Friday, June 28, 2013

การฝึกปฏิบัติ-คำแนะนำ (3)


เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการคิดถึงพ่อชีว่าคือตอนเช้าตรู่ (อมฤตเวลา) กระแสรอบ ๆ ตัว ณ เวลานี้บริสุทธิ์มากกว่าเวลาอื่น ๆ นิสัยของการตื่นนอนแต่เช้าก็สามารถพัฒนาได้อย่างง่าย ๆ จะไม่ทำให้เหนื่อยอ่อนหรืออ่อนเพลียในตอนกลางวัน ดวงวิญญาณจะรู้สึกกระฉับกระเฉงและตื่นตัวมากกว่า มีความจำเป็นอย่างมากที่จะเพาะนิสัยของการตื่นขึ้นตอนตี 4 นิสัยนี้สามารถพัฒนาด้วยความมุ่งมั่นเพียงเล็กน้อย

มีสามสภาวะของการคิดถึงพระเจ้า

(ก)  สภาวะขั้นต้น
ในสภาวะของผู้เริ่มต้นเมื่อคิดถึงพระเจ้าชีว่า แต่มีการขัดจังหวะ เนื่องจากความคิดทางโลก การเข้าแทรกแซงนี้มีขึ้นเพราะว่าการมีอยู่ของกิเลสทั้งห้าของ กามราคะ ความโกรธ ความผูกพันยึดติด ความโลภ และความหยิ่งทะนง

(ข)  สภาวะระดับกลาง
สภาวะนี้ได้รับเมื่อมีการฝึกฝนในระดับหนึ่ง และมีการควบคุมเหนือกิเลส เมื่อเรานั่งอยู่ในโยคะ ความคิดก็มีเพียงการพิจารณาความรู้ของพระเจ้า และการคิดถึงชีพบาบา ไม่มีความคิดที่เป็นกิเลส หรือเรื่องทางโลก

(ค)  สภาวะไร้ร่างทีสูงที่สุด
สภาวะนี้จะต้องมีความตั้งใจจริงและเต็มไปด้วยศรัทธาที่จะปฏิบัติตามกฏและระเบียบ ในสภาวะนี้ดวงวิญญาณมีสติอย่างเต็มที่ต่อตัวตนที่แท้จริงในรูปของจุดแห่งแสงและพลัง ดวงวิญญาณรู้สึกถึงแสงและพลังของชีพบาบาด้วย ไม่มีร่องรอยของสำนึกของความเป็นร่าง ความปิตินั้นถึงจุดสูงสุด มันไม่สามารถที่จะบรรลุถึงสภาวะนี้โดยไม่ตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ ตื่นขึ้นประมาณตี 4 สำหรับการฝึกฝนราชโยคะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความก้าวหน้าไปถึงสภาวะนี้

จงฝึกฝนอย่างต่อเนื่องคือ
(1)  สำนึกแห่งการเป็นดวงวิญญาณ
(2)  คิดถึงพ่อชีว่าเพียงผู้เดียว
(3)  คิดถึงชีว่าบาบาในตอนกลางวัน และ ก่อนเข้านอน วันรุ่งขึ้นตื่นตอนตี 4 และนั่งอยู่ในการคิดถึง พูดคุยกับบาบา


คำแนะนำ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดูภาพยนต์ เที่ยวกลางคืนและการรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างจิริงจังเพื่อการฝึกที่จะได้รับผลที่ดีที่สุด ให้คิดเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในความรู้ของพระเจ้า

ทุกวันให้นั่งสมาธิ 2-3 นาทีก่อนนอน ตรวอบสอบการกระทำทั้งวันว่ามันอยู่ในประเภท สุกรรม หรือ วิกรรม และมอบการกระทำทั้งหมดให้พระเจ้าเพื่อจะได้รับสติปัญญาที่สูงส่งในวันต่อไป












Tuesday, June 25, 2013

การฝึกปฏิบัติ - คำแนะนำ(2)


การฝึกปฏิบัติ: ในบทนี้จงฝึกปฏิบัติ มานมานาบาฟ (Man Mana Bhava) และ มาฮายาจีบาฟ (Madhyaji Bhava) อย่างต่อเนื่อง นานเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนเช้า

พิจารณาความรู้เกี่ยวกับต้นกัลป จำว่าโลกของเราเป็นโลกที่มีความหลากหลาย ไม่มีมนุษย์สองคนที่เหมือนกัน ดวงวิญญาณทั้งหมดมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นของเขา ดวงวิญญาณจะรักษาบุคลิกภาพอันเป็นส่วนตัวไว้ในสภาวะของการหลุดพ้นด้วยเช่นกัน มันมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะลงมารับร่างและเล่นบทบาทของตนในโลกที่มีตัวตนตั้งแต่ตอนเริ่มต้นที่ลงมายังโลกในสวรรค์

ดวงวิญญาณได้ตกต่ำไปสู่นรกเพราะว่าการกระทำที่ไม่ถูกต้องของตนเอง พระเจ้าชีว่าเป็นผู้กู้ชีวิตให้กับคนบาปทั้งหมด เรากำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของชาติสุดท้ายของเรา ดวงวิญญาณจะต้องเผาบาปที่ได้ทำมาตั้งแต่ยุคทองแดงโดยใช้ไฟของโยคะ กิเลสเกิดขึ้นจากสำนึกแห่งความเป็นร่าง ให้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอในการอยู่ในสภาวะที่เป็นดวงวิญญาณให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ตามแนวทางราชโยคะ

ราชโยคะนี้สามารถฝึกได้แม้แต่หญิงชรา เด็ก ผู้ไม่มีการศึกษาและคนป่วย ดวงวิญญาณทั้งหมดสามารถฝึกฝนและได้รับความสงบ โยคะซึ่งเป็นการคิดถึงพระเจ้าพ่อชีว่าที่เต็มไปด้วยความรัก มีประโยชน์อย่างมากต่อความเจ็บป่วย ผู้ป่วยสามารถคิดถึงพระเจ้าชีว่าได้อย่างง่ายดายและได้รับความสงบ ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจะลดลงอย่างมากด้วยการคิดถึงพระเจ้า

สหจะราชโยคะ แตกต่างจาก หฐโยค (Hatha Yoga) หฐโยคะมีการออกกำลังกายและท่าทางซึ่งอาจเกิดโทษได้ ซึ่งมีการฝึกหัดทางจิตด้วยซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามในระดับซุปเปอร์แมน มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะทำได้ ดังนั้น หฐโยคะจึงมีความยากเป็นอย่างมาก คนป่วย ผู้หญิง เด็ก ๆ และคนที่อ่อนแอไม่สามารถจะฝึกหัดได้ หฐโยคะบางส่วนอาจจะป้องกันโรคหรือสุขภาพที่ไม่ดี แต่มันก็ไม่มีการบรรลุผลทางดวงวิญญาณอย่างแท้จริง

ราชโยคะที่สอนโดยพระเจ้าพ่อชีว่า ผู้ฝึกฝนจะได้รับพลังจากพระเจ้าชีว่า และเขาก็ไม่ต้องขึ้นอยู่กับพลังของความต้องการของเขาเอง ผู้อ่อนแอจะพัฒนาความคิดและการตัดสินใจให้เข้มแข็งขึ้น ทำให้เขาสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น และนำเขาไปสู่สภาพสูงสุด คือ การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต (Jeewan Mukti) มันง่ายมากและสามารถฝึกฝนได้ทุกคน

คำแนะนำ

จดบันทึก หาเวลาที่จะไตร่ตรองความรู้ของพระเจ้าและฝึกสำนึกว่าเราคือดวงวิญญาณ ทำตามกฏของการรับประทานอาหารมังสะวิรัติ หลีกเลี่ยงการดูภาพยนต์ เที่ยวไนท์คลับและความบันเทิงที่ไร้สาระ ตื่นขึ้นในตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในตอนเช้าตรู่นั้นดีที่สุดสำหรับการศึกษาและฝึกราชโยคะ
ใครคือพ่อสูงสุดของท่าน ??
รูปที่สูงส่งดั้งเดิมของท่านเป็นอะไร ??
ที่ใดคือบ้านที่แท้จริงของท่าน ??
จดจำคำตอบ และ หาประสบการณ์ของความสุขเหนือประสาทสัมผัส
หนทางของความสมบูรณ์พร้อมนั้นเรียบง่าย มีความเมตตาต่อตัวเอง รักษาเป้าหมายที่สูงส่ง ไว้ตรงหน้าท่าน จงเก็บส่วนที่ดีและทิ้งส่วนที่ไม่ดีจากคนอื่นอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ

Monday, June 24, 2013

การฝึกฝน-คำแนะนำ (1)



การฝึกปฏิบัติ : นั่งด้วยการเปิดตาในที่เงียบสงบ จุดธูปหอมแล้วพาความคิดขึ้นไปยังอาณาเขตของแสงที่สูงส่ง (พารามธรรม) ซึ่งอยู่ไกลพ้นออกไปจากดวงอาทิตย์ ดวงดาว ที่ซึ่งความสงบครอบครองอยู่อย่างสูงสุด ให้เชื่อมสติปัญญากับชีพบาบาด้วยความรัก ผู้ซึ่งเป็นดวงวิญญาณสูงสุดที่สว่างรุ่งโรจน์และเป็นผู้ซึ่งมีที่อยู่ในโลกแห่งความสงบนั้น นั่นคือ โลกวิญญาณที่ไร้ร่าง

โปรดสังเกตว่าท่านไม่ต้องคิดถึงพระเจ้าด้วยการท่องบ่นสวดมนต์ ฯลฯ หรือด้วยการคิดซ้ำ ๆ เกี่ยวกับคำศักดิ์สิทธิ์ลึกลับเฉพาะใด ๆ ท่านจะต้องทำตัวท่านให้มั่นคงอยู่ในความเบาสบาย หรือลักษณะที่ละเอียดอ่อน ในการคิดถึงโดยปราศจากการท่องบ่นคำใด ๆ 

การแนะนำความคิดเพื่อการทำสมาธิ
ฉันได้กลับมาตระหนักรู้ว่าตัวฉันเป็นดวงวิญญาณ.....เป็นจุดแหล่งกำเนิดของแสงอยู่กึ่งกลางหน้าผาก ความคิดของฉันเคลื่อนไกลออกไปจากร่างกาย.....ไกลออกไปจากโลกที่มีตัวตน.....ขึ้นไปยังอาณาเขตของแสงที่ยิ่งใหญ่....มีความสงบที่สมบูรณ์ ความนิ่งที่สมบูรณ์.... นี่เป็นบ้านของฉัน....พารามธรรม

ฉันเห็นตัวฉันเองอยู่ตรงหน้าชีพบาบา บาบาเป็นจุดของแสงแผ่กระจายมหาสมุทรของแสง ฉันซึมซับแสงไว้ภายในตัวฉัน.... บาบา มหาสมุทรของความสงบ.... ฉันรู้สึกถึงคลื่นของความสงบ.... ทำให้จิตใจสงบ....สงบเย็น... ทำให้ดวงวิญญาณสงบเงียบ....สภาวะที่เป็นธรรมชาติของฉัน  นั่นคือความสงบ  นี่เองที่ฉันเคยเป็นมาก่อน  และนี่แหละที่ฉันจะเป็นตลอดไป......

