสลาย แต่ละสิ่งเหล่านี้มีคุณลักษณะ พลังและหน้าที่เป็นของตนเอง ซึ่งมีความแตกต่างจากกันและกัน
ละครโลกนี้เป็นการแสดงร่วมกันของพลังทั้งสามคือ ธรรมชาติ ดวงวิญญาณ และพระเจ้า เมื่อพลังทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกันเป็นอมตะ ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอมตะด้วย และด้วยความมหัศจรรย์เช่นนี้ ละครก็หมุนไปอย่างเป็นอมตะในรูปที่เป็นวัฎจักร ชะตากรรมก็ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้า ชะตากรรมหรือบทบาทของดวงวิญญาณทั้งหมดก็ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วและรวมไว้ในละครโลก ถ้าไม่เช่นนั้นละคนแห่งชีวิตก็จะไม่สามารถหมุนไปเป็นวัฏจักรอย่างเป็นระบบและชั่วนิรันดร์ การรู้แจ้งของพระเจ้านั้นคือความรู้เรื่องอดีต ปัจจุบันและอนาคตและเป็นอำนาจของวัฎจักรอันเป็นธรรมชาติของละครโลกด้วย



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


ความสัมพันธ์กับพระเจ้า



ความสัมพันธ์กับพระเจ้า
พระเจ้า พ่อชีว่าเป็นมหาสมุทรของความรู้ ความสงบ ความรัก ความปิติ ความบริสุทธิ์ และพลังอำนาจ ท่านไม่ได้ลงมาในวงจรของการเกิดและการตาย ท่านเป็นผู้หลุดพ้นตลอดกาล บริสุทธิ์ตลอดกาล เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจทั้งหมด ท่านได้ให้คุณสมบัติของตัวท่านเองคือ ความสงบ ความปิติ ฯลฯ กับดวงวิญญาณผู้ซึ่งมีโยคะกับท่าน
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ที่มีกับท่านจะเป็นไปได้ทุกรูปแบบ พระเจ้า ชีว่าก็มีความสัมพันธ์พื้นฐานสามประการกับทุก ๆ ดวงวิญญาณ ท่านเป็นพ่อสูงสุด ครูสูงสุด และเป็นผู้นำทางดวงวิญญาณสูงสุด (สัตกูรู) ในความสัมพันธ์ทางโลกนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า พ่อ ครู และผู้ชี้นำทางดวงวิญญาณของมนุษย์เป็นผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ให้คุณประโยชน์ต่อเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประโยชน์ที่มีขีดจำกัด พระเจ้าชีว่าได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อสูงสุดของทุกคน ท่านก็ยังมีอีก 2 บทบาทคือ ครู และ ผู้นำทางดวงวิญญาณ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่มวลมนุษย์

พระเจ้าในฐานะเป็นพ่อสูงสุด
                ในฐานะที่เป็นพ่อ พระเจ้าชีว่า ให้กำเนิดทางดวงวิญญาณแก่มวลมนุษย์ทั้งหมด กล่าวคือท่านปลุกพวกเขาขึ้นมาจากไม่มีความรู้เรื่องดวงวิญญาณ และให้มรดกที่สูงส่งของท่านกับพวกเขา ลูกชายได้รับมรดกซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของพ่อเขา เมื่อดวงวิญญาณมีการเกิดทางดวงวิญญาณและกลายเป็นลูกของพระเจ้า ดวงวิญญาณก็จะได้รับมรดกซึ่งเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าในรูปของ ความบริสุทธิ์ ความสงบและความปิติโดยอัตโนมัติ ซึ่งนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพดีและความสุขที่แท้จริง ซึ่งคงอยู่อย่างยาวนาน มรดกที่ไม่สามารถทำลายได้นี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ดวงวิญญาณมนุษย์ฺทุกดวงสามารถจะได้รับจากพระเจ้าในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ
                ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกนำไปสู่การสรุปว่า ทุกดวงวิญญาณเป็นลูก ๆ ของพ่อที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์เหมือนกันและเป็นพี่น้องกัน ดวงวิญญาณเป็นจุดแห่งแสงซึ่งปราศจากร่าง ไม่ใช่เพศหญิงหรือเพศชาย ดังนั้น ท่ามกลางความสัมพันธ์อย่างชาวโลก แม้จะเป็นพี่ชายน้องสาว สามี ภรรยา พ่อและลูกชาย ลุงและลูกพี่ลูกน้อง ฯลฯ ก็เป็นลูก ๆ ของพ่อสูงสุดเช่นเดียวกันเป็นพี่น้องกัน เมื่อมองกันและกันว่าเป็นดวงวิญญาณ ความสัมพันธ์ทางร่างมีมากมายหลายอย่าง แต่ความสัมพันธ์ทางดวงวิญญาณมีอย่างเดียว และนั่นก็คือความเป็นพี่น้องสากล บทสรุปอีกอัีนหนึ่งก็คือทุกคนมีพ่อสองคน พ่อคนแรกคือพ่อทางกายซึ่งให้กำเนิดทางร่างกาย อีกหนึ่งคือพ่อทางดวงวิญญาณ ผู้ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ ดวงวิญญาณสูงสุด ชีว่า 

พระเจ้าในฐานะที่เป็นครูสูงสุด
                ในฐานะที่เป็นครูสูงสุด พระเจ้าชีว่าเป็นมหาสมุทรของความรู้ได้ลงมาสู่โลกในเวลาที่มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เพื่อที่จะมาแก้ไขสติปัญญาของมนุษย์ให้กลับไปสู่ความประเสริฐ และทำให้เขาสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งถูกและผิด ดีและเลว ความจริงและความหลอกลวง ท่านเปิดเผยความรู้อย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับตัวท่านและสิ่งสร้างของท่าน รวมทั้งสอนหลักการและวิธีปฏิบัติของราชโยคะ
                ในฐานะที่เป็นผู้ชี้นำทางสูงสุด (Satguru) พระเจ้าทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดหลุดพ้นจากกิเลสและพาพวกเขากลับไปยังบ้านดั้งเดิมที่มีแต่ความสงบ ความอ่อนหวานและเงียบ นั่นคือโลกวิญญาณ หรือพารามธรรม ไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถกลับบ้านโดยไม่ผ่านการชำระให้บริสุทธ์ ผู้นำทาง ทางดวงวิญญาณสูงสุดชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์จากบาปของพวกเขาโดยผ่าน ราชโยคะ
                ผู้คนโดยทั่วไปไม่เข้าใจนัยสำคัญที่ถูกต้องในความสัมพันธ์ทั้งสามของการเป็นพ่อ พร้อมทั้งเป็นครู และผู้นำทางของดวงวิญญาณของดวงวิญญาณสูงสุด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสิทธิ์ตัวเขาเองจากมรดกของเขา ซึ่งมันควรจะเป็นของเขา เมื่อเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรักกับดวงวิญญาณสูงสุดในทางปฏิบัติในชีวิตจริงของพวกเขา

พระเจ้าในฐานะเป็นผู้ชี้ขาดสูงสุด
                เวลาไม่ได้เพียงแต่ถูกกำหนดไว้แล้วแต่ก็มีเวลาที่จำกัดสำหรับพระเจ้าที่จะสะสางงานของท่านในฐานะพ่อสูงสุด ครู และผู้ชี้นำทางแก่ดวงวิญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อบทบาทนั้นของท่านจบลง พระเจ้าก็จะรับบทบาทของธรรมราช(Dharamaraj) นั่นคือผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุด เมื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อเปิดเผยวิธีการที่ง่ายต่อการพัฒนาตัวเราเอง ท่านให้พลังอำนาจทั้งหมดเพื่อชำระบาปของเรา และเราก็ยังเพิกเฉยต่อเสียงเรียกของท่านและไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ดวงวิญญาณของเราจะต้องถูกชำระล้างโดยการถูกลงโทษในฐานะที่เป็นกฎแห่งกรรม นี่คือบรรทัดฐานที่ละครโลกหมุนไปไม่จบสิ้น ทุกๆการกระทำที่กระทำไปโดยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสทั้งห้าจะต้องถูกลงโทษ ณ เวลาของการตัดสิน พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะไม่เข้ามาแทรกแซงเพื่อปกป้องดวงวิญญา๊ณทั้งหลาย แต่จะอยู่อย่างละวางและรักษาความเป็นกลางในฐานะผู้ชี้ขาดสูงสุด


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Monday, April 29, 2013

ดวงวิญญาณสูงสุดแตกต่างจากดวงวิญญาณมนุษย์



ดวงวิญญาณสูงสุด แตกต่างจากดวงวิญญาณมนุษย์         
    ถ้ามนุษย์ทั้งหมดคือการปรากฎตัวที่แตกต่างกันในหลายรูปแบบของพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะอยู่เหนือการเกิด การตาย ความพอใจและความทุกข์ทรมานได้อย่างไร แล้วใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงและช่วยโลกในเวลาที่โลกมีกิเลสและไม่เป็นธรรมอย่างสูงสุดพระเ้จ้าจะเล่นบทบาทของผู้ให้คุณประโยชน์ต่อโลปและผู้ปลดปล่อยได้อย่างไร

                 ผู้คนมากมายเชื่อว่าผู้นำศาสนาของศาสนาต่างๆ เป็นผู้นำสารของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาจะนำสารเหล่านั้นมาจากไหนและนำมาจากใคร? ในการสวดอ้อนวอนของผู้บูชาที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เพื่อขอให้ได้สติปัญญา ความสงบ ความสุข และความสบายที่สูงส่งจากท่าน ถ้าพระเจ้านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่งในรูปต่าง ๆ แล้วทำไมผู้คนจึงต้องเจ็บป่วย หรือทำไมเขาจะต้องสวดอ้อนวอนเพื่อให้พระเจ้าปลดปล่อยพวกเขาจากความเจ็บปวดและทรมานหรือร้องขอบุญจากท่าน

                 นี่แสดงว่าการคงอยู่ของท่านไม่แตกต่างจากดวงวิญญาณทั่วไป แต่เป็นเพราะความสับสนที่เกิดขึ้นโดยความคิดที่ผิด ๆ ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นเองที่ ซานยาสซี (ฤาษี หรือ สมณะ) จำนวนมากแม้แต่ "จักกัดกูรู" (Jagadgurus) ก็มีความขัดแย้งในตนเองโดยที่ตนเองก็บูชากราบไหว้ "ชีว่า ลิงก้า" (หินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าชีว่า) และขณะเดียวกันก็ท่องมนต์ "ชีโวฮัม" (แปลว่า ฉันคือพระเจ้า)

                 ถ้าตัวเขาเองเป็นปรากฏการณ์ของพระเจ้า แล้วเขาจะปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร? ความรู้ที่ถูกต้องจะสามารถทำให้คนเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง เพื่อที่ว่าเขาจะสามารถแยกแยะระหว่างความถูกและผิด ความดีและความเลว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้เขาเห็นว่าไม่มีความแตกต่างกันระหว่างความสูงส่้งกับความชั่วร้าย ความโง่กับความฉลาด และแม้แต่ดวงวิญญาณกับสสารที่ไม่มีความรู้สึกก็ไม่มีความแตกต่างกัน ความคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่อยู่ทุกหนทุกแห่งนี้ช่างไร้เหตุผลเสียนี่กระไร 

ความคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่มีใช่ความจริง
                  ผู้รู้และนักปราชญ์ในสมัยโบราณ หลังจากทำการค้นคว้าอย่างมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าที่แท้จริง ได้มีบทสรุปว่า มนุษย์ไม่สามารถรู้ความจริงเกี่ยวพระเจ้าด้วยความเพียรพยายามของตัวมนุษย์เองซึ่งหมายความว่าพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับตัวท่านเองให้มนุษย์รู้ ดังนั้นในการวิเคราะห์ครั้งสุดท้ายและเป็นที่สุดพวกเขาพูดว่า "เนติ เนติ" ("Neti Neti" แปลว่า ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งนี้) แล้วจะตัดสินว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร

