Thursday, May 23, 2013

ดวงวิญญาณมนุษย์ไม่ได้ข้ามชาติไปเกิดเป็นสัตว์



ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ระหว่างกัลปดวงวิญญาณมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติ และได้รับร่างเป็นมนุษย์ตลอด มีมนุษย์บางพวกซึ่งเชื่อว่า ดวงวิญญาณมนุษย์จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์ด้วย พวกเขาเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายถึง 8ล้าน 4แสนชนิดในโลก ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงสุด พวกเขามีความเห็นว่า ดวงวิญญาณมนุษย์ที่ไปเกิดในสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อเป็นการลงโทษต่อการกระทำที่ไม่ดี

มีสถาบันทางความคิดสองแห่งที่เชื่อในสิ่งนี้ สถาบันแรกมีทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิดที่มีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณจะต้องผ่านวงจรของการเกิดทั้งหมด 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ แหล่งที่สอง มีทฤษฎีที่ความจำกัดในการข้ามสายพันธุ์ ซึ่งมนุษย์จะกลับไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดขึ้นอยู่กับบาปของเขาที่ทำไว้ และหลังจากการทนทุกข์จากการลงโทษในร่างสัตว์หนึ่งชาติหรือหลายชาติ ดวงวิญญาณของเขาจึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็ยังมีทฤษฎีของการวิวัฒนาการที่นำเสนอข้อคิดเห็นโดยนักปราชญ์ฝ่ายตะวันตก ว่ามนุษย์จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาอย่างช้า ๆ จาก อมีบา (สัตว์เซลเดียว) ทฤษฏีเหล่านี้จะนำมาอธิบายในหัวข้อต่อไปนี้


ทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด
ก่อนอื่นเราจะพิจารณาทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด ผู้สนับสนุนความคิดนี้เชื่อว่าดวงวิญญาณที่เกิดมาในร่างมนุษย์จะ้เกิดได้หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดอย่างสมบูรณ์ในวงจรการกลับมาเกิดที่ยาวนานถึง 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์

ตามที่พวกเขาว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นโอกาสที่หายากเป็นอย่างยิ่งที่เตรียมไว้ให้โดยพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ ท่านจะให้โอกาสกับดวงวิญญาณได้พบกับความหลุดพ้นด้วยตัวเองจากละครโลกตลอดไป มันเป็นช่วงสั้น ๆ ของการเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ดวงวิญญาณสามารถจะทำความเพียรเพื่อบรรลุถึงการหลุดพ้นเช่นนี้ได้ แล้วดวงวิญญาณควรที่จะพลาดโอกาสนี้หรือ ถ้าพลาดมันจะต้องมีการผ่านการทดสอบที่ทรหดอีกรอบหนึ่งในวงจรที่ไม่ได้ร่างเป็นมนุษย์ถึง 8ล้าน 4แสนร่าง ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ในคราวหน้า แล้วจึงจะเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะทำให้ตนเองมีโอกาสที่จะพบกับการหลุดพ้นด้วยตัวเองจากโลกนี้

ดูจากเหตุผลนี้การเกิดในร่างมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากและพิเศษมากอย่างที่พวกเขาอ้างไว้ การตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะพบว่าความคิดนี้เพ้อฝันและไร้เหตุผลอย่างยิ่ง พวกเราลองคิดดูและจินตนาการว่า ดวงวิญญาณได้รับร่างมนุษย์หลังจากเกิดมา 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ประชากรของเผ่าพันธุ์ในโลกก็จะคงที่ กล่าวคือลิง ยุง วัว อีกา นกกระจอก ปลา แมลงวัน ฯลฯ ก็จะต้องมีจำนวนที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่มันเป็นดังนั้นหรือไม่

นอกจากนี้การเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณ จะเกิดโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเกิดในแต่ละสายพันธุ์มาเป็นลำดับเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาอะไรเป็นหลักการในการเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณไปยังสายพันธุ์ที่ต่ำกว่า (สัตว์) ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำที่ชั่วร้ายหรือทำบาป ถ้าเช่นนั้นกฏแห่งกรรมก็ไม่มีผลใช่ไหม?? แล้วจะอธิบายการเกิดมาเป็นมนุษย์เพียง 2-3 วันได้อย่างไร การตายในวัยทารกที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวงจรที่ยาวนานของการเกิดเป็นสัตว์ถึง 8ล้าน 4แสนชนิด อีกอย่างหนึ่ง การได้เกิดเป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวหลังจากที่เกิดในร่างอื่นถึง 8ล้าน 4แสน ชนิด ก็หมายความว่าโลกนี้เป็นแหล่งที่ทุกข์ระทมที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกดวงวิญญาณ แล้วทำไมผู้สร้าง ซึ่งเป็นผู้ให้คุณประโยชน์และเป็นผู้เอื้ออำนวยความสุขต้องการให้มันเป็นเช่นนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นใครเป็นผู้นับและัพิสูจน์ได้อย่างน่าเชื่อถือว่าจำนวนสายพันธุ์นั้นมี 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์ ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่า ผู้ให้การสนับสนุนทฤษฏีนี้ไม่สามารถให้คำตอบที่เป็นที่น่าพอใจต่อคำถามนี้ได้