ผู้ทรงฤทธิ์บรรจุพลังของท่านให้กับฉัน ...ดวงวิญญาณที่อ่อนแอก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง.... ฉันได้ กลายเป็นตัวของกำลังและพลัง....เป็นตัวของความสงบ.....ของแสง.... ของพลังอำนาจ.... ของความบริสุทธิ์....ของความปิติ


วิธีการที่เอื้อประโยชน์สำหรับวัน
ทำตารางเพื่อบันทึก (Chart) ว่าท่านคิดถึงบาบามากเท่าไร และได้ทำสิ่งไม่ดี หรือพูดคำพูดที่ไม่ดี หรือคิดความคิดที่ไม่ดีใด ๆ หรือไม่ จงสร้างความมั่นคงแน่วแน่ที่จะพัฒนาในวันรุ่งขึ้น จงยึดหลักของกฏของการรับประทานอาหารมังสะวิรัติ การมีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดีที่สุดแน่นอน นั่นคือ การมีชีพบาบาเป็นเพื่อนโดยวิธีการคิดถึงท่าน

Thursday, June 20, 2013

ไฟของโยคะ


เมื่อดวงวิญญาณมีประสบการณ์การเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณสูงสุด ก็ได้รับแรงบันดาลใจให้แบ่งปันสิ่งที่ได้รับมาจากดวงวิญญาณสูงสุดกับผู้อื่น ดังนั้นรูปแบบของการกระทำก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไฟของโยคะก็จะลบล้างบาปในอดีต และเปลี่ยนสันสการ์ของเราอย่างแท้จริง และพลังจากดวงวิญญาณสูงสุดก็ให้กำลังต่อเราที่จะแสดงการกระทำที่บริสุทธิ์ เพื่อที่จะได้สะสมทุนไว้สำหรับอนาคต

ทุก ๆ เมล็ดของการกระทำที่หว่านลงไป ณ เวลานี้เต็มไปด้วยพลังที่ได้รับจากดวงวิญญาณสูงสุด จะนำผลตอบแทนมาเป็นพัน ๆ เท่า ขณะที่มีการกระทำจากดวงวิญญาณมนุษย์คนหนึ่งต่อดวงวิญญาณมนุษย์อีกคนหนึ่ง การให้และการรับมีผลตอบแทนเป็นเพียงหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อเมล็ดของการกระทำนั้นเต็มไปด้วยความรักจากดวงวิญญาณสูงสุดและพลังที่ได้รับจากดวงวิญญาณสูงสุด เมล็ดนั้นก็กลายเป็นเมล็ดที่เต็มไปด้วยพลังที่จะนำผลตอบแทนมาให้เป็นพัน ๆ เท่า ดังนั้น ทุก ๆ การกระทำที่กระทำในขณะที่คิดถึงพ่อสูงสุด เป็นการกระทำซึ่งเราจะได้รับประโยชน์ และประโยชน์ก็เกิดขึ้นทุก ๆ ด้าน พลังโยคะของคน ๆ เดียวมีผลกับผู้อื่นมากมายกว้างขวางเหมือนกับกลิ่นหอมของธูปซึ่งแทรกซึมไปในบรรยากาศทั่วทั้งห้อง


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

การวิเคราะห์การกระทำของเรา

เรามาพิจารณาดูว่าเกิดผลอะไรขึ้นกับการกระทำบ้างในชีวิตประจำวันของแต่ละคน และพยายามทำความเข้าใจว่ามีบาปเกิดขึ้นมากเท่าใด และมีบุญเกิดขึ้นบ้างไหม





ก. การกระทำเพื่อความอยู่รอด
สิ่งแรกในประเภทของการกระทำทั้งหมดจากชีวิตประจำวันของแต่ละคน ตารางเวลาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน ซึ่งรวมถึงการกิน การนอน การทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ ดูแลสุขภาพร่างกายและอื่นๆ อีกมากมาย แต่ละวันเราใช้เวลาหลายชั่วโมงในการกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตนเอง

ข. ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น
ประเภทที่สองมีการกระทำซึ่งทำเนื่องจากความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ทันทีที่เราออกไปทำงาน มันไม่เพียงแต่เพื่อการยังชีพของเราเท่านั้น มันเป็นการเลี้ยงดูครอบครัวของเราด้วยเช่นกัน เมื่อแม่บ้านทำงานบ้าน เธอก็ไม่ได้ทำเพื่อตนเองเท่านั้น แต่มันเป็นการรับผิดชอบต่อผู้อื่น ๆ ในครอบครัวด้วย

ค. การพักผ่อน
ประเภทที่สามของการกระทำเป็นการกระทำซึ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ อย่างมากในสังคมปัจจุบัน และมันก็เป็นการทำตามจิตใจที่เบี่ยงเบนเท่านั้น การกระทำที่เรียกว่าการพักผ่อนอยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด

ง. งานรับใช้
ประเภทที่สี่เป็นประเภทซึ่งมีการกระทำน้อยมาก บางครั้งการกระทำที่ทำเพื่อรับใช้ผู้อื่นไม่ได้รับความใส่ใจดูแลเลย

การวิเคราะห์การกระทำของเรา
ตอนนี้ลองมาดูตารางเวลาของเรา ดูซิว่า อันไหนในสี่ประเภทนี้ที่มีการสร้างบาปและอันไหนที่มีการสร้างบุญ มันเป็นไปได้ในทั้งสี่ประเภทที่จะเป็นบาปหรือบุญก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของการทำเพื่อความอยู่รอดของเรา การกระทำที่เราทำก็อาจจะอยู่บนพื้นฐานของความหลงทะนงตน ความโลภ หรือ เป็นไปด้วยความทะยานอยาก หรือ ความโกรธ ในกรณีของการกระทำเหล่านั้น มันจะไม่เป็นเพียงการกระทำที่เป็นกลาง แต่เป็นการกระทำที่เกิดผลลบ

แม้แต่เรื่องพื้น ๆ ที่เป็นเรื่องของการดูแลร่างกาย มันก็เป็นไปได้ที่ว่ามีความหลงทะนงตน หรือความสูญเปล่าที่เราได้ดูแลร่างกายแห่งวัตถุธาตุนี้ ก็มาอยู่ในประเภทของการสร้างบาปด้วย หรืออาจจะเป็นเพียงการกระทำที่เป็นกลางได้เช่นกัน

เรารู้แล้วว่าร่างกายนี้จะต้องมีการบำรุงรักษา และเราก็จะทำมันด้วยสำนึกแห่งการละวาง และด้วยสำนึกนั้นก็จะไม่มีการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นบุญ แต่มันจะเป็นเพียงขบวนการง่าย ๆ ขจองการกิน การอยู่ การนอน และการดำรงชีพ เพราะว่าเราเป็นเพียงดวงวิญญาณในร่างกายมนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกวัตถุนี้ในสนามของการกระทำนี้ การกระทำบางอย่างเป็นสิ่งจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น เราต้องดูแลร่างกายของเรา แม้กระนั้นมันอาจจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการดูแลร่างกาย แต่จะให้เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์จะทำอย่างไร

ด้วยการอยู่ในสำนึกว่าตัวเองเป็นดวงวิญญาณ และในสำนึกของพ่อสูงสุดของเรา เรารู้ว่าพาหนะที่เป็นร่างกายนี้เป็นเครื่องมือให้เราสามารถทำงานนรับใช้ต่อพ่อผู้สูงสุดของเราได้ ดวงตาทั้งคู่ของเราเราสามารถส่งกระแสของความบริสุทธิ์ ปากของเราเราสามารถให้ข่าวสารที่พ่อให้มา ประสาทรับสัมผัสแต่ละส่วนให้ถือว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องรับผิดชอบ

ในความเป็นจริงเราเป็นเพียงผู้ดูแลร่างกายนี้ และให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำและดูแลร่างกายด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความละวาง และก็อยู่ในสภาวะของสำนึกที่สูงสุดด้วย และการกระทำทุก ๆ การกระทำที่จะกลายเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์

การกระทำประเภทที่สองภายใต้ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เราอาจถูกกระตุ้นด้วยความโลภ ความโกรธ และความผูกพันยึดติด โดยทั้วไป นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วันในทุก ๆ สถานการณ์ แต่ถ้าผู้นั้นเป็นราชโยคี สถานที่ซึ่งเขาทำงานจะเป็นที่ซึ่งเขาแบ่งปันกระแสที่ได้รับมาจากดวงวิญญาณสูงสุด

การกระทำของเขาจะไม่อยู่บนพื้นของแรงกระตุ้นที่ต้องการเงินมากขึ้นอีกต่อไป จะมีแต่ความสบายมากขึ้น เขาจะทำงานและเห็นว่ามันเป็นรายได้ที่เขาควรจะได้รับอย่างถูกต้อง สำหรับความพยายามของเขา ดังนั้นจึงไม่มีบ่วงพันธะเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป แต่สถานที่ทำงานของเขาก็จะเป็นสถานที่ทำงานรับใช้ ซึ่งตัวอย่างและกระแสของเขาจะดลใจผู้อื่นให้อยู่อย่างสงบ บริสุทธิ์และมองโลกในแง่ดี เขาจะเป็นตัวอย่างที่จะนำให้ดวงวิญญาณอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น

ในฐานะที่เป็นแม่ขณะที่กำลังปรุงอาหาร เขาจะไม่เพียงปรุงอาหารตามความต้องการและความชอบในรสชาติของลูก ๆ ของเขา แต่เขาจะปรุงอาหารอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ปรุงขึ้นมาจะต้องถวายให้กับพ่อสูงสุดก่อน แล้วเธอก็จะปรุงอาหารด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดเต็มไปด้วยความรักที่สูงสุด ด้วยสำนึกว่าเราจะต้องอุทิศให้กับพ่อสูงสุดก่อน

ด้วยการปรุงและอุทิศเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำมาแบ่งปันกันในครอบครัว มันไม่เพียงแต่จะบำรุงร่างกายของธาตุทั้งห้าเท่านั้น แต่ มันจะบำรุงเลี้ยงดวงวิญญาณด้วย เพราะว่ามันได้ถูกเติมไว้ด้วยความรักและความบริสุทธิ์ในอาหารนั้น ดังนั้นด้วยการมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เราก็สามารถทำกรรมที่บริสุทธิ์

ประเภทที่สามทุกวันนี้การพักผ่อนหย่อนใจที่มีอยู่โดยทั่วไป ก็เป็นการดึงรั้งของประสาทสัมผัสทางร่างกาย ทุกวันนี้ดวงวิญญาณถูกครอบงำโดยแรงดึงดูดของประสาทสัมผัสและโหยหาความตื่นเต้นที่จอมปลอม โดยไม่ได้รู้ว่าความสุขนั้นอยู่ภายในตนเอง ดังนั้นการกระทำของเขาดึงเขาเข้าไปสู่ส่วนลึกยิ่งขึ้นและหยาบยิ่งขึ้นของสำนึกแห่งความเป็นร่าง และบางครั้งการพักผ่อนหย่อนใจของบางคนก็สร้างความทุกข์และความโศกเศร้าให้กับผู้อื่น แม้กระนั้นเขาก็ย้งมองไม่เห็นเพราะว่าเขาหมกมุ่นอยู่แต่เพียงความสนุกสนานของตนเอง ซึ่งเขาไขว่คว้าหามันในรูปของวัตถุที่สัมผัสได้

ทันทีที่เรากลายเป็นโยคี เราก็กระทำสิ่งที่นำมาซึ่งความพอใจสูงสด และสร้างความพึงพอใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับดวงวิญญาณสูงสุด การกระทำนั้นก็พาให้ดวงวิญญาณเข้าใกล้ดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น และทำให้ดวงวิญญาณนั้นเป็นเครื่องมือสำหรับที่จะทำให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้ท่านมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจทั้งหมดของเขา 
บัดนี้ได้กลายเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ นำดวงวิญญาณให้พบกับความพอใจเหนือประสาทสัมผัส ความสนุกสนานซึ่งอยู่เหนือประสาทสัมผัสรับรู้ทั้งหลาย ดังนั้นการกระทำประเภทที่สามและประเภทที่สี่จึงไม่มีการแยกจากกันอีกต่อไป มันได้กลายเป็นสิ่งเดียวกัน

งานรับใช้ต่อผู้อื่น เป็นการกระทำบนพื้นฐานของระดับที่ไม่มีขีดจำกัด ด้วยการรู้ว่าเป็นงานรับใช้ที่แท้จริงเราสามารถทำเพื่อดวงวิญญาณใด ๆ ก็ได้ นั้นคือสอนดวงวิญญาณนั้นให้รู้จักวิธีการเข้ามาใกล้ชิดกับดวงวิญญาณสูงสุด ดวงวิญญาณจะค้นหาวิธีจะใช้เวลาและพลังในการนำดวงวิญญาณอื่นเข้ามาใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุดมากขึ้น ด้วยความคิด ดวงวิญญาณสามารถมีความปรารถนาดีต่อดวงวิญญาณอื่น ๆ ได้ โดยผ่านคำพูดก็สามารถแพร่กระจายความรู้ทางดวงวิญญาณที่พ่อสูงสุดได้ถ่ายทอดไว้ และดังนั้นโดยการกระทำที่บริสุทธิ์และสูงส่งด้วยตนเอง เราก็จะทำแต่การกระทำที่บริสุทธิ์ทุกขณะ

ถ้าเราทำเช่นนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลสันสการ์ของเราเกิดขึ้น เราจะสามารถจะใช้เวลากลางคืน (ระหว่างที่เรานอนเราก็ให้ร่างกายพักผ่อน) รับใช้ผู้อื่น  เนื่องจากดวงวิญญาณสามารถรับใช้ด้วยการดลใจแม้แต่ขณะที่พักผ่อน หรือโดยผ่านความฝันได้ ดังนั้น ขณะพักผ่อนก็สามารถทำงานรับใช้ได้

นั่นหมายความว่าการกระทำที่บริสุทธิ์สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรารู้ว่ายุคแห่งการบรรจบพบกันซึ่งเชื่อมต่อโลกเก่าและโลกใหม่เป็นยุคเดียวกันที่เราได้โอกาสกระทำการกระทำที่สูงส่งที่สุดของการกระทำทั้งหมด


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Friday, June 14, 2013

บุญและบาป



ก่อนหน้านี้เราอาจจะมีความคิดว่าบาปเป็นเพียงการกระทำที่ก้าวร้าวอันหยาบ ๆ ที่ตรงข้ามกับศีลธรรม หรือ ผิดกฏหมายของแ่ผ่นดิน เช่นการลักขโมย การฆ่า ฯลฯ บางทีเราก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นบาป บัดนี้เราเข้าใจแล้วว่า แม้แต่การกระทำนั้นอาจจะเป็นการกระทำซึ่งไม่นำมาซึ่งผลลบและผลบวกอย่างเช่นการนอน การดูแลรักษาร่างกาย ซึ่งมีการพูดกันทั่วไปว่ามันเจือปนไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ก็เป็นบาปได้ ซึ่งเราจะได้เห็นในตอนหลัง

มุมมองของเราเกี่ยวกับบุญ ซึ่งบัดนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หากเราช่วยเหลือผู้คนด้วยวัตถุ มันก็ถือเป็นการรับใช้ แต่เป็นการรับใช้ที่มีขีดจำกัด ถ้าเราให้ยาหรือดูแลคนป่วย ก็เป็นบุญ แต่เป็นในระดับที่มีขีดจำกัด ทำไมหรือ??