                 ความคิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งก็ถูกพัฒนาเรื่อย ๆ มา ความคิดที่ผิดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลจากการจินตนาการที่เพ้อฝันของมนุษย์ล้วน ๆ ซึ่งได้มีการพิสูจน์ว่ามันเกิดโทษอย่างสูงสุดต่อมนุษยชาติเมื่อมีความเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งว่าเป็นเรื่องจริง ก็มีผลต่อผู้ที่เชื่อ ว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น พวกเขาก็ทำความเพียรพยายามในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาและเข้าถึงท่าน บัดนี้ พระเจ้า พ่้อชีว่า ประกาศว่า"พ่อไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง" สิ่งซึ่งพระเจ้าชีว่าประกาศนี้จะเห็นชัดเจนในบทต่อไป คำตอบข้อคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งมีดังตัวอย่างต่อไปนี้

ไม่ีมีควา่มเกี่ยวข้องระหว่างการหยั่งรู้และการอยู่ทุกหนทุกแห่ง
                  ข้อเสนอ: สิ่งที่มีรูปจำักัดก็มีขอบเขตจำักัด มีเพียงสิ่งที่ไม่มีขีดจำกัดสามารถรับรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด เมื่อพระเจ้ารู้ทุกสิ่งท่านก็ไม่มีขีดจำกัด เป็นผู้หยั่งรู้และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง 
                  คำตอบ: ขนาดของคนไม่ได้เป็นตัวกำหนดปริมาณความรู้ที่เขามีอยู่ ดวงวิญญาณสองดวงมีระดับของความรู้แตกต่างกัน แต่ขนาดของดวงวิญญาณทั้งสองเท่ากัน แม้แต่ดวงวิญญา๊๊ณมนุษย์ดวงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า มหาอาตมา หรือ มหาตมะ (ดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่) เกิดจากการกระทำที่สูงส่ง ไม่ใช่เพราะว่าขนาดที่ใหญ่กว่าดวงวิญญาณอื่น เช่นกัน พระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด (Param) เพราะว่าการกระทำที่สูงส่งของท่าน(การกระทำสามอย่างของพระเจ้า การสร้าง การบำรุุงรักษา และการทำลายล้าง)  ไม่ใช่เพราะการอยู่ทุกหนทุกแห่งของท่าน ถ้าพระเจ้าถูกจินตนาการว่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านนั้นก็จะต้องไม่มีการกระทำใด ๆ เพราะว่าไม่มีพื้นที่ว่างให้สิ่งที่อยู่ทุกหนทุกแห่งได้กระทำการใด ๆ ได้เช่นกัน หรือจะเอาความหมายอื่นที่สุดโด่งว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งจะหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในโลกนั้นทำโดยพระเจ้าซึ่งได้อธิบายไว้แล้วว่าไม่สามารถเป็นจริงได้ เพราะว่าพระเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิด อีกอย่างหนึ่งผู้ที่รู้ว่าอะไรอยู่ในห้องก็ไม่จำเป็นต้องตัวใหญ่เท่าห้อง และไม่จำเป็นต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งในห้องนั้น

                   ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างการหยั่งรู้และการอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดวงวิญญาณใดก็ตามที่รู้สิ่งใดก็ตามจะต้องเข้าไปอยู่ทุกที่ที่มีความรู้นั้น ผู้ที่มีความรู้มากก็จะต้องเข้าไปอยู่ในทุกหนแห่งมากกว่าผู้ที่มีความรู้น้อย แต่สิ่งนี้ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ดวงวิญญาณก็ไม่ได้แทรกซึมไปในทุกหนทุกแห่งในร่างกายของตนเอง แต่อาศัยอยู่ระหว่างคิ้ว พ่อรู้จักลูก ๆ ของเขา และผู้กำำกับละครก็รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับบทบาทของตัวละครโดยไม่ต้องเข้าไปแทรกซึมอยู่กับพวกเขา

                  ดังนั้น พระเจ้า ชีว่า ก็รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเราลูก ๆ ในละครโลก ท่านรู้ทุกสิ่งในฐานะที่ท่านเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง ด้วยการเข้าไปอยู่ในคนใดคนหนึ่ง สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะรู้แต่เพียงปัจจุบันเท่านั้น แต่จะไม่รู้อดีตและอนาคต พระเจ้าไม่เพียงแต่จะรู้ปัจจุบัน แต่ท่านรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับอดีตและอนาคตด้วย เพราะเหตุนั้นท่านจึงถูกเรียกว่า "ผู้ล่วงรู้กาลเวลาทั้งสาม" (Trikadashi) ท่านรู้ทุกสิ่ง ไม่ใช่เพราะท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่เพราะการรู้แจ้งในฐานะของผู้กำกับสูงสุดของละครโลก 

                 ข้อเสนอ: ถ้าะพระเจ้าไม่อยู่ภายในมนุษย์ทั้งหมด ท่านก็จะไม่รู้ความคิดที่ดีและที่เลวของดวงวิญญา๊ณ และก็จะไม่สามารถลงโทษพวกเขาที่่ทำไม่ดีได้
                 คำตอบ: ก่อนอื่นมันไม่ถูกต้องที่จะพูดว่าพระเจ้าจะลงโทษผู้ที่ทำไม่ดีด้วยตัวท่านเอง ในความเป็นจริงมนุษย์ได้รับรางวัลจากการกระทำความดี และได้รับการลงโทษสำหรับการกระทำที่เลว โดยขบวนการที่เป็นอัตโนมัติของ กฎแห่งกรรม (การกระทำ) สิ่งนี้จะมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจนในบทที่ตามมา พระเจ้าให้ความรู้เรื่องกฎเหล่านั้นกับดวงวิญญาณมนุษย์
                ประการที่สอง ในการที่จะศึกษาความรู้เกี่ยวกับบางสิ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ในสิ่งนั้น ความคิดสามารถที่จะหยั่งรู้ได้โดยการส่งความคิด ผู้ที่สามารถรู้แจ้งไม่เคยที่จะเข้าไปอยู่ภายในวัตถุที่เขาเรียนรู้ เหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลก็สามารถที่จะส่งลงมาบนโลก ยาวอวกาศก็ถูกควบคุมและชี้เส้นทางจากพื้นดิน แล้วทำไมพระเจ้าจึงจะต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อจะแสดงพลังและอำนาจของท่าน พระเจ้าเป็นผู้สร้างและเป็นผู้กำกับของละครโลกนี้ ดังนั้นท่านเป็นผู้ที่รอบรู้ ท่านรู้ทุกสิ่งเป็นการล่วงหน้า

                ข้อเสนอ: บางครั้งเราเรียนรู้จากพลังการหยั่งรู้ในบางเรื่องแล้วพลังในการหยั่งรู้ภายในไม่ใช่เสียงของพระเจ้าหรือ?
                คำตอบ: ถ้าพลังการหยั่งรู้้ภายในเป็นเสียงของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่ในร่างกาย ถ้าเป็นดังนั้นใครเป็นผู้่คิดที่จะทำตามหนทงที่ผิดเล่า อีกประการหนึ่ง เมื่อพระเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจโดยไม่มีประมาณ จะเป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่เสียงของท่านก็ถูกมองข้ามและมนุษย์ก็ยังแสดงการกระทำที่ผิดอีก ถ้าพระเจ้าอยู่ในร่างกายทำไมร่างกายจึงไ่ม่มีชีวิตเมื่อดวงวิญญาณจากไป ความจริงนั้นคือ ณ เวลาปัจจุบันของยุคเหล็ก ดวงวิญญาณมีทั้งแนวโน้มที่ดีและเลว นั้นคือ สันสการ์ อย่างเช่นความคิดที่ไม่ดีก็จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นตามมา ถ้ามีความคิดดีก็จะมีความรู้สึกที่ดี ความคิดที่ดีที่เข้าใจผิดกันว่าเป็นเสียงของพระเจ้า แท้จริงคือการปรากฎของสันสการ์ที่ดีบางอย่างของดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นทันทีทันใด

               พระเจ้าไม่ได้อยู่ในความคิดของมนุษย์ ในสัตว์หรือในสิ่งของ
               ข้อเสนอ: บางคนพูดว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน
               คำตอบ: พระเจ้ามีเพียงหนึ่ง ขณะที่หัวใจของมนุษย์จะมีมากมายเท่ากับจำนวนมนุษย์ในโลกที่พระเจ้าจะต้องมีสัมพันธ์ด้วย ในเวลาเดียวกัน ความแตกต่างระหว่างหัวใจและจิตเช่นที่ได้อธิบายมาแล้วในหัวข้อ "จิตใจ"  ควรจะจำไว้ว่าจิตใจเป็นขบวนการความคิดของดวงวิญญาณ และด้วยเหตุนี้เป็นจิตใจนั่นเองที่คิดถึงพระเจ้า การคิดถึงนั้นจะต้องสองสิ่งซึ่้งแยกกันเกิดขึ้นมาก่อน
               (1)ผู้คิดถึง (ดวงวิญญาณ)
               (2)ผู้ที่ถูกคิดถึง (พระเจ้า)
               ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่ได้อยู่ในความคิดของมนุษย์ แต่เป็นความคิดถึงที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์

               ข้อเสนอ: มีการพูดว่าพระเจ้าอยู่ในสัตว์ทั้งมวล อยู่แม้แต่ในทุก ๆ อะตอมของสสาร
               คำตอบ: การที่คิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านแทรกซึมอยู่ในสัตว์ทุก ๆ เผ่าพันธ์ รวมทั้งสุนัข หมู ลา งู แมลงป่อง จิ้งจก ฯลฯ มันอาจจะขยายไปในขอบเขตที่มากกว่านี้ ที่ว่าท่านอยู่ในหิน กองขยะ ในความสกปรกและกากของเสีย แม้แต่มนุษย์เองก็หวาดกลัวเมื่อคิดว่าจะต้องกลับมาเกิดใหม่ในร่างของงูและจิ้งจก
               ทำนองเดียวกัน ถ้าพ่อทางร่างกายของมนุษย์คนใดถูกเรียกว่า หมา หมู หรือไอ้ลาโง่ เขาจะรู้สึกว่าถูกสบประมาท มันไม่ใช่ความโง่ที่สุดของมนุษย์หรือที่จะสบประมาทพ่อสูงสุดในรูปแบบนี้ สำหรับดวงวิญญา๊ณมนุษย์ก็ไม่เคยมีการพูดว่า ดวงวิญญาณนั้นอยู่ในก้อนหินและขยะ แล้วความคิดที่มีต่อพระเจ้าเช่นนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร พระเจ้านั้นต่ำถึงขนาดที่จะอยู่ในกากขยะที่ไร้ค่าที่สุดที่จะต้องนำไปทิ้งเพียงอย่างเดียวเชียวหรือ