เพราะว่าในความเป็นจริงสุขภาพที่ป่วยที่เขาได้รับเป็นผลจากกรรมที่ไม่ดี เราอาจจะสามารถช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลา แต่เราไม่สามารถรักษาคนป่วยได้จริง ๆ เราอาจจะช่วยเขาในขณะที่มีความทุกข์ แต่เราไม่ได้สอนเขาถึงวิธีการเปลี่ยนเหตุของการกระทำที่ทำให้เกิดความทุกข์ ซึ่งจะเป็นหนทางที่เข้าถึงเหตุเพื่อลบล้างหนี้กรรมเก่าในอดีต และจะทำให้เขาไม่ต้องประสบกับความเจ็บไข้เนื่องจากเหตุเดิม ๆ อีก เพราะถ้าเราเพียงแต่ให้ยากับเขา เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือเพียงวันนี้ .... แต่ไม่ตลอดไป

ตอนนี้ถ้าเราสามารถแบ่งปันความรู้ทางดวงวิญญาณกับเขา ซึ่งจะทำให้เขาสามารถเข้ามาใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุด และนั่นจะเป็นการกระทำที่สูงสุด จะทำให้เขารู้จักวิธีที่จะชำระบัญชีบ่วงกรรมของเขาได้

ถ้าเขาหิวโหยและเราเลี้ยงดูเขา แต่ว่านานเท่าไรที่เราจะเลี้ยงดูเขาได้ เราไม่สามารถจะรับผิดชอบเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอดชีวิต ดังนั้นเราอาจจะเลี้ยงเขาเพียงมื้อเดียวหรือเพียงวันเดียว แต่จะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะอธิบายให้เขาฟังถึงกฏแห่งกรรม และช่วยให้เขามีกำลังซึ่งจะทำให้เขาสามารถเลี้ยงชีวิตของเองได้ เราจะต้องพิจารณาว่าอะไรคือบุญ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่า บุญที่ทำในระดับร่างกายต่อเพื่อนมนุษย์ใด ๆ ก็ตามนั้น เป็นบุญที่มีขีดจำกัด สำหรับดวงวิญญาณที่มีสำนึกของการกระทำเป็นการที่เป็นการทำบุญในระดับที่ไม่มีขีดจำกัด ผลแห่งงานรับใช้ด้วยการนำผู้อื่นได้เข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้าจะนำมาซึ่งผล อย่างทันทีทันใด และยังเป็นการที่จะทำให้ตัวเราเข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามากยิ่งขึ้นด้วย


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ



Thursday, June 13, 2013

บ่วงพันธะของการกระทำ



คำถามที่แท้จริงไม่ใช่แต่เพียงความเข้าใจทฤษฏีของกรรม แต่มันได้กลายเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเข้าใจว่า

1. การกระทำนั้น ๆ จะเป็นการเพิ่มบ่วงพันธะแห่งการกระทำหรือไม่??

2. ทำอย่างไรจึงจะสามารถลดบ่วงพันธะแห่งการกระทำของเราได้??

3. เราได้ทำการกระทำซึ่งเพิ่มรายได้อย่างมากมายอย่างสม่ำเสมอ ไว้เป็นเสบียงคลังแห่งการกระทำที่ดี และโชคที่ใหญ่ยิ่งเพื่ออนาคตที่กำลังรอเราอยู่หรือเปล่า??


เป็นอิสระจากบ่วงพันธะ
โดยผ่านความรู้ราชโยคะของพระเจ้า เราก็รู้ว่ามีการกระทำอยู่ในสามระดับ

ก.  หยุดการกระทำที่เป็น "ลบ" ด้วยความเข้าใจในความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม และ การเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณสูงสุด เราสามารถแน่ใจได้ว่าจะไม่มีการกระทำผิดไปมากกว่านี้ หรือที่เรียกว่าทำบาป นั่นคือไม่มีบัญชีกรรมลบเพิ่มขึ้น

ข.  ขจัดสิ่งที่เป็นลบ ด้วยไฟแห่งราชโยคะ เราสามารถยกเลิกหนี้กรรมในอดีตที่ได้สะสมมาตลอดเวลาหลายชาติเกิด

ค.  สร้างสมการกระทำที่ดี ด้วยพลังและความมุ่งมั่น ด้วยแรงบันดาลใจและการอุทิศตน ดวงวิญญาณก็จะสามารถทำการกระทำที่บริสุทธิ์ นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าชาติเกิดในอนาคตของเราจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ สุขภาพสมบูรณ์ มั่งคั่งและเต็มไปด้วยความสุข


สำนึกของความเป็นร่าง-เป็นรากแก้วของการกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์(วิกรรม)
พระเจ้าชีว่าได้มอบมาตรฐานในการทดสอบง่าย ๆ กับเรา ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์การกระทำได้อย่างทันที เพื่อจะได้รู้ว่ามันบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธฺ์ ท่านเปิดเผยว่าการกระทำที่ไม่บริสุทธิ์เป็นผลของสำนึกซึ่งมีความผูกพันอยู่กับร่างกาย ที่เรียกว่าสำนึกแห่งการเป็นร่าง

นี่หมายความว่า ถ้าเราคิดว่าตัวเราคือร่างกาย ผู้ชาย ผู้หญิง อ่อนเยาว์หรือแก่เฒ่า ฮินดูหรือมุสลม ดำหรือขาว การกระทำก็จะถูกครอบงำโดยสำนึกที่เป็นร่าง จะต้องมีอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งของกิเลสทั้งห้่าอย่างแน่นอน ซึ่งมีชื่อว่า กามราคะ ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยืดติด และความหยิ่งทะนงในตน หรือลูกหลานอื่น ๆ ของกิเลสทั้งห้า เช่น ความอิษฉาริษยา ความเกลียด ความโอ้อวด เซื่องซึม ฯลฯ เป็นตัวชี้นำอย่างแน่นอน

เราสามารถมองย้อนไปดูประสบการณ์เก่า ๆ ของเรา จะพบว่าสติปัญญาของเราไม่มีสำนึกที่ถูกต้องที่แท้จริง ขณะที่เราคิดว่าตัวเราเป็นร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งห้า ก็จะมีอิทธิพลที่ไม่ดีไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่มีอำนาจควบคุมการกระทำของเรา ผลแห่งสำนึกแห่งการเป็นร่างของเราก็มีการกระทำที่ไม่บริสฺุทธิ์ และเราก็พบว่าตนเองตกอยู่ในกับดักแห่งความทุกข์ เมื่อเราให้ความทุกข์กับผู้อื่น เราก็สัมผัสกับความทุกข์ด้วยตนเอง ในความเป็นจริงหลายต่อหลายชาติแล้วที่เราได้สะสมบัญชีกรรมแห่งการกระทำมากขึ้น ๆ มากกว่าที่เราสามารถจะชำระสะสางมันได้


สำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณ-เป็นวิธีการสำหรับการกระทำสุกรรมที่ทำให้เกิดสุข
เราสามารถที่จะแสดงการกระทำในสำนึกที่สูงสุดของตนและสำนึกของดวงวิญญาณสูงสุด และนี่คือการกระทำที่จะนำมาซึ่งความสุขต่อตนเองและผู้อื่นด้วย นี่เ็ป็นการกระทำซึ่งอธิบายได้ว่าเป็นการกระทำที่ให้ความสุข เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลในทางบวก มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ลึกลงไป

ถ้าเราเพียงแต่จะกำหนดให้ชัดเจนว่าการกระทำที่บริสุทธิ์นั้นคือการกระทำซึ่งจะก่อให้เกิดความสุข เราก็จะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะว่าเราพบว่าเราสามารถให้เพียงสิ่งซึ่งเรามี และขณะนี้เรายังไม่มีความสุขซึ่งได้เก็บสำรองไว้อย่างไม่มีขีดจำกัด หรือยังไม่มีความสุขเพีัยงพอที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น แม้แต่เพียงดวงวิญญาณดวงเดียว เรายังไม่มีความสุขที่ถาวรหรือเป็นอมตะ ความสุขที่เรามีนั้น ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา นาทีต่อนาที จากชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้น เราจะสามารถให้ความสุขกับผู้อื่นได้อย่างไร

เราจะสามารถหาความสุขได้ที่ไหน???
มีวิธีหนึ่ง เมื่อเราได้มีการเชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดของความปิติ แหล่งกำเนิดของความสุขทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่มีชีวิตสูงสุด ขั้นตอนแรกของการกระทำที่บริสุทธิ์คือการกระทำที่จะทำให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพ่อสูงสุด.... พระเจ้า เราก็จะสามารถรับเอาความสุขได้

ในความเป็นจริงการทำงานรับใช้ในรูปที่สูงสุดที่เราสามารถทำให้กับผู้อื่นนั้น มันไม่ใช่เพียงแต่การให้ความรู้ที่เรามีโดยตรง แต่มันยังมีการให้ความสุขที่ได้รับจากแหล่งที่ไม่มีขีดจำกัดด้วย

อย่างไรก็ตามการกระทำใด ๆ ที่เราทำ ซึ่งจะนำดวงวิญญาณอื่นให้เข้าใกล้กับดวงวิญญาณสูงสุด เป็นรูปแบบที่สูงสุดของการกระทำและถูกจัดว่าเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเกี่ยวกับมุมมองเรื่องบาป และแม้แต่เรื่องการทำบุญ

จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ






Wednesday, June 12, 2013

Law of Karma อะไรคือกฏแห่งกรรม




เหมือนอย่างที่เราสามารถเข้าใจกฏของนิวต้นถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุธาตุในจักรวาล ทุก ๆ การกระทำจะมีการสะท้อนกลับมาเท่ากับการกระทำนั้น เช่นกันกฏแห่งการกระทำทางวัตถุก็สามารถนำมาใช้ทางด้านดวงวิญญาณได้ทั้งหมด ทุก ๆ การกระทำจะมีการกระทำสะท้อนกลับมาเท่ากัน ซึ่งหมายความว่าถ้าเราให้ความสุขเราก็จะได้รับความสุขเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าเราให้ความทุกข์เราก็จะได้ความทุกข์เป็นสิ่งตอบแทน นี้อาจจะเรียกว่ากฏของเหตุและผลได้ด้วย เมื่อเราเห็นผลใด ๆ ก็สามารถเข้าใจว่าผลนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อมีเหตุเท่านั้น ดังนั้น การกระทำต่าง ๆ ที่เป็นเหตุ ก็ต้องมีผลของการกระทำตามมา