               ข้อเสนอ: คัมภีร์มาหมายพูดว่าพระเจ้านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง
               คำตอบ: คัมภีร์ต่าง ๆ นั้นน้อยมากที่จะเป็นเอกฉันท์ในประเด็นของความรู้บางอย่างเกี่ยวกับผู้สร้างของท่าน แม้แต่คัมภีร์ของศาสนา้เดียวกันก็ขัดแย้งในตัวเองอยู่บ่อย ๆ ดวงวิญญาณมนุษย์มากมายได้รับนิมิตของพระเจ้า พ่อชีว่า เป็นจุดแห่งแสงในโลกวิญญาณ(พารามธรรม) นี่เองที่ทำไมผู้บูชาร้องขอมองขึ้นไปเบื้องบนเมื่อสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า พวกเขาได้พูดว่าพระเจ้าได้ลงมายังโลกนี้เพื่อช่วยชีวิตมวลมนุษย์ และมาปลดปล่อยมนุษย์จากบ่วงพันธะั และพาดวงวิญญาณกลับไปยังที่อยู่ดั้งเดิม
               มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า เมื่อมนุษย์มีความปรารถนาที่จะได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงพันธะทางโลก ทำไมพระเจ้า พ่อชีว่า จะต้องเข้ามาพัวพันกับพวกมนุษย์ด้วยการกลายเป็นผู้อยู่ทุกหนทุกแห่งเล่า
               มีเพียงผู้ซึ่งตัวเองเป็นอิสระเท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้อื่นเป็นอิสระได้ พระเจ้า พ่อชีว่า ปลดปล่อยเราได้เพราะว่า ท่านเป็นผู้ที่มีอิสระเป็นนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกเรียกว่า "ซาดา-ชีว่า" (Sada-Shiva - ชีว่าผู้เป็นอมตะ) และเป็นผู้ปลดปล่อยผู้คนจากอำนาจชั่วร้าย ทำให้มวลมนุษย์ชาติหลุดพ้นจากภัย


จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Sunday, April 28, 2013

ความคิดที่เป็นสากลของพระเจ้า

                 


ความคิดที่เป็นสากลของพระเจ้า
 ผู้คนในโลกทั้งหมดพูดว่าพระเจ้าเป็นแสงหรือจโยติ(JYOTI) ในอินเดียที่วัดของ ชีว่า ที่พบเห็นทั่วไปทั้งประเทศ(ดูภาพประกอบ A:พ่อสูงสุดของดวงวิญญาณทั้งหมด) มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น รามอิศวร (Rameshwaram หมายถึง พระเจ้าของศรีราม),โกปอิศวร(Gopeshwar หมายถึง พระเจ้าของศรีกฤษณะ),อมาร์นาถ(Amarnath),วิศวนาถ(Visshwanath) โสมนาถ(Somnath),ปาชูปาตินาถ(Pashupatinath ในเนปาล), มหากาฬอิศวร(Mahakaleshwar), มุกตีอิศวร(Mukteshwar) ฯลฯ ซึ่งเป็นชื่อของคุณสมบัติต่างๆ ที่พรรณนาถึงการกระทำที่สูงส่ง และคุณภาพของพระเจ้าชีว่า
ภาพประกอบ A

              ในอินเดียนิกายต่างๆ มีชื่อว่า "ชัคติ" (Shakti), "กันปาติ" (Ganpat), "ผู้กราบไหว้บูชาราม" (Rama-worshippers), "กฤษณะ-อุปศักติ์" (Krishna-Upasaks) ทั้งหมดเชื่อในชีว่า ความจริงวัดชีว่าที่โดดเด่นทั้ง 12 แห่งของอินเดียก็ถูกเรียกว่า "จโยติ ลิงกัม แมท"(Jyotirlingam Maths หมายถึง สถานที่ศักดิ์สิืทธิ์๋ซึ่้งเป็นสัญลักษณ์ของแสง) ได้พิสูจน์อีกว่ารูปของพระเจ้านั้นเป็นแสง และชีว่า-ลิงก้า นั้นเป็นสัญลักษณ์ของตัวพระเจ้าเอง
              ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระเจ้าหรือ อัลลาห์ เป็นดวงวิญญาณสูงสุดผู้ซึ่งเป็นแสง ในเมกกะที่ชาวมุสลิมไปแสวงบุญมีหินศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า สาง-อี-อัสวัด (Sang-E-Aswad) ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ คานา-อี-คาบา (KHANA-E-KABA) หินนี้ผู้แสวงบุญทุกคนได้ส่งจูบไปจากระยะไกลก่อนที่เขาจะเริ่มพิธีแสวงบุญ มันเป็นที่น่าสังเกตว่า สาง-อี-อัสวัีด มีความโดดเด่นที่คล้ายคลึงกับ ชีว่า-ลิงก้า
              ชาวยิวและชาวคริสเตียนเชื่อว่า โมเสส มีนิมิตของพระเจ้าในรูปของเปลวไฟ พวกเขาเรียกว่า ยะโฮวา (Jehovah), พระคริสต์ และ กูรูนานาค ผู้ก่อตั้งนิกาย ซิคส์ฺ (Siksism) ทั้งสองศาสนาพูดว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวและในโบสถ์ก็มีเทียนไขจุดทิ้งไว้ เพราะว่าเปลวไฟเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า
              ในญี่ปุ่นมีนิกายหนึ่งซึ่งสมาชิกต่างเพ่งรวมไปยังหินรูปไข่ เรียกว่า "ชินกอน เซกิ" (Chinkon Seki) ซึ่งหมายความว่าผู้ให้ความสงบ ซากสลักหักพังของนครวัดยุคโบราณในเขมรแสดงถึงการกราบไหว้บูชา ชีว่า-ลิงก้า มีให้เห็นอยู่ทั่วไปด้วยเช่นกัน มีความเด่นชัดทางด้านโบราณคดีอย่างหนึ่งพอที่จะแสดงว่า ชาวอียิปต์โบราณ ชาวเฟนีเซีย ชาวอาหรับ ชาวกรีก ชาวอินเดียแดงและชาวอินโดนีเซีย บูชากราบไหว้หินรูปไข่ การบูชา ชีว่า เป็นการบูชาที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จักและแนวคิดว่าพระเจ้าเป็นรูปของแสงก็เป็นความคิดที่เ็ป็นสากล!

                    
 ที่อยู่อันสูงส่งของพระเจ้า



               ได้มีการอธิบายมาในหัวข้่อก่อนแล้วว่า พระเจ้านั้นมีรูป รูปที่เป็นจุดแห่งแสงที่สุกใสรุ่งโรจน์ สิ่งนี้นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับที่อยู่ของพระเจ้า ทุกสิ่งที่มีรูปได้มีการพิสูจน์แล้วว่าจะต้องมีที่อยู่อาศัย ดวงวิญญาณสูงสุด  พระเจ้า  พ่อที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์ของเราอาศัยอยู่ใน  บราห์มโลก (Bramhmlok), ปรโลก (Parlok), พารามธรรม (Paradham) หรือที่เรียกว่าสวรรค์สูงสุด 
               โลกที่ซึ่งดวงวิญญาณอาศัยอยู่เมื่อพวกเขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ มีชื่อเรียกว่าโลกวิญญาณที่ปราศจากร่างอยู่ไกลโพ้นไปจากโลกแห่งความมีตัวตนของมนุษย์ ไม่มีทั้งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาว และอยู่เหนือโลกละเอียดของ บราห์มา วิษณุ และชางก้า  เพราะเป็นที่อยู่ของ ชีว่า จึงถูกเรียกว่า ชีว่าบุรี ด้วย และเมื่อพระเจ้าอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่สูงสุดนี้ ท่านได้ถูกเรียกว่าเป็น "ปรบราห์มปรเมศวร" (Parbrahm Parmeshwar) หรือพ่อสูงสุดที่อยู่เหนือความรู้และความเข้าใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์
                มีแนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับที่อยู่ของพระเจ้าที่มีอยู่ทั่วไปว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันจะมีประโยชน์มากที่จะได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นนี้ในรายละเอียด

                     
พระเจ้าไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง

                ทุกวันนี้นักศาสนาและนักเทววิทยาส่วนมากพูดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ ที่ได้ตั้งสมมุติฐานเช่นนี้ ความเ้ข้าใจผิดพลาดนี้เป็นต้นเหตุ ในการนำมนุษย์ชาติเกือบทั้งหมดให้หลงทางจากพระเจ้าและตัดการมีโยคะของพวกเขากับท่าน คำว่า โยคะ หมายถึง การรวม การเชื่อม หรือติดต่อระหว่างสองสิ่งที่มีอยู่ นั่นก็คือ ดวงวิญญาณและดวงวิญญาณสูงสุด 
                โยคะจะหมดความกมายถ้าพระเจ้าถูกคิดว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ผู้คนส่วนมากคิดว่าพระเจ้าเป็นพ่อสูงสุด และในเวลาเดียวกันก็คิดว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นที่น่าประหลาดใจที่พวกเขาเชื่อทั้งสองประเด็นพร้อมกัน นี่เป็นผลจากข้อพิสูจน์ที่ผิดๆว่าดวงวิญญาณนั้นไม่ได้แตกต่างจากดวงวิญญาณสูงสุด เป็นที่แน่ชัดว่า พ่อไม่ได้แผ่ซึมเข้าไปในลูกๆของเขา   เช่นกัน  พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพ่อของดวงวิญญาณทั้งหมดจะไม่เข้าไปอยู่ในพวกเขา เพราะพระเจ้าเป็นพ่อสูงสุดของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมด ผู้คนจึงพูดถึงความเป็นพี่น้องสากลแต่จะไม่มีใครพูดถึงความเป็นพ่อสากล



                ผู้ซึ่งคิดว่าดวงวิญญาณมนุษย์เป็น "อณู" ของพระเจ้า (ถึงแม้ว่าความเชื่อเช่นนี้จะไม่ถูกต้อง) พวกเขาควรจะถามตัวเองว่า ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้าจะสามารถแบ่งออกเป็นส่วนหรือเป็นอณูอีกได้อย่างไร เพราะถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะมีการแบ่งงออกเป็นส่วนได้อย่างไรอีกเล่า ถ้ามีการโต้แย้งว่าผู้ที่ไม่มีความไม่รู้เท่าันั้นที่แบ่งแยกดวงวิญญาณและดวงวิญญาณสูงสุด ถ้าอย่างนั้นก็จะมีคำถามเกิดขึ้นอีกว่า พระเจ้าอยู่ในผู้ที่ไม่รู้นั้นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่... แล้วท่านจะอยู่ทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร? ควมจริงแท้ก็คือดวงวิญญาณและพระเจ้าเป็นสิ่งซึ่งแยกจากกันและนำไปสู่การสรุปว่า พระเจ้าไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย พระเจ้าก็เหมือนกับดวงวิญญาณอื่นๆเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก ถ้าท่านอยู่ในทุกสิ่งก็จะไม่มีวัตถุซึ่งไม่มีความรู้สึก แม้แต่ร่างกายที่ตายแล้วก็จะคงอยู่อย่างมีความรู้สึก  อีกอย่างหนึ่ง  ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณลักษณะของท่านก็จะต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย 
                 อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่สาระสำคัญแท้จริงแล้วพระเจ้าเป็นมหาสมุทรแห่งความสงบ ความรักและความปิติ แต่คุณลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเหล่านี้ก็ไม่ได้ปราฎอยู่ในโลกทุกวันนี้ ตรงกันข้ามกิเลสทั้งห้า นั่นก็คือ กามราคะ ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยึดติด และความทะนงตน จะพบได้ทุกแห่งในโลกทุกวันนี้ ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าเป็นผู้สร้าง และผู้สร้างจะไม่ซึมแทรกเข้าไปในสิ่งสร้างนั้นของท่าน ท่านจะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งสร้างนั้นเสมอ เช่นกัน พระเจ้าถูกเีรียกว่า ผู้กู้ชีวิตดวงวิญญาณบาป แต่การทึกทักว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งก็หมายความว่า พระเจ้าได้ทำผิดด้วยตัวท่านเอง และทำบาปที่เราเห็นในโลกทุกวันนี้ด้วย


จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Friday, April 26, 2013

ดวงวิญญาณและพระเจ้า


ความรู้พื้นฐาน
ในตอนแรกเราได้วิเคราห์เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องธรรมชาติของดวงวิญญาณ ต่อไปนี้เราจะพิจารณาเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณสูงสุดคือ พระเจ้า มนุษย์มีความอยากอย่างเป็นธรรมชาติ ที่จะรู้จักพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่มีความทุกข์โศก มนุษย์ก็จะมีสัญชาตญาณของการคิดถึงพระเจ้า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักรูปและคุณลักษณะของพระเจ้าอย่างถูกต้อง ในความเป็นจริง พระเจ้าอยู่เหนือการรับรู้ของอวัยวะสัมผัส แต่จะสามารถรู้ได้โดยผ่านกระบวนการของสติปัญญาที่ละเอียดอ่อนเท่านั้น สำหรับผู้ที่ปรารถนาที่จะเรียน ราชโยคะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจถึงธรรมชาติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงเกี่ยวกับ ชื่อที่สูงส่ง, รูป, ที่อยู่, พฤติกรรมและความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีกับดวงวิญญาณทั้งหลาย

พระเจ้าเดียว...แต่มีหลายแนวคิด




เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่ง แต่ก็ยังมีความเชื่อมากมายที่ยังขัดแย้งกันอยู่ เกี่ยวกับรูปและธรรมชาติของพระเจ้า

ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ปรากฏอยู่คือ ธรรมชาติคือพระเจ้า, หรือกฤษณะ, ศรีราม, พระคริสต์ และคนอื่นๆ คือพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่มาเกิด และ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นพระเจ้า, พระเจ้าและดวงวิญญาณแต่ละดวงรวมกันเป็นหนึ่ง "บราห์ม" คือพระเจ้า, พระเจ้าไม่มีรูป, สิ่งสร้างทั้งหมดเป็นรูปอันหลากหลายของพระเจ้า, ที่อยู่ของพระเจ้านั้นอยู่ในสวรรค์, พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฯลฯ
ความจริงก็คือ ความหลากหลายอย่างมากมายของความคิดเกี่ยวกับพระเจ้านี้เป็นสาเหตุของความสับสนและทำให้ผู้คนทั้งหลายคิดว่าพระเจ้าเป็นสิ่งสร้าง ซึ่งเกิดจากจินตนาการของมนุษย์เอง และดังนั้น...พวกเขาจึงสงสัยว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือ !!

ความรู้เป็นสาระสำคัญสำหรับการคิดถึง
ความเป็นจริงก็คือ มีแนวคิดที่แตกแยกหลายอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า แสดงว่ามนุษย์ไม่ได้มีความรู้ที่ถูกต้องเลยเกี่ยวกับพระเจ้า นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งด้วยว่า ทำไมผู้คนทั้งหมดที่คิดถึง บูชาหรือกราบไหว้้พระเจ้าโดยทั่วไปต่างพูดว่า พวกเขาไม่สามารถเพ่งรวมความคิดของพวกเขาไปยังพระเจ้าได้ 
ตัวอย่างอาจจะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจน  หญิงสาวที่ยังไม่มีคู่หมั้นไม่สามารถคิดถึงผู้ที่จะมาเป็นสามีของเธอได้ เพราะว่าเธอไม่สามารถสร้างความคิดใด ๆ เกี่ยวกับหน้าตา ชื่อ ที่อยู่และอาชีพ ฯลฯ ของฝ่ายชายได้ อย่างไรก็ตาม...... หลังจากที่มีการหมั้น เธอก็สามารถคิดถึงคู่หมั้นของเธอได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าลักษณะของเขานั้นเธอได้เห็นและรู้จักแล้ว
เช่นเดียวกัน..... โยคะหรือการคิดถึงพระเจ้า จะได้ผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อผู้ที่ปราถนาที่จะเรียนรู้ ได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าแล้วเท่านั้น

พระเจ้ามีเพียงหนึ่ง แนวคิดที่แท้จริงของพระเจ้าก็สามารถมีเพียงหนึ่งเดียว
เป็นเพราะการไม่มีความรู้ที่แท้จริงเำีกี่ยวกับพระเจ้านั้นเอง ดังนั้นความศรัทธาที่เบี่ยงเบนจึงได้ปรากฏขึ้นมากมาย อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติที่แท้จริงของพระเจ้่าจะสามารถเปิดเผยโดยพระเจ้าเองเท่านั้น เมื่อท่านลงมาใช้ร่างของมนุษย์ในโลก  ไม่มีมนุษย์ใดสามารถเล่นบทบาทการเปิดเผยที่สูงส่งนี้ได้ ในหัวข้อต่อไปจะให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ตามที่ท่านเปิดเผยตัวท่านเองโดยผ่านเครื่องมือที่เป็นร่างมนุษย์ของท่านประชาปิตาบราห์มา คำถามจะถูกหยิบยกขึ้นมาว่า พระเจ้าได้เปิดเผยความรู้นี้อย่างไร ? ประเด็นดังกกล่าวนี้จะได้อธิบายต่อไป

รูปและชื่อที่สูงส่ง

พระเจ้าเปิดเผยว่า "ฉันคือผู้ที่ไร้ร่าง" (NIRAKAR)

ผู้คนมากมายเข้าใจผิดต่อคำว่า "นิรกา" (Nirakar) โดยตีความหมายว่าท่านไม่มีรูป แต่ในความเป็นเจริง สิ่งใดก็ตามที่มีอยู่จะต้องมีรูป คุณลักษณะหรือคุณภาพนั้นไม่มีรูปได้ แต่แก่นซึ่งเป็นแหล่งที่มีคุณลักษณะหรือคุณภาพนี้... ไม่มีรูปไม่ได้ ! อย่างไรก็ตามรูปนั้นอาจจะละเอียดได้ ตัวอย่างเช่น กลิ่นหอมไม่มีรูป แต่ดอกไม้หรือวัีตถุใด ๆ ก็ตามซึ่งส่งกลิ่นนั้นฟุ้งออกมาจะต้องมีรูปใดรูปหนึ่ง
คุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ความรัก ความสงบ ความปิติ และความรู้  ไม่มีรูป หากแต่ พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของและุเป็นแหล่งกำเนิดของคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านั้นจะต้องมีรูป ถ้าพระเจ้าไม่มีรูป ราชโยคะ ก็จะสูญเสียความหมายทั้งหมดไป เพราะว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการคิดถึงสิ่งซึ่งไม่มีรูป มิฉะนั้นผู้บูชากราบไหว้ก็คงจะไม่สวดอ้อนวอนต่อท่านเพื่อให้ท่านประทานนิมิต (DARSHAN) เป็นรูปของท่านแก่พวกเขา
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าซึ่งปราศจากร่าง แต่ไม่ปราศจากรูป ซึ่งหมายความว่าท่านต้องมีรูป

รูปของพระเจ้านั้นละเอียดที่สุด

พระเจ้ามีรูปอย่างแน่นอน รูปของท่านแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรูปละเอียดและรูปที่เป็นร่างใด ๆ อย่างที่เรารู้จักกันว่า NIRAKAR (ปราศจากร่าง) เป็นคำที่เกี่ยวข้องกัน พระเจ้าปราศจากร่างในการเปรียบเทียบกับวัตถุสิ่งของซึ่งมีรูปหยาบและละเอียด NIRAKAR หมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ปราศจากตัวตน ที่ซึ่งไม่มีสสารใด ๆ คงอยู่ มีเพียงดวงวิญญาณอาศัยอยู่ พระเจ้าเป็นดวงวิญญาณสูงสุด (พารามอาตมา) แม้แต่ดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหลายก็ปราศจากร่าง (NIRAKAR) อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าดวงวิญญาณไม่มีรูป 

ดวงวิญญาณของมนุษย์แต่ละดวงมีแก่นของตนเองซึ่งเป็นอมตะและไม่สามารถทำลายได้ ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยการยกตัวอย่าง สมมุติว่าอุบัติเหตุที่รุนแรงเกิดขึ้น มีคนตายหลายคนในเวลาเดียวกัน แต่ละคนก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่ตามสันสการ์ของแต่ละบุคคล.... แต่ละดวงวิญญาณได้มีการรักษารูปและแก่นสาระที่พิเศษของตนเองไว้ 

ที่ว่าดวงวิญญาณเป็นจุดของแสงและพลังที่ส่องประกาย ดวงวิญญาณสูงสุดก็เป็นเช่นเดียวกัน รูปนี้ละเอียดที่สุด สามารถเห็นได้โดยการได้รับนิมิตที่สูงส่งเท่านั้น ซึ่งรูปของพระเจ้าปรากฏเป็นจุดของแสงที่ส่งประกายสีแดงทองรูปไข่วงรีรอบ ๆ ตัวท่าน เมื่อเปลวไฟได้ถูกจุดขึ้น มันก็จะเกิดเป็นรูปไข่ รูปของพระเจ้าและรัศมีก็เป็นเหมือนเช่นเปลวไฟรูปไข่ "ชีว่า-ลิงก้า (Shiva Linga)
ในวัดที่ประเทศอินเดียก็มีสัญลักษณ์รูปไข่วงรีของดวงวิญญาณสูงสุด คำว่า LINGA หมายถึงสัญลักษณ์ ในวัดชีว่าหลาย ๆ แห่งมีหินรูปไข่อันเล็ก ๆ มากมายถูกวางไว้ข้าง ๆ ชีว่าลิงก้า หินเหล่านี้เรียกว่า ซาลิเเกรม ซึ่งเป็นตัวแ่ทนของดวงวิญญาณต่าง ๆ 

ในความเป็นจริง ไม่มีความแตกต่างในขนาดของดวงวิญญาณและดวงวิญญาณสูงสุด ทั้งสองเป็นจุดแห่งแสงมีความแตกต่างในความเข้มของแสงและพลังเท่านั้น เหมือนอย่างเช่น รูปปั้นสักการะของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ โดยทั่วไปมักจะมีขนาดใหญ่ ชีวา ลิงก้า ก็เป็นรูปของพระเจ้าที่มีการขยายให้ใหญ่ด้วยจุดประสงค์ของการบูชาเคารพรูปไข่ขนาดใหญ่ เพื่อให้เป็นการง่ายต่อการจำสำหรับผู้บูชากราบไหว้่ เพราะมันจะเป็นการยากที่จะบูชาจุดซึ่งเล็กมาก ความแตกต่างที่เด่นชัดอันหนึ่งของดวงวิญญาณสูงสุดกับดวงวิญญาณ็อื่น ๆ ก็คือ ท่านไม่เคยเข้าไปสู่วงจรของการเกิดและการตาย ผลที่ตามมาคือ ท่านไม่เคยตกอยู่ภายใต้การหลอกลวงการตกต่ำหรือการเลื่อมถอยลง

ชื่อของพระเจ้าที่เป็นอมตะ
ชื่อของพระเจ้านั้นมีความพิเศษกล่าวคือ เมื่อดวงวิญญาณมนุษย์ดวงหนึ่งลงมารับร่าง มันเป็นร่างนั้นที่มีชื่อแ่ต่ไม่ใช่ดวงวิญญาณ ชื่อของร่างมนุษย์ที่ดวงวิญญาณลงมารับนั้น เปลี่ยนไปชาติแล้วชาติเล่า ดวงวิญญาณสูงสุดไม่เคยเกิดเหมือนดวงวิญญาณมนุษย์ ท่านไม่มีร่างเป็นของท่านเองและไม่มีชื่อของร่างด้วย ชื่อของพระเจ้าเป็นอมตะ ชื่อที่ได้มาสืบเนื่องจากคุณสมบัติและการกระทำที่สูงส่งของท่าน ผู้คนคิดถึงท่านและตั้งชื่อท่านจากคุณสมบัีติที่แตกต่างไป ตามภาษาที่แตกต่างกัน ซึ่ง พระเจ้าได้เปิดเผยชื่อของท่าเองว่า ท่านชื่อ ชีว่า (SHIVA) ชีว่า หมายถึงผู้ให้คุณประโยชน์ พระเจ้าถูกเรียกว่า ชีว่า เพราะว่าท่านเป็นผู้ให้คุณประโยชน์กับดวงวิญญาณทั้งหมด ประทานความสงบและความปิติแก่พวกเขา ชื่อ ชีว่า อ้างอิงถึงพระเจ้าผู้ปราศจากร่าง ไม่ใช่ ชางก้า (Shankar) ผู้ซึ่งเป็นเทพละเอียดและเป็นสัญลักษณ์ของภาะกิจของการทำลายล้างโลกเก่า





จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Thursday, April 25, 2013

ธรรมชาติดั้งเดิมของดวงวิญญาณ




สันสการ์ดั้งเดิมของดวงวิญญาณ
สันสการ์ดั้งเดิมของดวงวิญญาณ คือ ความบริสุทธิ์ ความสงบ ความรัก ความปิติ ความรู้ และพลังอำนาจ(MIGHT) ดวงวิญญาณได้สูญเสียคุณภาพเดิมแท้ทั้งหมด เมื่อดวงวิญญาณได้กลายเป็นทาสของกิเลสทั้งห้า กล่าวคือ กามราคะ ความโกรธ ความผูกพันยึดติด ความโลภและความหยิ่งทะนงตน กิเลสทั้งห้านี้รวมกันเข้ามา โดยมีแหล่งกำเนิดมากจากสำนึกแห่งการเป็นร่าง โดยทั่วไปกิเลสทั้งห้านี้และสำนึกแห่งการเป็นร่าง ทำให้ดวงวิญญาณจมอยู่ในความทุกข์ ความปิติและความสงบที่มีอยู่ดั้งเดิมจะเป็นตัวเอาชนะและเป็นนายเหนือประสาทสัมผัส

ธรรมชาติดั้งเดิมนั้นสูญเสียไปได้อย่างไร
ด้วยการเกิดหลายครั้ง ดวงวิญญาณก็ผูกพันยึดติดกับร่าง ดวงวิญญาณได้ลืมสภาพดั้งเดิมว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณ และลืมคุณสมบัติของดวงวิญญาณ รวมทั้งลืมพ่อสูงสุดของตนเอง... ได้กลายเป็นทาสของกิเลสทั้งหลาย จนกว่าจะมีการถอนและมีการควบคุมกิเลสของดวงวิญญาณได้เสียก่อน มิฉะนั้นดวงวิญญาณก็จะไม่สามารถกลับมามีสภาวะปกติของความสงบ ความสุขและความปิติได้ 
กิเลสที่ครอบงำดวงวิญญาณอาจจะเปรียบได้กับภาชนะที่ใส่น้ำ ซึ่งมีความร้อนสามารถลวกผิวหนังได้ ถ้าไปแตะต้องมัน แต่ถ้าเอาความร้อนนั้นออกไปมันก็จะกลับไปสู่สภาพเดิมที่อุณหภูมิปกติ และก็จะกลับมาเป็นประโยชน์ในการดับกระหายได้อีกครั้งหนึ่ง... เป็นการเล่นบทบาทของการช่วยชีวิต

เช่นเดียวกัน บุคคลผู้ซึ่งดวงวิญญาณได้รับความทรมานด้วย ความโกรธ อารมณ์ของเขาจะเสียง่าย ด้วยการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย เขาก็จะเกิดอาการตื่นเ้ต้น แม้กระนั้น เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเขาก็จะพบความสงบ ซึ่งจะทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติ การควบคุมความโกรธได้อย่างดีก็ใช้ได้กับกิเลสตัวอื่น เช่น ความเครียด ความไม่สมดุลซึ่งทรมานมนุษย์ในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นรากของอารมณ์ทั้งหมดที่ถูกรบกวนได้ด้วยเช่นกัน เมื่อดวงวิญญาณเป็นอิสระด้วยการควบคุมกิเลสได้ ดวงวิญญาณก็กลับไปสู่สภาวะดั้งเดิม คือความบริสุทธิ์ ความสงบและความปิติสุข

ความสงบและความปิติสุข เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของดวงวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปค้นหาสิ่งเหล่านี้จากภายนอก ผู้ที่ค้นหาความสงบและความปิติสุขจากโลกภายนอก ก็เหมือนกับเจ้าหญิงที่ค้นหาสร้อยคอที่สูงค่าของเธอไปทุกหนแห่ง ทั้ง ๆ ที่เธอสวมใส่มันอยู่ เหมือนเช่นกับตัวชะมดที่วิ่งตามกลิ่นที่หอมของชะมดโดยไม่รู้ว่ากลิ่นนั้นออกมาจากสะดือของมันเอง ความสงบของจิตใจเป็นคุณภาพของดวงวิญญาณจะออกมาจากภายในโดยอัตโนมัติ ทันทีที่สภาวะที่แท้จริงดั้งเดิมของดวงวิญญาณได้ถูกกำหนดขึ้น

การกลับมาเกิดของดวงวิญญาณ




ดวงวิญญาณเป็นอมตะ
ร่างกายต้องตาย ร่างกายมีช่วงชีวิตที่สั้น แต่ดวงวิญญาณไม่เคยตาย มันเป็นอมตะและไม่มีวันตาย มันออกจากร่างหนึ่งจะไปสู่ร่างอื่นอีก ในการเกิดใหม่ ดวงวิญญาณลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว ในความเป็นจริงการปิดบังอดีตนี้เป็นพร สมมุติว่าดวงวิญญาณไม่ได้มีความสุขในชาติที่แล้วและมีความสุขในชาตินี้ ความจำเรื่องในอดีตจะทำลายความสุขในชาติปัจจุบัน เพราะการจำอดีตได้นั่นเอง ดวงวิญญาณอาจจะแสดงความเกลียดชังต่อใครบางคนผู้ซึ่งทำผิดต่อเขาในชาติที่แล้ว ซึ่งจะมีผลกระทบต่อชีวิตที่ราบรื่นของดวงวิญญาณนั้นในชาติปัจจุบัน

ดวงวิญญาณกลับมาเกิดแน่นอน
การเข้าใจว่าตัวตนเป็นดวงวิญญาณที่มีชีวิตเป็นอมตะ ที่แตกต่างจากร่างกายที่ถูกทำลายได้ นำไปสู่บทสรุปที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่า ดวงวิญญาณเดินทางผ่านไปในวงจรของการกลัีบชาติมาเกิด ดวงวิญญาณมนุษย์เป็นนักแสดงในโลกละครและด้วยเหตุนี้ดวงวิญญาณจะมีธรรมชาติ ที่ชอบเล่นบทบาทพวกเขาในละคร เมื่อดวงวิญญาณไม่สามารถแสดงหรือไม่มีประสบการณ์ เนื่องจากปราศจากร่างกาย พวกเขาก็จะกลับมาเกิด ดังนั้นมันเป็นกฏที่ไม่มีวันจบสิ้นของดวงวิญญาณแต่ละดวงที่จะต้องละทิ้งร่างเก่าและมารับร่างใหม่



รูปแบบวงจรของกระบวนการความคิด เกี่ยวกับวงจรของความคิด การกระทำ สันสการ์ ความคิดหมุนเวียนเป็นวงกลมไม่มีจุดจบ วงกลมนั้นไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ และมีการเคลื่อนไปอย่างเป็นนิรันดร ฉันใดก็ฉันนั้น การเกิด...การตาย....การเกิด ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น เมื่อตาย มนุษย์ก็ออกจากร่าง แต่ไม่ได้จบสิ้นการคงอยู่ เขาเดินทางต่อไปด้วยความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของเขา ณ เวลาที่เขากำลังจะออกจากร่าง ความคิดความปรารถนาก็ชักนำให้ดวงวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่

บางครั้งก็มีหนังสือพิมพ์รายงานเกี่ยวกับเด็กผู้ซึ่งสามารถจำชาติในอดีตได้อย่างแจ่มชัด หลาย  ๆ กรณีเช่นนี้ได้มีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดโดยนักอภิจิตวิทยาและพบว่าเป็นความจริง อย่างเช่นได้กล่าวไว้ในตอนต้น คือสิ่งที่ยืนยันว่าดวงวิญญาณได้กลับมาเกิด ทารกนั้นมีความคิดที่เลือนลาง บางอย่างของชีวิตในอดีต แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พวกเขาไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้

มีการสังเกตว่า บางครั้งหลังจากเกิด เด็ก ๆ จะเริ่มร้องไห้อย่างทันทีทันใดและแล้วก็ยิ้ม นี่เป็นผลที่สะท้อนออกมาของความจำของชีวิตในอดีต !!  เมื่อมีการสังเกตความแตกต่างระหว่างเด็กที่มีพ่อแม่เดียวกัน แต่ละคนมีแนวโน้มที่แอบแฝงสืบเนื่องมาก่อนของตนเองซึ่งปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ(สันสการ์)
นี่แสดงว่ามันได้มีการถ่ายทอดมาจากชาติก่อน เช่นเดียวกัน มีเด็กบางคนซึ่งไม่ธรรมดา มีความสามารถพิเศษเป็นความชำนาญในศิลปะบางอย่าง แม้แต่ขณะที่เขายังเยาว์วัยอยู่ นี่เป็นเพราะว่า เขาได้รับความชำนาญในศิลปะนั้นมาจากชาติก่อน ยกตัวอย่างเช่น เด็กบางคนไม่เคยไปโรงเรียนเลย แต่พบว่าสามารถท่องจำคัมภีร์ที่ยาก ๆ ได้



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Wednesday, April 24, 2013

สถานที่อยู่ของดวงวิญญาณ

สถานที่อยู่ของดวงวิญญาณในร่างกาย



ดวงวิญญาณนั้นเป็นจุดของแสงและพลังอำนาจที่ละเอียดอ่อนมาก ที่อาศัยอยู่ในกึ่งกลางของกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว บางคัมภีร์อธิบายว่ามันเป็นเช่นดวงดาวซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ที่ส่องแสงอยู่กึ่งกลางหน้าผาก เพื่อเป็นการเตือนถึงความจริงนี้ ประเพณีของการแต้มจุดสีแดง เรียกว่า "ตีลัค" (Tilak) หรือ "บินดิ" (Bindi) ที่จุดพิเศษเฉพาะบนหน้าผากก็พบเห็นได้โดยทั่วไปของคนอินเดีย






จะสังเกตพบว่า อวัยวะสำคัญของร่างกายที่ซึ่งดวงวิญญาณใช้ปฏิบัติงาน เช่น สมอง ลูกตา หู จมูก ปาก ทั้งหมดตั้งอยู่ใกล้กับที่นั่งของดวงวิญญาณและแสดงให้ปรากฏถึงความเป็นลักษณะเฉพาะคนโดยผ่านใบหน้าของเขา ไม่มีคนสองคนที่มีหน้าเหมือนกันอย่างแท้จริง เนื่องจากดวงวิญญาณของพวกเขามีสันสการ์ที่แตกต่างกัน คนบางกลุ่มคิดว่าที่อยู่ของดวงวิญญาณนั้นอยู่ที่หัวใจ นี่เป็นความเชื่อที่ผิด ซึ่งได้หยั่งรากลึกเนื่องจากความไม่รู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างหัวใจและจิตใจ 

เป็นเพราะว่าคำว่า "หัวใจ" นำมาใช้ในความหมายใกล้เคียงกันกับคำว่า "จิตใจ" แต่ทว่าใช้อย่างผิด ๆ เหมือนวลีที่ว่า "ความกรุณา" คือ "หัวใจที่สูงส่ง... หัวใจทองคำ" "คุณภาพของสติปัญญาและหัวใจ" ฯลฯ ที่ได้ใช้กันมา ตามความเป็นจริงคุณลักษณะ  เช่น ความกรุณา ความสูงส่ง ฯลฯ นั้นเป็นคุณลักษณะของดวงวิญญาณ ซึ่งสะท้อนออกมาโดยผ่านกระบวนการของความคิดและกระบวนการของสติปัญญา(การตัดสิน)