มีการพูดกันบ่อย ๆ ว่า "ท่านเพาะหว่านสิ่งใด ท่านก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น" กฏแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีดวงวิญญาณใดอยู่เหนือกฏแห่งกรรม มีเพียงแต่พระเจ้าพ่อชีว่าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่เหนือกฏนี้ เพราะว่าท่านอยู่เหนือบ่วงพันธะของการกระทำทั้งหมด ไม่มีใครที่อยู่ในโลกวัตถุนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะที่ไม่มีการกระทำได้ ซานยาสซีทำความเพียรพยายามเพื่อจะเลิกการกระทำทั้งหมด แต่ความเพียรพยายามที่พวกเขาทำเพื่อการสละละทิ้งการกระ่ทำ มันก็เป็นประเภทหนึ่งของการกระทำด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ก็เป็นการกระทำ


ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อการทนทุกข์ทรมานของเรา
โดยทั่ว ๆ ไป เมื่อเราเห็นผลของการกระทำปรากฏขึ้น แต่ต้นเหตุของผลนั้นนานจนจำเวลาไม่ได้ เพราะมันได้ทิ้งระยะห่างจากเวลาที่ได้ทำไว้จนจำไม่ได้ ดั้งนั้น เราจึงลืมว่าเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์เหล่านี้ เมื่อเราเห็นผลลัพธ์ที่ให้ผลร้ายและลืมว่าเราเป็นต้นเหตุ เราก็กล่่าวโทษผู้อื่น แล้วก็พูดว่าผู้อื่นทำให้เราทุกข์ทรมาน

เราว่าแม้แต่พระเจ้าว่าเป็นผู้ทำความทุกข์ทรมานเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเรา แต่ดวงวิญญาณก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เป็นไปได้หรือที่พ่อสูงสุดผู้เต็มไปด้วยความเมตตาต่อทุกคน และมีแต่ความรักให้กับทุกคน จะปรารถนาให้ลูกต้องประสบกับความทุกข์ทรมานใด ๆ เพื่อเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งได้อย่างไร สติปัญญาก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้ และเราก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่าพระเจ้าพ่อสูงสุดเป็นผู้ให้ประโยชน์สูงสุด เป็นผู้ขจัดความทุกข์โศกและเป็นผู้ให้เพียงแต่ความสุข ท่านได้ลงมายังโลกเพื่อชี้หนทางให้กับมนุษย์ไปพบกับความสุขที่แท้จริง  ด้วยการให้ความรู้กับพวกเขาและให้พลังที่จะกระทำการกระทำที่ดี

ดังนั้น ถ้ามีผลลัพธ์เป็นความทุกข์ เราก็ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์ กฏแห่งกรรมที่บัดนี้ได้เปืดเผยโดยพระเจ้าชีว่า ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์ของเรา ดวงวิญญาณนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเขาเอง แล้วก็เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวของเขาเองด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของการกระทำที่ได้กระทำออกไป


การกระทำเป็นตัวกำหนดโชคชะตา
บางครั้งมีการเข้าใจเพียงครึงเดียวในกฏแห่งกรรม ที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของตน บางคนอาจคิดอย่างสิ้นหวังว่า "อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวฉันในขณะนี้ นั่นเพราะเป็นผลที่เกิดจากการกระทำในอดีตของตัวเอง ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถทำอะไรหรือแก้ไขอะไรได้กับเรื่องนี้"

มันเป็นความจริงที่แน่นอนที่สุดว่าทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของตน ต้องมีกับความอดทนอย่างมากมายและใช้ความทรหดที่ไม่เคยใช้มาก่อน

แต่ในหลักของกฏแห่งกรรมก็กำหนดไว้ว่า ถ้าเรากระทำกรรมที่บริสุทฺ์เราก็สามารถจะสร้างอนาคตในหนทางที่เราสามารถเลือกเองได้ จะไม่เป็นทาสของชะตามกรรม หากเราเข้าใจถึงกฏแห่งกรรมนี้เราก็จะเป็นผู้สร้างโชคชะตาตัวเราเอง

เราจะเลือกโชคชะตาที่เรากำหนดไว้เพื่อตัวเราเอง เรายังสามารถดลใจผู้อื่นให้เลือกโชคชะตาของพวกเขาด้วย โดยเห็นตัวอย่างและเห็นการกระทำของเราเอง เพราะการกระทำที่ดีนั้นจะดลใจให้มีการเลียนแบบ ถ้าใครทำความดี ผู้อื่นก็จะลอกเลียนเขาเป็นตัวอย่าง ด้วยแรงแห่งผลของการกระทำซึ่งเป็นลูกโซ่ของการทำดี การทำดีจะนำมาซึ่งพรและความปรารถนาดีจากผู้อื่น เช่นเดียวกัน การกระทำชั่วก็จะให้ผลเป็นแรงสะท้อนกลับที่เป็นลูกโซ่ และมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้กระทำความผิดด้วย


การกระทำและความรับผิดชอบต่อสังคม
ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้อย่างเด็ดขาด แต่ละดวงวิญญาณไม่เพียงแต่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง แต่จะต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบของการกระทำต่อผู้อื่นด้วย งานและการกระทำของทุกคน อย่างเช่น นักแสดง ศิลปิน นักจัดรายการวิทยุ ฯลฯ สร้างผลกระทบอย่างสูงสุดต่อจิตใจของมนุษย์เป็นล้าน ๆ 

การกระทำถูกเรียกว่าเมล็ด เหมือนอย่างเช่นเมล็ดที่แสนเล็กเมล็ดเีดียวก็สามารถให้ผล อย่างมากมาย ซึ่งผู้ใดกระทำการใด ๆ ผลก็จะเป็นเช่้นนั้นด้วย

เรามักจะไม่ค่อยระมัดระวังต่อการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะมีผลตามมามากมาย แต่ผลของมันอาจจะส่งผลเป็นปีหรือหลาย ๆ ปี โดยทั่วไปอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นมานั้น มันไม่ได้เป็นเพียงการการทำหรือผลการกระทำธรรมดาๆ ดังนั้นเมื่อไม่ได้เป็นผลเพียงชาติเดียวจากเมล็ดเพียงเมล็ดเีดียวที่ถูกเพาะลงไปแต่จะมีผลที่ต้องรับผิดชอบมากมาย กรรมใหม่ผสมกับวิบากเก่า

ดังนั้นกรรมใหม่ ถึงได้มีการผสมปนเปกับอิทธิพลต่าง ๆ มากมาย และมันมีความวุ่นวายสับสนเกี่ยวข้องกับกรรมของผู้อื่นด้วย ทุกวันนี้เราจึงพบว่าตัวเองกำลังติดอยู่กับใยแมลงมุกที่ยิ่งใหญ่ และสับสนยุ่งเหยิง

จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Tuesday, June 11, 2013

กฏแห่งกรรม


ชนิดของการกระทำ
กรรม หรือ การกระทำ  เป็นพฤติกรรมของดวงวิญญาณที่แสดงออกผ่านร่างกายทั้งระดับร่างกาย และระดับความคิด พูด ได้ยิน เห็น สัมผัส สอน กิน ทั้งหมดเีรียกว่ากรรม ชนิดของการกระทำที่แสดงโดยแต่ละบุคคลเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงบุคลิกของเขา มันเป็นการกระทำซึ่งทำให้มนุษย์นั้นยิ่งใหญ่หรือด้อยค่า สูงส่งหรือต่ำทราม

มนุษย์พบความยุ่งยากเป็นอย่างมากที่จะแยกแยะอย่างแม่นยำว่าการกระทำอะไรที่ถูกต้องและการกระทำอะไรที่ผิด ตลอดเวลาของประวัติศาสตร์คำจำกัดความของคำว่าถูกต้องละคำว่าผิด ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภายในช่วงระยะเวลาของประวัติศาสตร์ วัฒนะธรรมที่แตกต่างและศาสนาที่แตกต่างที่เกิดขึ้นพร้อมกับคำจำกัดความและการแยกแยะที่แตกต่าง

แม้แต่ภายในศาสนาเดียวกันผู้คนที่อยู่กันคนละวัยก็ยังมีความคิดที่แตกต่างกันในความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง และถ้ามีใครสักคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ ภายนอกเลย แต่เมื่อมองย้อนไปในอดีต เขาก็จะพบว่าความเข้าใจของตัวเขาเองจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ในวัยเด็กความเข้าใจในความถูกและความผิดก็อยู่ในระดับหนึ่ง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เมื่อมีความเป็นผู้ใหญ่มันก็ยังเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

ข่าวดีและโชคดีเป็นอย่างมากที่ในเวลาปัจจุบันซึ่งเป็นยุคแห่งการบรรจบพบกันซึ่งเป็นสิริมงคลที่สุด กฏแห่งกรรม นั่นคือกฏแห่งการกระทำและผลสะท้อนกลับ ได้ถูกอธิบายไว้แล้วอย่างชัดเจนที่สุด โดยพ่อสูงสุด พระเจ้าชีว่า ผู้สร้างและผู้กำกับละครโลกอันไม่สามารถถูกทำลายได้เป็นผู้ซึ่งบริสุทธิ์อยู่ตลอดกาล  อยู่เหนือการเกิดและการตาย ดังนั้น ท่านจึงพ้นจากกฏแ่ห่งกรรมตลอดไป โดยผ่านเครื่องมือที่มีตัวตนของท่านคือ ประชาปิตาบราห์มา พระเจ้าชีว่าได้ให้คำจำกัดความของการกระทำไว้ 3 ชนิด ดังนี้

1. การกระทำที่บริสุทธิ์ สุกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณ ซึ่งจะได้รับผลเป็นความสุขที่แท้จริง (ยุคบรรจบพบกัน)

2. การกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์ วิกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกที่เป็นร่าง ซึ่งมีฐานอยู่บนกิเลส ดังนั้นจึงให้ผลเป็นความทุกข์ (ยุคทองแดงและยุคเหล็ก)

3. การกระทำที่ไม่มีผล อกรรม เป็นการกระทำที่กระทำในสภาวะของสำนึกเป็นดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ไม่มีทั้งผลบวกและผลลบ(ยุคทองและยุคเงิน)





การกระทำทั้งสามชนิดนั้นเกี่ยวข้องกับยุคต่าง ๆ ในวงจร(กัลป) การกระทำที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่มีประโยชน์สูงสุดซึ่งกระทำโดยบราห์มินที่แท้จริง (ลูก ๆ ทางดวงวิญญาณของบราห์มาในยุคแห่งการบรรจบพบกัน) การกระทำซึ่งไม่มีผลเป็นบวกและลบ เป็นการกระทำของเทพซึ่งอยู่ในยุคทองและยุคเงิน วิกรรมหรือการกระทำที่ทำให้เกิดทุกข์เป็นการกระทำของมนุษย์ในยุคทองแดงและยุคเหล็ก



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Monday, June 10, 2013

ประโยชน์จากราชโยคะ

การชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์
ประโยชน์ของราชโยคะนั้นมีมากมาย มันเป็นยาเอนกประสงค์ที่รักษาได้ทุก ๆโรค สำหรับความป่วยไข้ทั้งหมด โยคะที่สูงส่งจะเผาสันสการ์ที่ชั่วร้ายที่ฝังรากลึกอยู่ในดวงวิญญาณ มันเป็นวิธีเดียวที่จะำชำระบาปในอดีตได้ การส่งความคิดไปหาพระเจ้านำไปสู่การเพ่งรวมและการยกระดับจิตใจให้สูงส่งขึ้น ดวงวิญญาณเป็นอิสระจากความคิดที่ต่ำและไม่มีประโยชน์ ความกังวลและความกระวนกระวาย ความเครียดและความสับสน พลังแห่งความตั้งใจของมนุษย์นี้ทำให้เขาตื่นตัวและประสิทธิภาพก็เพิ่มขึ้น

โยคะช่วยชะลอขบวนการที่ทำให้ชราเป็นผลทำให้มีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้นิสัยที่ไม่ดีและการเสพติดจบสิ้นลง ในโยคะนั้นดวงวิญญาณจะได้รับประสบการณ์ตัวตนที่แท้จริงของเขา นั่นคือเป็นจุดแห่งแสง เป็นพลังที่บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่นใดมากกว่านั้น ดวงวิญญาณจะรู้สึกว่าตัวเองมีองค์ประกอบที่สำคัญของความบริสุทธิ์ ความสงบ ความรัก

การติดต่อกับพระเจ้าทำให้ดวงวิญญาณได้รับความสุขและความปิติอันไม่มีขอบเขต ความซาบซึ้งที่สูงส่งนี้ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน โยคีจะมีความเข้าใจและสัมผัสรับรู้ได้ เขาจะไ้ด้รับคุณสมบัติและคุณธรรมที่สูงส่งซึ่งหาได้ยาก อย่างเช่น ความอดทน ความสมดุลของอารมณ์และจิตใจเมื่อประสบกับความทุกข์ในสภาวะที่ไม่สมดุลย์ ฯลฯ เขาจะมีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ได้ ซึ่งจะนำพรทั้งหมดมาให้เขา