ดังนั้น การคิดว่าหัวใจเป็นที่ตั้งอยู่ของคุณลักษณะเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิด หัวใจเป็นเพียงอวัยวะทางร่างกาย ซึ่งควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย การหายใจจะหยุดเมื่อหัวใจหยุดทำงาน การหายใจเป็นเพียงกระบวนการทางสรีระศาสตร์ที่เป็นอัตโนมัติ เพื่อรับเอาออกซิเจน ซึ่งจำเป็นสำหรับการหล่อเลี้ยงร่างกายตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังอาศัยอยู่ภายใน ดังนั้น การหายใจไม่ได้ดำรงความเป็นชีวิตด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นเพียงกระบวนการหล่อเลี้ยงชีิวิต

ดวงวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่มีร่าง ไม่สามารถเห็นด้วยตาของกายเนื้อ แต่สามารถรับรู้ได้ด้วยดวงตาที่สูงส่ง (เรียกว่า "ดวงตาที่สาม" เป็นความรู้) ในการเข้า "ฌาน" ในสภาวะของ ราชโยคะ



สถานที่อยู่ดั้งเดิม



 

โลกวิญญาณ
โลกวิญญาณ เป็นที่อยู่ที่แท้จริงซึ่งดวงวิญญาณจากมา เพื่อลงมาเล่นบทบาทในบทของตนในโลกที่มีตัวตน เรียกว่า "ปรโลก" หรือ "พารามธรรม" (ที่อยู่อาศัยสูงสุด) ถูกเรียกว่า โลกที่ปราศจากร่าง หรือ โลกวิญญาณ ด้วย เป็นอาณาเขตสูงสุด ตั้งอยู่ไกลโพ้นที่ปราศจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ ในความเป็นจริงไกลพ้นไปจากทุกสิ่ง ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาแม้จะมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ ช่วย 

ในโลกวิญญาณนี้เอง ที่ดวงวิญญาณทั้งหมดอาศัยอยู่ก่อนที่จะจากมาเล่นบทบาทในละครบนโลกของพวกเขา ซึ่งเมื่อมีใครตายก็มักจะพูดกันว่าไปสู่ปรโลก จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ความจริงว่า "ปรโลก" หรือ "พารามธรรม" เป็นที่อยู่อาศัยของดวงวิญญาณทั้งหมด 

พารามธรรม คือที่ทีแผ่ซ่านไปด้วยธาตุที่หก ซึ่งเป็นแสงไม่มีชีวิตละเอียดอ่อนเป็นสีแดงทองเลือดนก ซึ่งมีประกายเจิดจ้าและถูกเรียกว่า "บราห์ม" ด้วยเหตุนี้เองจึงถูกเรียกว่า "บราห์มโลก" (โลกที่มีธาตุ "บราห์ม") ธาตุ "บราห์ม" นั้นแตกต่างจาก "บราห์มา" และก็แตกต่างจากพระเจ้าด้วย 

ดวงวิญญาณที่อยู่ในโลกวิญญาณถูกกำหนดแบ่งแยกไว้เป็นกลุ่มอย่างดีและลงมายังโลกตามลำดับอย่างแน่นอนและมีระเบียบ ที่จุดสูงสุดของโครงสร้างของกลุ่มดวงวิญญาณ คือ ดวงวิญญาณสูงสุด ตัวท่านเองคือพระเจ้าผู้เป้นพ่อ ผู้ซึ่งรู้จักกันในชื่อหลากหลาย เช่น ขีว่า ยะโฮวา อัลล่าห์ และ อื่น ๆ ชื่อของที่อยู่ที่แท้จริงของดวงวิญญาณ คือ ปรโลก หรือ โลกวิญญาณ นั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามันคือบ้านของดวงวิญญาณทั้งหมดด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นคงจะไม่ถูกเรียกว่า โลก โลกหนึ่งด้วย

ในพารามธรรมนั้นไม่มีสสารวัตถุที่หยาบ เมื่อไม่มีสสารก็ไม่มีการกระทำใด ๆ ทุกชนิด ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะนิ่งสงบอยู่ชั่วคราว หรือ สภาพที่พักผ่อนอยู่ ความปิติ ความสุข และอารมณ์อื่น ๆ ก็ไม่ปรากฏอยู่เช่นกัน ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าอะไรก็ตาม เป็นที่รู้จักกันในบามของ "โลกแห่งความเงียบ" ด้วยเช่นกัน (สันติธรรม) ณ ที่นี่ ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะของ "มุคตี" สภาวะของการปลดปล่อยในเป็นอิสระ หรือ เรียกว่า "สภาวะหลุดพ้น" หรือ "กู้ให้กลับคืนมาให้ดีเช่นเดิม" ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า "มุคตีธรรม" (โลกของการหลุดพ้น) ด้วย

ดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกดวงอยู่ในสภาวะของความสงบและปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ในบ้านเกิดดั้งเดิมของตน คือ พารามธรรม และนี่เองที่ดวงวิญญาณมนุษย์ทุก ๆ ดวงบนโลกที่มีตัวตนนี้ ปราถนาจะได้ความสงบซึ่งเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของตน






อาณาเขตละเอียดอ่อน (Subtle World)
ใต้พารามธรรมนั้นคือ โลกละเอียดอ่อน ที่ซึ่งมีเทพละเอียดทั้งสาม คือ บรา์ห์มา วิษณุ และชางก้า อาศัยอยู่ในอาณาเขตละเอียดอ่อนของตน เทพเหล่านี้ไม่มีร่างที่เป็นกายเนื้อเหมือนพวกเราแต่เป็นกายละเอียด ร่างที่มีแสงสว่างหรือกายทิพย์ โลกนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งการเคลื่อนไหว ณ ที่นี่เทพที่มีร่างละเอียดมีการกระทำและสนทนาโดยไม่ได้ใช้เสียงเหมือนกับนักแสดงที่แสดงในภาพยนต์ใบ้ มีเพียงแต่การเคลื่อนไหวไม่มีเสียง โลกนี้สามารถเห็นได้ด้วยดวงตาที่สามเท่านั้น

โลกวัตถุ
ส่วนล่างสุดของภาพจะแสดงให้เห็นโลกที่มีตัวตนของมนุษย์ ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ โลกที่เป็น สนามของการกระทำ (Karma Kshetra) ที่ซึ่งดวงวิญญาณใช้ร่างที่เป็นวัตถุธาตุของกระดูกและเลือดเนื้อเป็นเครื่องมือเพื่อเล่นบทบาทของตน ในโลกนี้มีทั้งการเคลื่อนไหวและการใช้เสียง มันถูกเรียกว่า โลกแห่งคำพูด ชีวิตที่ดวงวิญญาณใช้ในโลกนี้ จะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตและการกระทำในปัจจุบัน หลักการคือ ท่านปลูกอะไร ท่านก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น จะใช้เป็นกฏในโลกนี้ ที่นี่ดวงวิญญาณมีประสบการณ์ของความสุขและความทุกข์ ความพอใจ และความเจ็บปวดโดยผ่านร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุนี้


สามโลก กล่าวคือ โลกวัตถุ อาณาเขตละเอียดอ่อนและ โลกที่ปราศจากร่าง (เราอาจเรียกสามโลกนี้ว่า Talkie Movie และ Silent ตามลำดับ) รวมทั้งหมดก่อตั้งเป็นจักรวาล หรือ ตรีโลก



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ





Tuesday, April 23, 2013

การทำงานของดวงวิญญาณ





ดวงวิญญาณมีระบบการทำงานเรียกว่า จิตใจ สติปัญญา และ สันสการ์(แนวโน้มหรือรอยประทับหรือพลังที่ซ่อนเร้น) ปัจจุบันมนุษย์ไม่ใส่ใจที่จะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างจิตใจและวัตถุ ดังนั้นในการตอบคำถามว่า "จิตใจคืออะไร" (What is mind??)  เขาตอบทันทีว่า "มันมีความสำคัญอะไรนักหรือ?" (What does it matter??) และเมื่อมีการถามว่า "อะไรสำคัญ" (What is matter??) ก็มีคำตอบสั้น ๆ ว่า "ไม่เป็นไร" (Never mind) เขาแทบไม่รู้เลยว่าทัศนคติทั้งหมดต่อชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถูกต้องของสองสิ่งที่มีผลต่อกันนั่นคือ จิตใจ และ วัตถุ (Mind & Matter)

องค์ประกอบและหน้าที่ของดวงวิญญาณ
"จิตใจ" เป็นขบวนการของดวงวิญญาณที่ทำหน้าที่คิด จิตใจนั่นเองที่คนใช้ในการสร้างภาพ คิด และสร้างสรรค์ความคิด ความคิดทั้งหมดเกิดขึ้นในจิตใจ กระบวนการความคิดมีพื้นฐานอยู่บนความปรารถนา แรงกระตุ้น และ ความรู้สึกทั้งหมด ความเร็วของจิตใจเร็วที่สุดจนไม่มีอะไรเทียบได้ มันสามารถไปถึงทุกแห่งหนได้ในทุก ๆ เวลา... เพียงแต่คิด (หรือเรียกว่าการโลดแล่นท่องไปในจินตนาการ) ก็สามารถจะพาคน ๆ หนึ่ง กลับไปยังอดีตที่นานแสนนาน หรือ สถานที่ที่ไกลที่สุดโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย....





ความคิดเป็นพลังที่ละเอียดอ่อน ความคิดอยู่เหนือเครื่องกีดขวางของเวลาและระยะทาง ไม่ถึงหนึ่งวินาทีจิตใจก็สามารถไปยังอดีตหรือนาคต รับความรู้สึกนั้นอีกครั้งหนึ่งและรับประสบการณ์เหมือนที่เคยมี ณ ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุขตามแต่กรณีที่เคยเป็น เพียงแต่เขานั่งอยู่ในห้อง มนุษย์สามารถคิดถึงดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสงที่มันจะเดินทางจากดวงอาทิตย์มาถึงเขาได้ จิตใจนั้นแตกต่างจากหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะของร่างกาย ซึ่งหล่อเลี้ยงให้เลือดเกิดการหมุนเวียน จิตใจไม่ใช่อวัยวะทางกายแต่เป็นหน่วยงานของดวงวิญญาณ

"สติปัญญา" เป็นขบวนการซึ่งแสดงเหตุผลและการแยกแยะของดวงวิญญาณ.... มันรับรู้ เ้ข้าใจ แสดงเหตุผล แยกแยะและตัดสิน สติปัญญานั้นจะต้องทำความเข้าใจว่ามันแตกต่างจากมันสมองซึ่งเป็นอวัยวะของร่างกาย มันสมองเป็นตัวเชื่อมของประสาททั้งหมดและรับใช้ในฐานะที่เป็นแผงควบคุมของดวงวิญญาณที่จะเป็นตัวนำในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย....สติปัญญาไม่ใช่อวัยวะของร่างกาย แต่เป็นขบวนการตัดสินของดวงวิญญาณ

"สันสการ์" เป็นขบวนการรับรอยประทับที่การกระทำนั้นได้เสร็จสิ้นไปแล้วและทิ้งรอยไว้บนดวงวิญญาณ มันสร้างแนวโน้ม อารมณ์ ความรู้สึก ลักษณะเฉพาะบุคคล นิสัย ความคิดของดวงวิญญาณขึ้นอยู่กับสันสการ์ สันสการ์เป็นตัวกำหนดลักษณะความเป็นบุคคลของแต่ละคนทั้งหมดไว้ด้วย

จิตใจ สติปัญญา และ สันสการ์ ไม่ได้แยกห่างจากดวงวิญญาณ
กระบวนการทั้ง 3 ของดวงวิญญาณมีชื่อว่า จิตใจ สติปัญญา และสันสการ์ ไม่ได้แยกจากดวงวิญญาณ นี่เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมของดวงวิญญาณ เป็นมรดกและพลังอำนาจที่กระทำการ ซึ่งทำให้มันมีชีวิตและกลายเป็นสิ่งที่มีความนึกคิด แตกต่างจากสสาร ซึ่งไม่มีความนึกคิด การทำงานของความปราถนา การพิจารณา การตัดสินและการมีประสบการณ์ไม่สามารถทำได้โดยธาตุธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึกซึ่งประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายมนุษย์

ดังนั้น ความคิดและสติปัญญา ซึ่งแสดงการทำงานนี้ ไม่ใช่อวัยวะของร่างกาย ความคิดและการเข้าใจว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณ" ก็แสดงด้วยความคิดและสติปัญญา นั่นคือ พลังอำนาจของความคิด ความเข้าใจหรือประสบการณ์ เป็นบทบาทที่สมบูรณ์ทั้งหมดของดวงวิญญาณ ถ้าทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุ มันก็ไม่สามารถที่จะคิดว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณ" สันสการ์นั้นจะถูกนำไปพร้อมกับดวงวิญญาณ จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง

ตามความเป็นจริง ดวงวิญญาณได้รับสถานภาพในชาติใหม่ที่เกิดจากผลที่ทำไว้ในชาติเกิดที่แล้วมา นี่เป็นเครื่องแสดงว่าสันสการ์ก็ไม่ใช่วัตถุหรือร่างกาย แต่เป็นกระบวนการของดวงวิญญาณ ซึ่งมีอำนาจกำหนดขอบเขตช่วงเวลาและความยาวนานเกี่ยวกับการกระทำในชาติใหม่

เหมือนอย่างเช่นกระแสไฟฟ้า เป็นพลังงานที่ไม่มีความรู้สึก แสดงการกระทำเป็นแสงสว่าง เป็นความร้อน ความเย็นและการเคลื่อนไหว ดวงวิญญาณมีพลังงาน มีความรู้สึก แสดงการกระทำต่าง ๆ เป็นความปรารถนา ความคิด ประสบการณ์ (ขบวนการนี้เรียกว่า จิตใจ) รวมทั้งพิจารณาแยกแยะ และตัดสิน (ขบวนการนี้เรียกว่า "สติปัญญา")

กระบวนการของความคิด
บนพื้นฐานของสันสการ์ ก็เกิดความคิด ความคิดมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปสู่การกระทำ เมื่อความคิดเกิดขึ้นมีทางเป็นไปได้ 4 อย่างคือ
1. ความคิดที่ดีซึ่งอาจจะนำไปสู่การกระทำ
2. ความคิดที่ดีที่ไม่ได้นำไปสู่การกระทำ
3. ความคิดที่ไม่ดีที่อาจจะนำไปสู่การกระทำ
4. ความคิดที่ไม่ดีที่อาจจะไม่นำไปสู่การกระทำ
แต่ละชนิดจะนำไปสู่การกระทำหรือไม่นำไปสู่การกระทำขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สติปัญญาจะเข้ามาทำหน้าที่ดำเนินการและตัดสินใจ สถานการณ์ที่ทำไปจะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานของดวงวิญญาณ มาตรฐานนั้นหรือรอยประทับนั้นเป็นที่รู้กันในนามของ "สันสการ์" สันสการ์นี้ก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของความคิดที่จะตามมา และ เป็นวงจรที่เริ่มหมุนไป

ทำไมนิสัยจึงเปลี่ยนได้ยาก??
รูปแบบของสันสการ์เปรียบได้กับการขุดหลุม ยิ่งเราขุดมากเท่าใดหลุมก็จะลึกมากเท่านั้น การกระทำเมื่อถูกทำซ้ำ ๆ หลายครั้ง ก็จะกลายเป็นนิสัยหรือธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสันสการ์ ยิ่งเรามีความหมกมุ่นอยู่กับนิสัยใดเป็นพิเศษ นิสัยนั้นจะมีกำลังที่เข้มแข็งและกลายเป็นสันสการ์ที่ลงรากลึก 
ผู้คนพบกับความยากลำบากที่จะเลิกนิสัย การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เล่นการพนัน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในดวงวิญญาณ นิสัยของชีวิตนี้ก็จะเป็นนิสัยของชีวิตหน้า ในการเกิดครั้งต่อไป นิสัยของชีวิตที่ผ่านมาก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ

รูปแบบวงจรของกระบวนการความคิด
การส่งผลต่อกันและกันของความคิด การกระทำและสันสการ์เป็นไปตามรูปแบบของวงจร ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่กิเลสคืบคลานเข้ามา สันสการ์ของดวงวิญญาณก็จะกลายเป็นสันสการ์ที่มีกิเลสและความมีกิเลสก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลของการสะสมด้วยวงจรอันเป็นธรรมชาติของกระบวนการความคิด แม้แต่สติปัญญา ก็ยอมจำนนต่อพลังอำนาจของสันสการ์ ทั้งที่มีสติปัญญา รู้คิด.... มนุษย์ก็ยังกระทำความผิด
ดังนั้น สติปัญญาก็ไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในสันสการ์ของดวงวิญญาณได้ การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถบรรลุความสำเร็จโดยผ่าน "ราชโยคะ" ซึ่งชำระล้างและเพิ่มกำลังให้กับสติปัญญา



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Monday, April 22, 2013

ทำไมต้องมีความรู้เกี่ยวกับดวงวิญญาณ




การขาดความรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ทั้งหมดทุกข์ทรมานและไม่มีความสุข ทุกวันนี้มนุษย์ทั้งหมดเข้าใจว่า ตัวเขาคือร่างกาย บางครั้งก็เข้าใจว่าตัวเขาคือความรู้สึก บางครั้งก็เข้าใจว่าตัวเขานั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นอมตะที่เรียกว่า ดวงวิญญาณ (SOUL) ซึ่งอาศัยอยู่ภายในร่างกายและใช้ร่างกายทำสิ่งต่าง ๆ


ความไม่รู้เรื่องดวงวิญญาณของมนุษย์ทำให้เกิดสำนึกแห่งการเป็นร่างและใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับวัตถุและสิ่งที่สัมผัสได้ เขาตั้งเป้าจะยกระดับความเป็นอยู่ในชีวิต โดยปราศจากความเข้าใจ สิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรก ทำไมสภาพร่างกาย สภาพจิตใจและสภาพของสิ่งแวดล้อมของคน 2 คนจึงแตกต่างกันมากตั้งแต่แรกเกิด เขาได้สังเกตว่า บางคนประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายในทุก ๆ ย่างก้าวของชีวิต ขณะที่คนอื่น ๆ ทั้งที่ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ การตายซึ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไปและไม่มีเวลาที่แน่นอน ทำให้เขาสับสน จิตใต้สำนึกของพวกเขาถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องด้วยความกลัวต่อความตาย ซึ่งเขาคิดว่ามันจะตัดสิทธิเขาจากทุกสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ด้วยความรัก


ทุก ๆ คนที่เกิดมา ถามว่าคนมาจากที่ใดและ หลังจากตายแล้วจะไปที่ไหน? มนุษย์ทนทุกข์ทรมานอย่างมากด้วยสาเหตุจากความหายนะทางธรรมชาติและสงครามที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาสับสนยิ่งขึ้นไปอีก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ เป็นเหตุให้เขาต้องขบคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามันเกิดจากอุบัติเหตุโดยบังเอิญ เกิดจากโชคหรือมีกฏควบคุมสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอนตายตัว







 พวกเขาก็สงสัยด้วยว่า "เขาคือใคร ?" เขาเป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ? หรือเป็นตัวตนที่แท้จริงกันแน่?? ถ้ามนุษย์และโลกเป็นเพียงสิ่งลวงตา มนุษย์ก็ไม่ได้มีอยู่และก็ไม่มีสิ่งใดมีอยู่รอบ ๆ ตัวเขา ..... ซึ่งไม่มีเหตุผลเลย ทำไมคน ๆ หนึ่งจะต้องทำความดี ถ้าโลกนี้ไม่เป็นจริง ??? ทำไมต้องศึกษาเล่าเรียน? ทำไมต้องมีเป้าหมายและทำให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่อที่จะได้รับความสมบูรณ์พร้อม เพราะมันจะถูกทำลายล้างด้วยความตายอย่างโหดร้ายในตอนจบ ถ้าปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติของจักรวาล รวมทั้งตัวเขาเป็นความเป็นจริงโดยแท้ แล้วทำไมทุกสิ่งจึงถูกทำลายไปและไม่ยั่งยืนภายใต้กฏวงจรของการเกิดและการตาย

หากประเด็นพื้นฐานของชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง การมีสำนึกว่าตนเองเป็นร่าง ก็จะต้องมีขีดจำกัด เช่น ในอดีตกาลที่คนทั้งไปมีการเข้าใจผิดเพราะเพียงมองด้วยตาแล้วตัดสินว่าดวงอาทิตย์นั้นโคจรรอบโลก แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ เช่นเดียวกัน มนุษย์ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริง ความไม่รู้ก็นำเขาไปสู่การเข้าใจผิดว่าร่างกายที่มีอยู่นั้นเป็นทุกสิ่งและเมื่อร่างกายถูกทำลายทุกสิ่งก็จบสิ้น นี่เป็นผลที่ทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานก็ตามมา



ไม่ต้องประหลาดใจเลยว่า ถีงแม้พวกเขาจะพยายามอย่างหนัก พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากความทุกข์และการทรมานในชีวิตได้ เพราะความรู้ที่ไม่ถูกต้องในตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาต้องรู้ว่าเขาคือ...ดวงวิญญาณ รู้การทำงานของดวงวิญญาณและรู้บทบาทของดวงวิญญาณ ในละครโลกนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาใช้เพื่อจะทำให้เกิดความสงบ ความพอใจ ความสุข และความเป็นอิสระในชีวิต









จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ



คุณคือใคร ?