พลังดวงวิญญาณทั้งแปดโดยผ่านราชโยคะ

การบรรลุความสำเร็จของพลังโดยผ่านราชโยคะ ราชโยคะนำพลังมาให้ผู้ฝึกฝนที่จะดึงตนเองออกจากร่างกายเพื่อเพิ่มพลังความคิด ความอดทน การปรับตัวเข้าหากัน การตัดสินแยกแยะความดีและความไม่ดี ความถูกและความผิดของสิ่งต่าง ๆ การเผชิญและการ่วมมือกับผู้อื่นเพื่อความสำเร็จในงาน พลังเหล่านี้ทำให้ชีวิตศักดิ์สิทธิ์และมีความสุข พลังทั้ง 8 และพลังอื่น ๆ อีกมากทำให้โยคีเห็นหนทางและปฏิบัติตามหนทางนั้นเพียงความสุขของตนเอง


การได้มาซึ่งพลังทั้ง 8
ราชโยคะจะก่อให้เกิดพลังอำนาจทางดวงวิญญาณทั้งหมดแก่ผู้ฝึกฝน 
8 พลังที่สำคัญ ซึ่งจะได้รับโดยผ่านการฝึก ราชโยคะ กล่าวคือ
1.  พลังแห่งการถอนตน จากร่างกาย
2.  พลังแห่งการเก็บ หรือพลังแห่งการจบสิ้นความคิดเมื่อใดก็ตามที่ปรารถนา
3.  พลังแห่งความอดทน และ ความสามารถที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
4.  พลังแห่งการปรับตัว โยคีนั้นมีจิตใจที่กว้างขวาง สามารถปรับเข้าได้กับแม้แต่ผู้ซึ่งแตกต่างจากตนเอง
5. พลังแห่งการแยกแยะ ระหว่างความผิด ความถูก ความดีและความเลว
6. พลังแห่งการตัดสิน นั่นคือ เลือกทางที่ถูกและมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว และตัดสินความดีความชอบ และความไม่ถูกต้องของเรื่องราวต่างๆ 
7. พลังแห่งการเผชิญ พลังในการเผชิญหน้าต่อการพิสูจน์และ ความยากลำบากที่ทำให้ทุกข์ทรมาน ต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันทั้งหมด
8. พลังแห่งการร่วมมือ กับทุกคนที่เขาได้อาศัยร่วมอยู่และทำงานร่วมกัน

ราชโยคะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในชีวิตของผู้ฝึกฝน  เขาอาศัยอยู่ในโลกแต่ก็ไม่ได้ติดอยู่ในโลก เขายังมีการกระทำแต่ก็มีอิสระจากบ่วงพันธะต่อการกระทำนั้น โดยที่เขายังให้ความร่วมมือในชีวิตครอบครัวและสังคมอย่างแข็งขัน เขาไม่มีความผูกผันเป็นส่วนตัว เขาคงอยู่อย่างละวางจากเหตุการณ์ และไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทุกๆ ชนิด และใช้ชีวิตเหมือนกับดอกบัว ดวงวิญญาณจะมีประสบการณ์ของความเบาสบายเป็นอิสระจากการกระทำและคงอยู่ในการเชื่อมต่อกับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อ สิ่งนี้ทำให้เขามีอำนาจการควบคุมเหนือความคิด เหนือประสาทสัมผัสและการกระทำ

เขาจะมีความผสมกลมกลืนระหว่างความคิดและการกระทำของเขา สิ่งที่ตามมาคือ สันสการ์เก่าและบรรยากาศที่ชั่วร้ายไม่สามารถส่งผลกระทบเขาได้ ดวงวิญญาณของเขาแพร่กระจายแสงและกระแสแห่งพลัง เขาได้กลายเป็นสมาชิกที่เต็มไปด้วยประโยชน์ของสังคม โดยสรุป ราชโยคะสามารถทำให้มนุษย์บรรลุถึงสิ่งที่มีค่าที่พึงจะได้รับในชีวิต มันเป็นการสนองต่อความต้องการของชีวิตในปัจจุบัน และยังทำให้บรรลุถึงการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต คือสถานภาพของเทพถึง 21 ชาติ (2,500 ปี) ในภารัตซึ่งเป็นดินแดนยุคทองของอนาคตที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน 



อะไรคือเป้าหมายของชีวิตมนุษย์
ราชโยคะทำให้เราได้รับการหลุดพ้นในชีวิตในยุคทอง กลายเป็นเทพที่มีมงกุฎสองชั้น มีสถานภาพดั่งเช่น ศรีลักษมี และ ศรีนารายัญ โลกใหม่ที่มีความบริสุทธิ์ 100% มีความสงบและความอุดมสมบูรณ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง... แต่มีเพียงดวงวิญญาณที่ทำให้ดวงวิญญาณของตนบริสุทธิ์โดยผ่านความรู้ของพระเจ้าและราชโยคะเพียงเท่านั้นที่จะกลับไปเกิดที่นั่น


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Friday, June 7, 2013

เสาหลักของราชโยคะ

การฝึกฝนราชโยคะเป็นการฝึกหัดที่ละเอียดอ่อนที่สุด ผู้ฝึกฝนจะต้องพัฒนาสภาวะของจิตใจที่เป็นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำตามระเบียบวินัยที่เป็นแก่นสำคัญแก่ดวงวิญญาณ ซึ่งก่อให้เกิดเสาหลักทั้งสี่ของราชโยคะ




พรหมจรรย์
กามราคะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของโยคี มันเป็นอันตรายต่อชีวิตที่สุดและมีอำนาจสูงสุดในหมู่กิเลสหลักทั้งห้า ซึ่งกำเนิดมาจากสำนึกแห่งการเป็นร่างเหมือนกับน้ำทิพย์และยาพิษ โยคะ และ โบคะ (Bhoga ความหมกมุ่น)  เป็นสิ่งที่อยู่กันคนละด้าน ทั้งสองไม่สามารถไปด้วยกันได้และการหมกมุ่นในกามราคะเป็นรูปที่หยาบที่สุดของความหมกมุ่น ถ้ายังไม่สามารถเอาชนะจอมราชันแห่งกิเลสนี้ได้ การพูดเกี่ยวกับโยคะทั้งหมดก็หมดความหมาย การหมกมุ่นในกามราคะเป็นการแสดงออกของความปรารถนาเยี่ยงสัตว์ ก่อให้เกิดอันตรายอย่างที่สุด ทำให้โกรธแค้น หยาบคาย ชั่วร้ายและการก่ออาชญากรรมถึงแก่ชีวิต ซึ่งเท่ากับเป็นการฆ่าและการทำลายล้างความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ มันเป็นการกระทำที่ต่ำที่สุด และสกปรกที่สุด ซึ่งเหมือนกับการถลำลงไปในท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำคลำ

โยคีผู้ปราถนาที่จะโลดแล่นไปยังอาณาเขตของความสุขเหนือประสาทสัมผัส ไม่ควรที่จะแม้แต่ฝันถึงน้ำพิษที่แสนหวานนี้แม้แต่เพียงชั่วขณะ มันเป็นการฆ่าตัวตายสำหรับตนเองถ้าทำเช่นนั้น เพียงความคิดที่หมกมุ่นถึงกามราคะก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขาแตกสลายและทำลายสติปัญญาของโยคี ความโกรธก็แตกหน่อมาจากความไม่สมหวังในความทะยานอยากต่อกามราคะ และกิเลส เมื่อทั้งสองมาพร้อมกันก็ทำให้เกิดการล่มสลายแก่เขาโดยสิ้นเชิง คัมภีร์ได้เล่าเรื่องราวของหฐโยคีที่ตกต่ำไว้หลายคน ผู้ซึ่งพ่ายแพ้ต่อความงามทางร่างกายของใบหน้าและรูปร่าง

ราชโยคีนั้นไม่ได้ถูกดึงดูดไปสู่ความงามทางร่าง เพราะว่าการมองของเขาได้เปลี่ยนไป เขาได้มองไปที่ความงามของดวงวิญญาณ สำนึกแห่งความเป็นดวงวิญญาณได้เปลี่ยนสายตาของเขา จากสายตาที่ต่ำทรามและสกปรกไปสู่สายตาที่สูงส่งใสสะอาด และบัดนี้เขาได้รับความพอใจต่อความรักทางจิตที่มีต่อทุกดวงวิญญาณ เช่น พี่ชายให้กับน้องชายเพราะว่าไม่ได้คิดถึงร่างกายอีกต่อไป

การถือพรหมจรรย์ ทำให้เขามีความแข็งแกร่งทางร่างกายอย่างยิ่ง อำนาจแห่งศีลธรรมและอำนาจแห่งดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ส่งเสริมให้เขามีความกล้าหาญและพลังของความมุ่งมั่น ทำให้เขาสามารถบรรลุถึงชัยชนะเหนือกิเลสอื่น ๆ ทั้งหมดได้โดยง่าย เขารู้ว่าเหล่าเทพ ซานยาสซี มหาตะมะ และผู้บริสุทธิ์ได้รับความเคารพเป็นอย่างมากเพราะความสูงส่ง หรือความบริสุทธิ์ นั่นคือ การถือพรหมจรรย์

เขาเห็นว่าการหมกมุ่นในกามราคะเป็นประตูไปสู่นรก เขาเข้าใจว่าโลกเริ่มกลายเป็นนรกจากยุคทองแดง เมื่อเหล่าเทพเริ่มลิ้มรสผลไม้ที่มีน้ำพิษที่หวงห้ามนี้ และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาหญิงชายซึ่งเป็นผลพวงมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา ต้องตายโดยการมีสัมพันธ์ทางกามราคะ ซึ่งเป็นกิเลสซึ่งสืบทอดมาเป็นความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน

บัดนี้ในชาติสุดท้ายของยุคแห่งการบรรจบพบกัน มีคำสั่งจากพระเจ้าชีว่าให้หยุดดื่มน้ำพิษที่สกปรกของกามราคะนี้ เพื่อที่จะได้รับมรดกจากท่านอีกครั้งหนึ่ง มรดกที่สูงส่งแห่งสถานภาพของเทพ แห่งความบริสุทธิ์ ความสงบ และความมั่งคั่งอย่างสมบูรณ์ที่จะได้รับในสัตยุคหรือสวรรค์ ด้วยการเป็นทายาททางดวงวิญญาณของบราห์มา โยคีก็ประพฤติตนตามหนทางของบราห์มา งดเว้นจากการเสพกาม มีความบริสุทธิ์ในความคิด ในคำพูด และการกระทำ นั่นคือความหมายของคำว่า "พรหมจรรย์"


อาหารบริสุทธิ์
(ก) อาหารที่บุคคลรับประทานเข้าไปมีอิทธิพลอย่างล้ำลึกต่อการทำงานของจิตใจ
คำพูดที่ว่า "อาหารเป็นเช่นไรจิตใจเป็นเช่นนั้น" ดังนั้น มันเป็นสิ่งจำเป็นที่โยคีจะตองฝึกอย่างเข้มงวดในความบริสุทธิ์เกี่ยวกับอาหารของเขา มีหลายประเด็นเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของอาหาร โยคีนั้นหารายได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง อาหารของเขาบริสุทธิ์ (Sattwic) นั่นคือ เรียบง่าย สด และถูกอนามัย อาหารของโยคีจะไม่มีเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ หอม กระเทียม น้ำเมาและยาสูบ มันปราศจากของมึนเมา และเครื่องดื่มกระตุ้นทั้งหมด รวมทั้งพริก ซึ่งกระตุ้นความปรารถนาเยี่ยงสัตว์หรือกระตุ้นอารมณ์

อาหารของเขาถูกเตรียมและปรุงโดยบุคคลซึ่งมีสำนึกถึงพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ และถือพรหมจรรย์ ถ้าถูกปรุงโดยผู้ที่มีกิเลส กระแสที่เต็มไปด้วยกิเลสของเขาจะถูกถ่ายทอดไปยังโยคีโดยผ่านอาหารนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหารใด ๆ เขาก็จะทำการอุทิศอาหารนั้นต่อพระเจ้า และก็จะถือว่ามันเป็นอาหารที่พระเจ้าได้ให้พรและทำให้ศักดิ์สิทธิ์ (Prasadam) ซึ่งจะช่วยชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ตลอดเวลาที่เขารับประทานอาหาร เขาคิดถึงพระเจ้า