ความไม่รู้จักตนเองของมนุษย์ พิสูจน์ได้โดยคำตอบที่มากมายและหลากหลาย ต่อคำถามที่ว่า "คุณคือใคร ?" เมื่อพวกเขาได้ถูกเชิญให้แนะนำตนเอง บางคนบอกชื่อของร่างของเขา ซึ่งเราจะได้เห็นในตอนท้ายว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เป็นเพียงร่างกายที่ประกอบไปด้วยเนื้อและกระดูก บางคนก็เปิเผยอาชีพ ชื่อเสียง อย่างเช่น หมอ ทนายความ ฯลฯ เราทุกคนรู้ว่าบุคคลนั้นมีอยู่ก่อนที่เขาจะยืดอชีพการงานนั้น และ เขาก็ยังอยู่ต่อไป แม้ว่าเขาจะเลิกอาชีพนั้นไปแล้วก็ตาม

แม้กระนั้น ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่แนะนำตนเองโดย เชื้อชาติ เพศ สัญชาติ อย่างที่พูดกันว่า คนนิโกร เพศหญิง หรือ ชาวอินเดีย ซึ่งก็เป็นคำตอบต่อคำถามว่า "คุณคือใคร ?" ที่ผิดอีกเช่นกัน เพราะว่าคำตอบเหล่านี้ อ้างถึงรูปร่างหน้าตาหรือประเทศของบุคคลที่เกี่ยวข้อง

"ฉัน" และ "ของฉัน" ("I" AND "MY") 
คำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามที่ว่า "คุณคือใคร ?" ก็คือ "ฉันคือดวงวิญญาณ" ความแตกต่างระหว่างร่างกายและดวงวิญญาณสามารถแสดงให้เห็นได้โดยการใช้คำว่า "ฉัน" และ "ของฉัน" ทั้งสองคำนี้ แสดงความหมายที่แตกต่างอย่างชัดเจน "ฉัน" หมายถึง ดวงวิญญาณ และ "ของฉัน" ใช้เมื่อดวงวิญญาณแสดงความเป็นเจ้าของในทรัพย์สมบัติ ซึ่งร่างกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นสมบัติของดวงวิญญาณ

สมมุติว่า ท่านอาศัยอยู่ในกระท่อม ท่านก็จะพูดว่า "นี่เป็นกระท่อมของฉัน" หรือ "กระท่อมนี้เป็นของฉัน" ท่านจะไม่พูดว่า "ฉันเป็นกระท่อม" เช่นเดียวกัน ท่านจะกล่าวถึงอวัยวะต่าง ๆของร่างกายของท่านว่าเป็น "ร่างกายของฉัน"




 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ใช่ร่างกาย แต่ร่างกายเป็นสมบัติของท่าน หรือ อีกความหมายหนึ่ง ร่างกายเป็นกระท่อมซึ่งดวงวิญญาณอาศัยอยู่ภายใน คำกล่าวง่าย ๆ นี้ "ฉันเป็นดวงวิญญาณ" และ ร่างกายที่ฉันอาศัยอยู่ภายในนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวของฉัน" เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนถึงความแตกต่างของสองสิ่ง

อะไรคือดวงวิญญาณและอะไรคือจิตใจ ?
WHAT IS SOUL AND WHAT IS MIND?





หากร่างกายเปรียบเสมือนดั่งเช่นรถยนต์ ดวงวิญญาณก็คือคนขับรถที่คอยบังคับรถยนต์ให้วิ่งไป ร่างกายนั้นไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นดวงวิญญาณที่บังคับใช้มัน ดวงวิญญาณอาศัยอยู่กึ่งหลางระหว่างคิ้ว สามารถจะคิดและตัดสินใจ กายเนื้อและกระดูกผสมผสานกับดวงวิญญาณแสร้างชีวิตให้มวลมนุษย์

ดวงวิญญาณแสดงการกระทำโดยผ่านร่างกาย
คำว่า "ฉัน" และ "ของฉัน" เป็นการแสดงออกทางคำพูดเป็นคำพูดของพลังที่มีอารมณ์และความคิดที่เรียกว่า ดวงวิญญาณ และ เป็นการแสดงการกระทำของดวงวิญญาณโดยผ่านร่างกายที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด เช่นเดียวกับคนที่พูดและฟังโดยใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือ คนเป็นสิ่งที่แยกจากโทรศัพท์  เช่นกัน ... ดวงวิญญาณก็เป็นสิ่งซึ่งแยกจากร่างกาย ความสัมพันธ์ระหว่างดวงวิญญาณและร่างกายสามารถอธิบายได้โดยใช้ตัวอย่างของคนขับรถยนต์และรถยนต์

เหมือนคนขับรถยนต์ที่ขับรถยนต์ไป ดวงวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายและก็พาร่างกายไป รถยนต์นั้นอาจจะดีมาก แต่ถ้าคนถือพวงมาลัยไม่รู้จักการบังคับให้ถูกต้องเหมาะสม เขาก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่รู้ระบบการทำงานที่ถูกต้องของดวงวิญญาณและร่างกาย... เราก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุในชีวิตได้ ซึ่งจะมีผลตามมาเป็นการทนทุกข์ทรมานเช่นกัน ในความเป็นจริง เป็นดวงวิญญาณนั่นเองที่แสดงการกระทำทั้งหมดผ่านร่างกาย ร่างกายและอวัยวะเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำตามคำสั่งของดวงวิญญาณ

เพื่อที่จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น เช่น ปากไม่พูดด้วยตัวของมันเอง... แต่เป็นดวงวิญญาณที่พูดโดยผ่านปาก ซึ่งเป็นอวัยวะของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ดวงวิญญาณจึงเห็น ได้ยิน รู้สึก และ กระทำการโดยผ่านร่างกาย กระบวนการเหล่านี้แสดงโดยผ่านเครื่องมือของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของการเห็น เสียง คำพูด กลิ่น และการสัมผัส ประสาทเหล่านี้ทำงานโดยผ่านอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับมันในร่างกาย โดยได้รับสารซึ่งส่งผ่านมาทางสมอง ดวงวิญญาณจะพิจารณา ตัดสิน วางแผน คิดและจดจำ ด้วยการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

ดวงวิญญาณได้รับประสบการณ์โดยผ่านร่างกาย
ร่างกายนี้ทำด้วยธาตุทั้ง 5 ที่รู้จักกันดี คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมและอากาศ ธาตุที่เด่นชัดเหล่านี้ มีธาตุทุก ๆ ธาตุที่รู้จักกันทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนประกอบ ร่างกายเป็นระบบกลไกของสรีระวิทยา ซึ่งหมายความว่า ดวงวิญญาณไม่เพียงแต่กระทำการเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับประสบการณ์ซึ่งเป็นผลของการกระทำ ในรูปของความพอใจและความเจ็บปวดด้วย

สสารเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถคิดและรู้สึกได้ ความจริงเป็นดวงวิญญาณนั่นเอง ซึ่งมีประสบการณ์โดยผ่านร่างกาย ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังตัวอย่างเช่น สมมุติว่า คนหิวกำลังรับประทานของหวานที่อร่อยมาก แต่ขณะที่อาหารอยู่ในปาก ทันใดนั้น ... เขาได้รับข่าวที่เศร้ามาก ความหิวและรสชาติที่เขากำลังได้ลิ้มรสอย่างอร่อยอยู่นั้นได้หายไปในทันที นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ลิ้นที่สัมผัสความเอร็ดอร่อย แต่เป็นดวงวิญญาณนั่นเอง ซึ่งรับรสโดยผ่านลิ้นซึ่งเป็นอวัยวะทางร่างกาย

มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระลึกว่า ดวงวิญญาณนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบที่จะตามมาจากการกระทำใด ๆ นี่เป็นเหตุผลที่ช่วยสนับสนุนว่า "มหาตมะ" (ดวงวิญญาณที่สูงส่ง) "บุญญาตมะ" (ดวงวิญญาณที่สูงศักดิ์) และ "บาปตมะ" (ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยบาป) นั้นใช้สำหรับดวงวิญญาณ ไม่ได้ใช้สำหรับร่างกาย ความพิการใด ๆ ทางร่างกายของเด็กเกิดใหม่ ได้พิสูจน์ความจริงว่า ดวงวิญญาณไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการกระทำ เพราะว่า ดวงวิญญาณจะได้รับร่างใหม่ตามกรรมที่ทำมาในชาติก่อน (ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของการกลับมาเกิดของดวงวิญญาณจะมีการอธิบายในตอนท้าย)

มนุษย์ประกอบด้วยดวงวิญญาณและร่างกาย ไม่ใช่มีพียงร่างกายเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ถูกเรียกว่า "ชีวาตมา"(Jeevatma) ร่างกายคงอยู่อย่างมีชีวิตตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังคงอาศัยอยู่ เป็นที่น่าสนใจที่จะต้องสังเกตว่า การเข้ามาอยู่ของดวงวิญญาณจะหล่อเลี้ยงการทำงานของร่างกายที่มีกระบวนการมากมายโดยอัตโนมัติ ดังนั้น กระบวนการหายใจจึงเกิดอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะที่มนุษย์อยู่ในการนอนหลับที่ลึก

 เมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างไป เหตุการณ์นั้นเรียกว่า "ตาย" แล้วก็มีการพูดว่า "แสงได้จากไป" หรือ "ดวงวิญญาณได้เดินทางไปแล้ว" หลังจากการตาย การแยกสลายในร่างกายก็เริ่มขึ้นและก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็น ร่างกายนั้นถูกนำไปใช้ในหนทางที่แตกต่างกันโดยบุคคลที่แตกต่างกัน ร่างกายจะมีค่า และมีความสำคัญตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังอาศัยอยู่ เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็จะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าปราศจากกระแสไฟฟ้า ร่างกายนั้นหมดประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง ถ้าปราศจากดวงวิญญาณ ด้วยเหตุนี้....ดวงวิญญาณและร่างกายทั้งสองนั้น มีความจำเป็นต่อกันและกัน




ในสนามแห่งการกระทำ ซึ่งเรียกว่า "โลก" ร่างกายนั้นถูกพิจารณาว่าต่ำกว่าดวงวิญญาณในแง่ของคุณค่า ร่างกายนั้นเสื่อมสลายได้ ขณะที่ดวงวิญญาณนั้นเป็นอมตะ ร่างกายนั้นสร้างจากเซลล์ที่เสื่อมสลายได้ ดวงวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอันเป็นอมตะ ไม่สามารถทั้งสร้างและทำลายได้ ดวงวิญญาณอยู่อย่างเป็นจริงอย่างต่อเนื่องและอย่างสมบูรณ์

ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นคือ ดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกระทบด้วยกาลเวลา วงจรชีวิตของเขาก็เป็นความจริงด้วย ไม่ใช่สิ่งลวงตา ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน คือ ถูกจำกัดด้วยเวลาและเป็นอมตะ...เสื่อมสลายและเป็นนิรันดร

ดวงวิญญาณมีอยู่จริงหรือ ?
ผู้ช่างสังเกต อาจมีคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของดวงวิญญาณ และคิดว่า ชีวิตเป็นคุณสมบัติของการรวมตัวของสสารที่เป็นเคมี มนุษย์เกิด เติบโต แล้วก็ตายนั้นเป็นสิ่งลี้ลับ ซึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมองและจิต ได้ประสบความสำเร็จในการพิสูจน์ว่า ชีวิตคือการดำเนินสืบต่อกันไปของการคงอยู่และการตาย 

มีการอธิบายการไม่กลับมาเกิด และยอมรับอย่างผิด ๆ ซึ่งการตาย ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดหักเห ความจริงที่พิสูจน์ว่าดวงวิญญาณคงอยู่ ได้มีการค้นคว้าเมื่อไม่นานมานี้ โดยศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับประสาทรับความรู้สึกพิเศษ (ญาณ) (อภิจิตวิทยา) นักอภิจิตวิทยาได้ยืนยันการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีสภาวะการคงอยู่ที่สมบูรณ์และไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ๆ ซึ่งเรียกว่า ดวงวิญญาณว่ามีจริง ซึ่งมีความแตกต่างจากร่างกายมนุษย์และสมอง (และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "อาตมา" (ATMA) ดวงวิญญาณ หรือ ROOH ในภาษาทางศาสนา)




บทสรุปของนักอภิจิตวิทยาเกี่ยวกับดวงวิญญาณ หรือ การคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีสภาวะการคงอยู่ที่สมบูรณ์และไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ๆ นี้ ได้สรุปหลังจากทำการศึกษาค้นคว้า กรณีที่เกิดขึ้นจริงของเด็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ผู้ซึ่งเล่าเรื่องของเหตุการณ์ชีวิตในชาติก่อนของพวกเขาอย่างถูกต้อง ถ้าปราศจากการยอมรับ การคงอยู่ของดวงวิญญาณ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายเรื่องประสาทการับรู้พิเศษ หรือให้รายละเอียดความแตกต่างระหว่างสภาวะทางร่างกายและสภาวะทางจิตใจของมนุษย์สองคนที่แตกต่างกัน นับตั้งแต่เกิดได้อย่างน่าพึงพอใจ



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