การทำเช่นนี้ประสาทสัมผัสของรสชาติและกลิ่นก็อยู่ภายใต้การควบคุม เขาก็จะไม่ลุ่มหลงอยู่ในการรับประทานตามต้องการ ไม่รับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย ละโมบ และนี่เป็นเหตุให้เขาปลอดภัยจากความหนักหน่วง ความเฉื่อยชา โยคีไม่ไ้ด้อยู่เพื่อกิน  เขากินเพื่ออยู่

(ข) ต้องหยุดกินเนื้อสัตว์
การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสันสการ์ของความโหดร้ายทารุณและความรุนแรงของมนุษย์ โยคะและการกินเนื้อสัตว์ไม่สามารถไปด้วยกันได้ มันเป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนประกอบของมนุษย์นั้นมีสรีระที่ไม่เหมาะสมสำหรับการกินเนื้อสัตว์อย่างสิ้นเชิง พวกสัตว์ที่กินเนื้อจะมีฟันที่แหลมคม มีลำไส้ที่เล็ก มีกงเล็บที่สามารถตัดและฉีก มีกรามซึ่งแข็งและตายตัวเหมือนกับกรามของสุนัข ซึ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ไม่เหมือนกับแพะหรือวัวซึ่งสามารถเคี้ยวเอื้อง แต่สัตว์หลาย ๆ ชนิด   เช่น แพะ วัว ฯลฯ ซึ่งมนุษย์เรากินเนื้อมัน พวกมันกลับไม่กินเนื้อสัตว์อื่น ๆ 
ยิ่งกว่านั้น เนื้อของสัตว์จะทำให้มนุษย์ประสบปัญหากับระบบการย่อยอาหารมากกว่าการกินพวกพืช พวกสัตว์ซึ่งมีกำลังทางกายและมีสรีระที่แข็งแรงหรือเป็นสัตว์ที่ช่วยในการขนส่ง เช่น ช้าง วัว และ อูฐ ฯลฯ ต่างก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ว่าพวกมันก็มีความสามารถที่จะทำงานเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและมีความอดทนและทนทานมากได้

พืชและต้นไม้ไม่มีสมองใด ๆ ไม่มีระบบประสาทเหมือนดวงวิญญาณที่สามารถมีประสบการณ์ของความเจ็บปวดหรือการบาดเจ็บ ดังนั้น การนำมาเป็นอาหารจึงไม่เกี่ยวข้องกับการเจ็บปวดของพืชและต้นไม้เหล่านั้น ผลและพืชผักได้บรรลุถึงจุดเจริญเต็มที่ก่อนที่มนุษย์จะนำมาเป็นอาหาร มิฉะนั้นก็จะเน่าเสียและสูญเปล่า ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ จอห์น แมททิว และ แดเนียล ต่างก็ไม่กินเนื้อสัตว์ นักปรัชญากรีก เช่น อริสโตเต็ล เพลโต และ โซคราติส นิวตัน (นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง) หรือนักกวีชาวอังกฤษ ชื่อ นิวตัน โป๊ป แชลลี่ (Shelley) และไบรอน (Byron) และ เบอร์นารถ ชอร์ (Bernard Shaw) ซึ่งเป็นนักเขียนบทละคร ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นคนที่กินพืช

SAT-SANG (สัต-ซัง)  หรือ การมีเพื่อนร่วมทางที่ถูกต้อง
มนุษย์นั้นสามารถดูได้จากเพื่อนที่เขาคบค้าสมาคม โยคีทำตามคำพูดว่า "ไม่ฟังความชั่วร้าย ไม่่เห็นความชั่วร้าย ไม่พูดคำชั่วร้าย ไม่คิดชั่วร้าย และไม่ทำความชั่วร้าย" และละเว้นจากเพื่อนที่ชั่วช้าเลวทราม เว้นจากการสนทนาสิ่งชั่วร้าย เว้นหนังสือที่แสดงความลามกอนาจาร ภาพยนต์ที่ยั่วกามารมณ์ ละครที่ต่ำช้า เพลงที่ลามกอนาจาร และสิ่งอื่น ๆ ที่สกปรกและบรรยกาศที่เต็มไปด้วยกิเลสที่ปรากฏอยู่ัทั่วไป คนที่ต้องการเป็นโยคีที่ดีจะต้องป้องกันตัวเขาเองจากการจู่โจมของบรรยากาศเหล่านี้ และหนทางที่ดีที่สุดเพื่อจะให้ได้บรรลุผลก็คือ การมาชุมนุมกันทางดวงวิญญาณของพวกเรา เพื่อที่จะให้ได้รับน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้าเป็นประจำทุกวันสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะต้องมีเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันจากความชั่วร้ายเช่นนั้น เหมือนอย่างเช่นเรารู้สึกสดชื่นหลังจากที่เราได้อาบน้ำในตอนเช้า 

เช่นเดียวกัน เราก็ต้องอาบน้ำทางดวงวิญญาณโดยรับความรู้ของพระเจ้า เพื่อที่จะให้ดวงวิญญาณกลับมาสดชื่นและห่างไกลจากความคิดที่ชั่วร้าย ำว่า สัต-ซัง หมายถึง มีความจริงเป็นเพื่อนร่วมชีวิต หรือพระเจ้าคือผู้ร่วมทาง ผู้ร่วมทางของพระเจ้ (การใช้สติปัญญาสื่อสารกับดวงวิญญาณสูงสุดอย่างสม่ำเสมอ) ผู้ซึ่งเป็นผู้สูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของผู้ที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำให้ดวงวิญญาณนั้นสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ด้วย


การซึมซับคุณธรรมที่สูงส่ง
เป้าหมายสุดท้ายของราชโยคะ คือ การยกระดับสถานภาพมนุษย์ให้เป็นเทพ ดังนั้น โยคีจึงไม่เพียงแต่ละทิ้งสันสการ์ที่ไม่ดี แต่จะต้องได้มาซึ่งคุณสมบัติและคุณธรรมที่สูงส่งซึ่งให้คุณประโยชน์ด้วย ด้วยวิธีนั้นเขาก็จะกลับมามีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสถานภาพเทพที่สูงส่งที่สุด สูงส่งเหมือนกับศรีลักษมีและศรีนารายัญ พระเจ้าชีีว่าเป็นมหาสมุทรของคุณธรรมที่สูงส่งทั้งหมดและเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์เทพ ดังนั้นโยคีจึงคิดว่าตนเองเป็นลูกที่มีค่าของท่านและมีความใส่ใจที่จะซึมซับคุณธรรมที่สูงส่งอย่างตั้งใจ เช่น ความถ่อมตน ความเรียบง่าย ความอดทน และความอดกลั้น ฯลฯ

จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ









Wednesday, June 5, 2013

การฝึกฝนที่สูงส่ง

เพื่อบรรลุความก้าวหน้าที่รวดเร็วต่อสภาวะของการซึมซับ ผู้มุ่งมั่นต่อการฝึกฝนก็จะต้องทำตามระเบียบวินัยอย่างดี




เปลี่ยนมุมมองต่อชีวิต
มนุษย์ทุกวันนี้ได้กลายเป็นทาสต่อประสาททางกายของเขาของการเห็น การฟัง การได้กลิ่น การลิ้มรสและการสัมผัส ผู้ที่ปรารถนาต่อความปิติสุขเหนือประสาทสัมผัส ต้องยกระดับสำนึกที่หยาบและทำให้ตัวเองก้าวไปสู่ระดับสำนึกที่เหนือธรรมดา เขาต้องคิดว่า อวัยวะสัมผัสของเขานั้นเป็นเพียงผู้รับใช้ของเขามีไว้เพื่อใช้สนองความต้องการของชีวิตตามสมควร แต่จะไม่ยอมให้ตนเองถูกบังคับโดยอวัยวะเหล่านั้น

เขาป้องกันการยั่วยวนและเสพติดทุกชนิด รวมทั้งกิเลสทุกชนิด รวมทั้งกิเลสรอง ๆ อย่างอื่น เช่น ความริษยา ความเกลียดชัง ความเป็นศัตรู การรับประทานเกินความต้องการ ความเกียจคร้าน และการฝักใฝ่ในกาม เขาไม่มีความรู้สึกว่าถูกดึงดูดไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ภาพยนตร์ โรงละคร นวนิยาย และสิ่งเพลิตเพลินอื่น ๆ ซึ่งคล้ายคลึงกัน แม้แต่ความลุ่มหลงในความหลากหลายของอาหาร เครื่องแต่งตัวและความปรารถนาที่จะให้สังคมยอมรับได้หายไป เขาละทิ้งสิ่งไร้ค่าทั้งหมด เช่น การเสแสร้ง ความเอิกเกริก การโอ้อวด


ความใส่ใจต่อภาระกิจประำจำวัน
ผู้ที่ใส่ใจสามารถจะบรรลุถึงสภาวะเช่นนั้นได้ด้วยการทำสมาธิและขึ้นอยู่กับความตั้งใจอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของเขา เมื่อเขานั่งลงฝึกฝนราชโยคะ ความคิดและการระลึกถึงงานที่ทำไว้เมื่อวันก่อนก็เข้ามาส่งผลกับสภาวะของเขาในสมาธิอย่างทันทีทันใด ผู้ที่ยังมีสำนึกแห่งความเป็นร่าง ผู้ซึ่งพัวพันอยู่กับงานทางโลก และลืมการคิดถึงพระเจ้าเป็นช่วง ๆ ในระหว่างวันก็จะรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะทำให้จิตใจของเขามั่นคง

เมื่อเขานั่งลงทำสมาธิ ความคิดของเขายังคงกระจัดกระจายไปในทุกทิศทาง เขาต้องใช้เวลานานที่จะนำความคิดของเขาไปยังพารามธรรม แม้จะไปพารามธรรมเขาก็ยังไม่สามารถมีประสบการณ์ที่แท้จริงของสมาธิที่ล้ำลึกได้เลย ดังนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นสำหรับเขาที่จะใช้ชีวิตเช่นดอกบัว เป็นคาร์มาโยคี




เขาควรจะทำภาระกิจของชีวิตทีจำเป็นในสำนึกแห่งการเป็นดวงวิญญาณและในสำนึกที่รู้จักพระเจ้า เขาไม่ควรที่จะเสียเวลาและพลังไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นซึ่งไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลย รวมทั้งเรื่องที่เหลวไหลด้วย คิดว่าพระเจ้าเป็นนาย เขาควรจะเลิกมีสำนึกของการเป็นผู้ครอบครอง และทำทุกสิ่งในสำนึกของการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ เขาควรจะฉกฉวยช่วงเวลาสั้น ๆ ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการคิดถึงพระเจ้าชีว่า ระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวันนี้จะทำให้เขาใส่ใจอย่างต่อเนื่องกับตนเอง และก็จะพัฒนาการกระทำของเขาอย่างมาก 

จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Tuesday, June 4, 2013

ขั้นตอนในโยคะ


ในการเริ่มต้น
เริ่มแรก เมื่อผู้ปรารถนาเริ่มต้นฝึกฝนราชโยคะ จะรู้สึกลำบากที่จะรวบรวมความคิดให้อยู่กับพระเจ้าเพียงแค่ 2-3 นาที เวลาที่เหลือความคิดของเขาจะหันไปในเรื่องอื่น สิ่งนี้ไม่ควรจะทำให้หงุดหงิด ไม่ควรจะยกเลิกการฝึกฝนนี้ด้วยความท้อแท้ ในระหว่างการพยายามครั้งแรก ๆ ช่วงเวลาของการเพ่งรวมอาจจะได้น้อย สั้นและสะเปะสะปะ ถึงจะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็มีค่าประมาณมิได้ เพราะว่ามันได้ให้ความปิติสุขภายในอย่างมาก ซึ่งไม่สามารถจะมีประสบการณ์นี้ได้ภายใต้สภาวะแวดล้อมอื่นใดได้เลย นี่ควรจะเป็นระยะเวลาของการทดลองและฝึกฝน

สันสการ์ในอดีตจะปรากฏขึ้น ความคิดเกี่ยวกับสิ่งของวัตถุและสัมพันธ์ทางร่างกายจะสร้างอุปสรรคในการทำสมาธิที่ราบรื่น ความพยายามใด ๆ ที่จะขับไล่มันออกไป กลับจะนำมันกลับมาด้วยความรุนแรงที่มากขึ้น ผู้มุ่งมั่นต่อการฝึกฝนควรจะระมัดระวัง และทำให้ความคิดที่บุกรุกเข้ามานั้นเปลี่ยนเป็นความคิดที่สูงส่งขึ้นด้วยการพิจารณาไตร่ตรองความรู้ของพระเจ้า

ความคิดเกี่ยวกับบุคคลใด ๆ ที่มีกิเลสทั้งห้าควรจะแทนที่โดยการฟื้นฟูความคิดที่ดีและสูงส่งเกี่ยวกับดวงวิญญาณ พระเจ้า ละครโลก ประโยชน์จากความรู้ของพระเจ้าและราชโยคะ หลังจากที่มีการต่อสู้ในตอนต้นบ้างแล้ว การเร่ร่อนของความคิดก็มีแนวโน้มทีจะลดลง และการเพ่งรวมก็จะเริ่มพัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ความคิดที่บริสุทธิ์จะมาแทนที่ความคิดที่ไม่ดีและไร้ค่า ความมุ่งมั่นที่มั่นคงและความแน่วแน่จะขจัดอุปสรรคและสิ่งกีดขวางทั้งหมด

หฐโยคะพยายามที่จะสร้างความว่างเปล่าของจิตใจด้วยการบังคับเรียกว่า Shoonyasamadhi (สูญญาสมาธิ) ด้วยการขับไล่ความคิดทั้งหมดออกไป ในการพยายามที่จะควบคุมความชั่วร้ายและควบคุมความคิดที่ไม่จำเป็น ความว่างเปล่าของจิตใจเช่นนี้ ได้รับเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ระบบนี้มีพื้นฐานอยู่บนหลักการที่ผิด ซึ่งวิธีนี้จะขับไล่ความคิดที่ดีออกไปพร้อม ๆ กับความคิดที่ไม่ดีด้วย


สมาธิและการเพ่งรวม
หลังจากที่อุปสรรคในตอนแรกหมดไป ผู้มุ่งมั่นในการฝึกฝนก็จะมีสมาธิที่ดี สภาวะนี้จะปรากฏขึ้นในระหว่างกิจวัตรประจำวันในรูปของการมีสำนึกแห่งการเป็นดวงวิญญาณและมีการละวางเพิ่มขึ้น มีผลในการขจัดความคิดที่ไม่ดีและสามารถทำให้ผู้ฝึกฝนได้ฝึกหัดการควบคุมการมีอำนาจเหนือคำพูดและการกระทำมากขึ้น นำไปสู่ชีวิตที่เติมไปด้วยความปิติ และปราศจากกิเลส

ยิ่งกว่านั้นการฝึกฝนนำไปสู่สภาวะต่อไปคือ การเพ่งรวม บัดนี้ผู้ฝึกฝนก็มีความปรารถนาที่กระตือรือร้นและมีความรักอย่างลึกซึ้งสามารถทำให้เขาบรรลุถึงสำนึกที่สูงส่งอย่างง่ายดาย ขณะที่เขาเริ่มพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับพระเจ้า เขาก็สามารถเปิดสวิซของความคิดของเขาไปยังท่านได้ทันทีอย่างง่ายดายมาก เช่นเดียวกับการเปิดสวิซไฟ ความคิดที่เสีย ๆ ของเขานั้นมีน้อยมาก และพระเจ้าก็เป็นจุดรวมของความคิดของเขา และเขาก็มีการเพ่งรวมที่ดี ซึ่งจะเผาสันสการ์ที่เป็นกิเลสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับแสงพระอาทิตย์ที่รวมตัวกันจะทำให้เกิดไฟ เมื่อแสงนั้นผ่านเลนส์รวมแสง(ดูภาพประกอบ)




สิ่งทีจะต้องมีเพื่อการฝึกฝนราชโยคะ
พรหมจรรย์หรือการอยู่อย่างบริสุทธิ์ อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์และอาหารที่บริสุทธิ์ คุณภาพที่สูงส่งและการศึกษาทางจิตวิญญาณ เหล่านี้คือ เสาของราชโยคะ ซึ่งจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากบ่วงพันธะของความไม่สงบ ความทุกข์ทรมาน โรคร้าย และความทุกข์ระทม ราชโยคะจะเผาความไม่บริสุทธิ์อันเกิดจากการกระทำในอดีต เช่นเดียวกับเลนซ์ขยายที่สามารถรวมความร้อนของแสงอาทิตย์เพื่อเผากระดาษโดยง่ายดายจากจุดที่แสงรวมตัว


การตระหนักรู้และการซึมซับ
การเพ่งรวมนำไปสู่สภาวะสุดท้ายของการตระหนักรู้ เมื่อผู้ฝึกฝนนั้นซึมซับความปิติสุขของพระเจ้าไว้อย่างเต็มที่ ในสภาวะนี้โยคีบรรลุถึงรูปสูงสุดของสำนึกทางดวงวิญญาณ เขามีสำนึกรู้ว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณ และพระเจ้าเป็นดวงวิญญาณสูงสุด และจิตใจของเขาก็ยอมรับในดวงวิญญาณสูงสุดผู้ไม่มีร่างอย่างเต็มที่ มันเป็นสำนึกที่สูงสุดซึ่งรู้จักกันในนามว่า โยคะ

ดวงวิญญาณได้รับประสบการณ์กับชีพบาบาอย่างที่ท่านเป็น  สำนึกแห่งความเป็นร่างได้หายไปอย่างหมดสิ้น ด้วยจิตใจที่เพ่งอยู่กับพระเจ้า การเผาบาปด้วยเปลวที่ร้อนแรงของไฟแห่งโยคะก็เกิดขึ้น ซึ่งจะหลอมดวงวิญญาณและหลอมสิ่งเจือปนแห่งสันสการ์ที่เต็มไปด้วยกิเลสออกไป บาปในอดีตถูกชำระ ดวงวิญญาณก็จะได้รับคุณลักษณะเดิมแท้ของความบริสุทธิ์ ความสงบ อำนาจ ความรัก และความปิติกลับคืนมา ผลนั้นเข้มข้นมาก ดวงวิญญาณก็รู้สึกอย่างต่อเนื่องต่อความปิติและความซาบซึ้งที่สูงส่ง หลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกฝนแล้ว



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ






Monday, June 3, 2013

การฝึกฝนราชโยคะ


สิ่งที่ต้องรู้ก่อนการฝึกโยคะ
การฝึกราชโยคะไม่มีความต้องการมนต์ตราใด ๆ หรือเวทย์มนต์ลูกประคำ ท่าทางร่างพิเศษ หรือการควบคุมลมปราณ ฯลฯ เครื่องช่วยเหล่านี้ถูกใช้โดยผู้บูชากราบไหว้ในหนทางแห่งการกราบไหว้ร้องขอ อย่างไรก็ตามการฉลองการบูชาร้องขอทั้งหมด ในจิตใจของผู้กราบไหว้บูชาก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับพระเจ้าเลย จิตใจของเขาอาจจะดื่มด่ำอยู่ในพิธีทางศาสนาของการกราบไหว้ร้องขอชั่วคราว แต่นั้นไม่ใช่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นการติดต่อกับพระเจ้า

ผู้กราบไหว้ส่วนมากจะโอดครวญและจิตใจของเขาเร่ร่อนไม่อยู่กับที่ แต่โดยปราศจากความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งเป็นพื้นฐานของราชโยคะ แม้แต่ความสัมพันธ์ทางโลก เมื่อบุคคลคิดถึงผู้ที่เป็นที่รักหรือผู้ที่ใกล้ชิดใด ๆ ของเขา เขาไม่ต้องนั่งในท่าพิเศษหรือปิดตา หรือคิดถึงรูปลักษณะ ในทางตรงข้ามเพียงแต่ความคิดเดียวก็เพียงพอที่จะนำทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องมายังจิตใจของเขาทันที ในกรณีของคู่รักก็มีความดึงดูดของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดหรือทำอะไร จิตใจก็คิดถึงกันและกันอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง นี่คือรูปแบบของความรักที่ล้ำลึกและความปิติสุขที่ผู้ปรารถนาจะเป็นโยคีต้องการเพื่อพัฒนาให้เกิดความรักต่อพระเจ้า

ราชโยคะเป็นการคิดถึงพระเจ้าอย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การนั่งในท่าพิเศษหรือการปิดตา เป็นการฝึกฝนที่ขัดธรรมชาติซึ่งพิสูจน์แล้ว่าเป็นการขัดขวางการฝึกฝนที่ต่อเนื่องที่ให้ผลในทางบวกต่อราชโยคะ เราไม่สามารถนั่งในท่าที่ตายตัวหรือท่าใดเป็นเวลานาน ๆ บุคคลก็เช่นกัน ไม่สามารถที่จะกลายเป็นคาร์มาโยคีได้ด้วยการทำเช่นนั้น

นอกจากนี้การปิดตายังทำให้ง่วงนอน เกียจคร้านและความคิดเร่ร่อนสับสน ดังนั้นแทนที่จะปิดตา เราควรที่จะปิดจิตใจต่อความคิดทั้งหมดและคิดถึงพระเจ้าชีว่าด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความรักเพียงหนึ่งเดียวแทน มันเป็นประสบการณ์ธรรมดาเมื่อเราจมอยู่ในความคิดถึงที่ล้ำลึก เราจะไม่ได้สังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ถึงแม้ว่าดวงตาของเรากำลังเปิดอยู่

การเปิดตาระหว่างการทำสมาธิไม่ได้หมายความว่า เป็นการบังคับไม่ให้กระพริบตาหรือจะต้องมองไปในทิศทางเดียว เราจะต้องสรุปคุณสมบัติของพระเจ้าและความสัมพันธ์กับท่าน ซึ่งขึ้นอยู่กับขอบเขตของความรู้ที่ได้รับและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยการฝึกฝนการทำสมาธิ ทุก ๆ รายละเอียดเกี่ยวกับพระเจ้าจะเกิดขึ้นภายในจิตใจอย่างทันทีทันใดและเป็นอัตโนมัติ



หลักการและวิธีปฏิบัติของราชโยคะ
การฝึกราชโยคะในตอนเช้าตรู่ระหว่าง ตี 4 ถึง ตี 5 เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะจิตใจนั้นสดชื่นในตอนเช้าและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสงบ จัดให้มีสถานที่เงียบและสะอาดในบ้านของเรา เพื่อจุดหมายนี้ ติดไฟสีแดงส้ม ซึ่งเป็นเครื่องหมายของแสงสีแดงทอง ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในพารามธรรม จุดธูป ถ้าสภาวะของจิตใจซัดส่ายให้เปิดเพลงหรือเพลงบรรเลงเบา ๆ นี่จะช่วยปรับจิตใจเพื่อการเชื่อมต่อกับพระเจ้า เครื่องช่วยภายนอกเหล่านี้ไม่จำเป็น แต่สามารถช่วยผู้ที่อยากฝึกปฏิบัติให้นั่งในท่าที่สบายและทำตนเองให้ผ่อนคลาย

เริ่มต้นด้วยการไตร่ตรองว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณ แยกออกจากร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุนี้ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นอมตะ ฉันเป็นดวงดาวที่เล็กมากเหมือนกับจุดแห่งแสงที่ส่งประกาย และเต็มไปด้วยอำนาจ อาศัยอยู่ที่กึ่งกลางหน้าผากของร่ายกายฉัน ความบริสุทธิ์และความสงบเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของฉัน"


หลังจากที่กำหนดตัวเองให้อยู่ในสำนึกที่มีสภาวะของสำนึกเป็นดวงวิญญาณ ให้ส่งความคิดของเราไปยังโลกวิญญาณ นั่นคือพารามธรรมและไตร่ตรองว่า "ฉันได้ลงมาในสัตยุค บนเวทีละครโลกนี้จากพารามธรรม และหลังจากที่ได้เล่นบทบาทของฉันถึง 84 ชีวิต บัดนี้ฉันต้องกลับไปยังอาณาเขตสูงสุดซึ่งอยู่ไกลโพ้นพ้นไปจากดวงอาทิตย์ และ ดวงดาว"

ด้วยดวงตาของความคิด มองเห็นว่าในพารามธรรม หรือบราห์มโลก ที่นั่น ดวงวิญญาณสูงสุดซึ่งเรียกว่าพระเจ้่าชีว่าอาศัยอยู่ ชีพบาบาซึ่งเป็นจุดแห่งแสงซึ่งมีชีวิตและสว่างไสว แผ่กระจายแสงที่สูงส่ง อำนาจ ความสงบ ปิติ และความรัก ให้เพ่งรวมความคิดและคิดว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณ และมีชีพบาบาผู้เป็นที่รักที่สูงสุด เป็นทั้งพ่อทั้งครู และผู้ปลดปล่อย ให้รู้สึกถึงแสงของท่าน อำนาจ ความสงบและความปิติ ได้แผ่ลงมายังดวงวิญญาณของเรา และเราก็อาบอยู่ในแสงและอำนาจของท่าน ให้เพ่งความคิดของเราไว้ที่นั่น และเริ่มคิดคำนึงว่า ชีพบาบาผู้เป็นที่รักที่สุดของฉัน ท่านเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ ความสงบ ความรักและความปิติ ท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้ให้คุณประโยชน์และเป็นผู้ทำให้ชีวิตของฉันพ้นภัย "บาบาที่สุดแสนหวานของฉัน ฉันช่างมีโชคที่ได้รู้จักท่านและมีการเชื่อมต่อทางความคิดกับท่าน บาปในอดีตได้ถูกชำระโดยแสงและอำนาจของท่าน ฉันได้เข้าใจแล้วว่า  ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้นำทางที่แท้จริงของฉันและจะปลดปล่อยฉันจากบ่วงพันธะทั้งหมด"

ให้ทำสมาธิในรูปแบบนี้ และดื่มด่ำอยู่ในความสนุกสนานของความปิติที่ได้พบกับท่าน เรารู้สึกถึงพลังที่เข้ามาเหมือนกับกระแสไฟฟ้า เราจะมีประสบการณ์เหมือนกับมีแสงที่สูงส่ง ความปิติ ความสงบและความรักที่สูงส่ง กำลังไหลเอ่อท่วมท้นอยู่ในตัวเรา

จงดื่มด่ำอย่างล้ำลึกในความปิติสุขนี้ให้นานเท่านานที่เราสามารถเพ่งรวมได้ ถ้าการเพ่งรวมนั้นขาดตอน ให้เริ่มต้นไตร่ตรองเช่นนี้ "ฉันเป็นดวงวิญญาณ เป็นดางดาวที่ส่องแสง มีความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยความปิติสุขในธรรมชาติดั้งเดิมของฉัน ฉันเป็นลูกที่เป็นอมตะของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ชีพบาบา ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้รับคุณลักษณะอันสูงส่ง ในความคิด คำพูด และการกระทำเช่นท่าน ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเอง หรือผู้ใดด้วยการกระะทำที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสทั้งห้า ฉันจะได้รับสถานภาพเทพ ด้วยการกลับกลายมาเป็นผู้ปราศจากกิเลส ฯลฯ"

ให้จมดิ่งอยู่ในประสบการณ์ของแสง และอำนาจที่ปรากฏขึ้นจากบาบาและหลวมรวมไว้ในตัวเองอย่างสมบูรณ์ ให้อยู่ในสภาวะนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แ้ล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว ที่สูงส่งแล้ว และเป็นดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยอำนาจของแสงที่ทรงพลัง ด้วยความรักและความสงบ นี่คือการสรุปหนทางของการฝึกฝนราชโยคะ การฝึกฝนนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เราควรจะปรับและเปลี่ยนแปลงในตามความต้องการของแต่ละคน เพื่อว่าการไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นของความรู้ของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ และคุณธรรมที่สูงส่งก็จะกลายป็นสิ่งที่ง่ายดาย

การฝึกฝนนี้ควรจะทำสองครั้งในตอนเช้าและก่อนเข้านอน ระหว่างวันก็เช่นกัน ควรจะมีการฝึกฝนเป็นระยะสั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง เราจะรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่นและได้รับการเติมพลัง ควรจะสังเกตว่าภาระกิจปกติทั้งหมดสามารถดำเนินไปได้ ในขณะที่มีการฝึกฝนโยคะ.



จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ



Sunday, June 2, 2013

พื้นฐานของราชโยคะ(2)



ราชโยคะเป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก ระหว่างดวงวิญญาณและพระเจ้า มันเป็นการถอนความคิดจากความสัมพันธ์ทางร่างกาย จากอาจารย์ จากคัมภีร์ และลูกประคำที่นับถือ เช่นเดียวกับความคิดที่เป็นกิเลสของตัณหา ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยึดติดและหยิ่งทะนงตน

สำนึกของความเป็นดวงวิญญาณ
มนุษย์ค่อย ๆ ลืมความเป็นดวงวิญญาณของตนทั้งหมด และการมองต่อภาพชีวิตทั้งหมดถูกควบคุมโดยสำนึกแห่งความเป็นร่าง แม้แต่คำสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าก็ถูกกระตุ้นโดยความปรารถนาต่อสิ่งของซึ่งจะให้ความพึงพอใจทางร่างกาย ก้าวแรกของการฝึกหัดของราชโยคะ คือการฝึกมีสำนึกแห่่งความเป็นดวงวิญญาณ เหมือนกับฉนวนของสายไฟจะต้องถูกปอกออกก่อนที่จะมีการเชื่อมต่อเข้ากับพลังของกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามสาย เช่นเดียวกับสำนึกแห่งการเป็นร่างจะต้องถูกละทิ้งก่อนที่ดวงวิญญาณจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าชีว่า ที่เป็นแหล่งกำเนิดของแสงสูงสุดและแหล่งกำเนินของอำนาจสูงสุด

ดังนั้นเราควรจะมีความคิดมุ่งมั่นอย่างมั่นคงว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณ สิ่งซึ่งมีชีวิตแตกต่างจากร่างกาย ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของฉันคือพารามธรรม มันเป็นฉันนี่เองผู้ซึ่งเป็นผู้ควบคุมร่างกาย" ร่างกายเป็นเหมือนกับเครื่องแต่งกายของนักแสดง ซึ่งแต่งโดยดวงวิญญาณเพื่อการแสดงในบทละครแห่งชีวิตซึ่งเป็นอมตะ เราจะต้องมองดูผู้อื่นเป็นดวงวิญญาณเป็นพี่น้องของเรา ดังนั้นขณะที่อยู่ในร่างกายเราจะต้องคิดว่าตัวเองและคนอื่นๆ เป็นเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น และจะต้องฝึกฝนความคิดนี้อย่างต่อเนื่องให้มีสำนึกเป็นดวงวิญญาณให้มากที่สุด


สำนึกแห่งการรู้จักพระเจ้า (God-Consciousness)
พระเจ้าเป็นแหล่งพลังทั้งหมดที่เป็นอมตะ เป็นแหล่งคุณธรรมที่สูงส่ง เป็นแสงและเป็นอำนาจที่ดวงวิญญาณต้องการเพื่อนำมาชำระตนเอง การได้มาซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จากพระเจ้าสู่ดวงวิญญาณจะเกิดขึ้นเพียงเมื่อมีการเชื่อมต่อทางดวงวิญญาณกับท่านโดยผ่านสำนึกแห่งการรู้จักพระเจ้า ราชโยคะเป็นการรู้จักพระเจ้าว่าเป็นดวงวิญญาณสูงสุด ในเวลาปัจจุบันที่มีการขยายตัวของความไม่เชื่อในพระเจ้า ความคิดใหม่เกี่ยวกับโยคะที่แยกตัวออกไปได้พัฒนาขึ้น ซึ่งไม่มีเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าในระบบของโยคะเหล่านั้น เป็นเรื่องของการบริหารทางร่ายกายต่าง ๆ การฝึกหัดการควบคุมลมหายใจ และการควบคุมความคิดก็ถูกสอนว่าเป็นโยคะ โดยปราศจากพลังของพระเจ้า ผู้ฝึกปฏิบัติจะต้องใช้ความเพียรพยายามของตนเองทั้งหมด หรือจากการชี้แนะของมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ การบรรลุผลของพวกเขาจึงมีขีดจำกัดเป็นอย่างมาก ในทางตรงข้ามราชโยคีสร้างสายสัมพันธ์ของลูกและพ่อกับพระเจ้าด้วยการคิดว่า "ฉันเป็นลูกผู้เป็นอมตะของพ่อผู้เป็นที่รักยิ่ง ท่านคือดวงวิญญาณสูงสุด" ภายใต้คุณลักษณะของพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นมหาสมุทรของความรู้ ความสงบ และเป็นผู้ให้การหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต ในเวลานั้นความคิดของเขาจมอยู่ในสภาวะของการทำสมาธิที่ล้ำลึก แล้วจิตใจก็เริ่มมีประสบการณ์แห่งความปิติสุขในมรดกที่แท้จริงของพ่อสูงสุด

ในรูปของความสงบสุขสูงสุด ความปิติและความสุข เขาจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างยาวนานกับความสุขอันไม่มีขอบเขต แม้แต่ขณะที่เขากำลังทำงานทางโลกอยู่ ประสบการณ์ความสุขเหนือประสาทสัมผัสของราชโยคีก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้น เป็นสัดส่วนกับการฝึกฝนสำนึกแห่งการรู้จักพระเจ้าที่เข้มข้นขึ้น มันเป็นการยากที่จะอธิบายด้วยคำพูด มันเป็นสิ่งที่จะต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง


การละวางและการถอนตัวเอง
การฝึกราชโยคะไมใช่เป็นงานอดิเรกชั่วคราว มันเป็นวิถีของชีวิต มันถูกเีรียกว่าเป็นศิลปะหรือศาสตร์ของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการดำเนินชีวิตเช่นราชโยคี ในทางปฏิบัติเราจะต้องเปลี่ยนแปลงการมองชีวิตอย่างสมบูรณ์และซึมซับความรู้สึกต่อคุณธรรมใหม่ ราชโยคีนั้น ขณะที่ทำงานซึ่งเป็นภาระสำคัญของชีวิต จะคิดว่าการยกระดับจิตใจซึ่งจะให้ความสุขอย่างเป็นอมตะ เป็นเป้าหมายหลักและเป็นจุดประสงค์ของชีวิต และเขาก็รู้ว่านี่เป็นชาติเกิดสุดท้ายของกัลปและการทำลายล้างของยุคเหล็กโลกเก่าซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส โดยอาวุธนิวเคลียร์และความหายนะอันเนื่องจากธรรมชาติมีให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว

ดังนั้น ราชโยคีจึงหยุดไขว่คว้าทุกสิ่งซึ่งมีมากเกินความต้องการ และหลีกเลี่ยงการกระทำทางโลก เขาจะต้องใส่ใจต่อการสะสมสมบัติที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ นั่นคือคุณธรรมสูงส่งในดวงวิญญาณให้มากขึ้น ๆ การหยุดไขว่คว้านี้ไม่ได้หมายถึงการสละละทิ้งการงาน ราชโยคีเป็นคาร์มาโยคี แต่จะเว้นจากการกระทำที่เป็นกิเลสและจะทำแต่กรรมที่สูงสุดหรือสุกรรม เพื่อที่จะสร้างสันสการ์ที่สูงส่ง เขาใช้เวลาและทรัพยากรที่จะให้ความสุขส่วนตัวกับตนเองน้อยมาก และสละพลังอย่างสูงสุดสำหรับงานรับใช้ที่สูงส่งที่สุดที่จะนำมาซึ่งการปลุกดวงวิญญาณเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายให้ตื่นขึ้น เขาละวางจากทัศนคติต่อโลกกิเลสนี้ และเป็นเช่นเต่าที่ใช้อวัยวะของร่างกายเมื่อต้องการ และหดอวัยวะกลับเข้าไปในสภาวะของสำนึกของการเป็นดวงวิญญาณ ราชโยคีไม่ต้องมีการทำความเพียรเป็นพิเศษใด ๆ เพื่อการละวางหรือถอนตัวเองจากความสัมพันธ์ทางร่างกายที่มี

เราจะนำตัวอย่างมาอธิบายสิ่งนี้ เมื่อสายไฟถูกเชื่อมต่อเข้ากับโรงงานไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ "เปิดสวิทซ์" (switch) กระแสไฟฟ้าก็จะเริ่มไหล จิตใจของมนุษย์ เหมือนกับสวิทซสองทาง ดวงวิญญาณสามารถได้รับแสงและอำนาจ ซึ่งแผ่กระจายมาจากพระเจ้าชีว่าอย่างไม่หยุดหย่อน โดยเพียงแต่เปิดสวิทซความคิดพุ่งตรงไปยังท่าน ทันทีที่การเชื่อมต่อได้ถูกสร้างขึ้น มันก็จะเปิดสวิทซจากทางโลกโดยอัตโนมัติ การปล่อยวางเช่นนี้ ก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติจากการที่เขาเพิ่มการเปิด สวิทซเพื่อเชื่อมต่อกับพระเจ้าชีว่า.


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