การเกิดเป็นสัตว์ไม่สามารถเกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ชั่วร้ายของมนุษย์
ทฤษฎีที่สองเป็นทฤษฏีวงจรการเกิดที่เปลี่ยนแปลงสลับสายพันธุ์ที่จำกัด ด้วยการมีความพยายามที่จะสร้างความเกี่ยวพันระหว่างการข้ามชาติเกิดระหว่างสายพันธุ์และกฏแห่งกรรม มีความพยายามที่จะทำให้ทฤษฏีถูกต้องถึงแม้ว่าจะไร้ผล มันอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาของมนุษย์ที่มีกิเลสที่ได้จินตนาการไว้ว่า สันดานที่ไม่ดีของมนุษย์จะทำให้เขากลับไปเกิดในร่างของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีการพูดว่าผุ้ที่สร้างความเย้ายวนใจจะไปเกิดเป็นสุนัข คนที่โลภมากจะไปเกิดเป็นงู คนที่มีลูกมากจะไปเกิดเป็นหมูในชาติหน้า ถ้าใครแอบฟังคนอื่นพูดจะเกิดเป็นจิ้งจก ฯลฯ และอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนได้ว่าการกลับมาเกิดของมนุษย์จะเกิดเป็นสัตว์เช่นนั้นเช่นนี้


เชื่อถือไม่ได้และไร้เหตุผล
เรามาตรวจสอบในกรณีของคนที่มีความหมกมุ่นทางกาม ที่ถูกเชื่อว่าจะกลับมาเกิดเป็นสุนัข ด้วยเหตุผลว่าสุนัขนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศด้วย ถ้าเป็นจริง สันสการ์ของดวงวิญญาณที่เกี่ยวกับกามราคะก็จะไม่จบสิ้น ในทางตรงข้ามมันจะรุนแรงมากขึ้นเพราะว่าสุนัขก็ยังมัวเมาอยู่ในกามตัณหาอย่างต่อเนื่อง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะกลับชาติไปเกิดเป็นสุนัขเพื่อรับโทษ

อีกประการหนึ่งหลังจากดวงวิญญาณและร่างแล้วสัญชาตญาณของกามระคะก็ติดไปกับดวงวิญญาณและอุปนิสัยเดิมก็ติดไปกับเขาด้วย ดังนั้นเขาก็ยังรักษาสัญชาติญาณของการหมกมุ่นอยู่ในกามราคะในรูปที่เป็นมนุษย์ของเขา และแรงกระตุ้นทางกามราคะก็ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เพศตรงข้ามมากกว่าที่จะมีกับสัตว์อื่นใด ทุกวันนี้ มีผู้คนหลายล้านซึ่งมีความต้องการทางเพศมากกว่าสุนัข มันช่างไม่่สมเหตุสมผลเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าบุคคลที่มีความขอบหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามราคะเช่นนี้พวกเขาจะกลายเป็นสุนัขในชาติเกิดหน้าจึงไม่สมเหตุสมผลเลย

ตามความเป็นจริงพวกเขาจะกลับมาเกิดในฐานะมนุษย์ที่หมกมุ่นอยู่ในกามระคะเท่านั้น ตัวอย่างอื่นก็อยู่บนพื้นฐานเพียงแต่การนึกฝันและที่ไม่มีเหตุผลพอกัน และควรจะสังเกตว่าบาปเช่นนี้และการเกิดในร่างของสัตว์ได้มีการดึงเข้ามาให้มีการเกี่ยวพันกันในบางกรณีเท่านั้น เพราะว่าสัตว์ต่าง ๆ เช่น นกและสัตว์ที่มีสันสวยงามและน่ารักมีอยู่มากมาย อย่างเช่น นกยูง ผีเสื้อ นกแก้ว กระต่ายป่า กวาง ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับกรรมของมนุษย์ได้เลย


สองสิ่งที่ผิดไม่สามารถทำให้เกิดความถูกต้องได้
บางครั้งแนวคิดของมนุษย์ที่ว่าจะไปเกิดเป็นสตว์เป็นเพียงการค้นหาข้อแก้ตัวเนื่องจากการนำกฏแห่งกรรมไปใช้อย่างผิด ๆ ตัวอย่างเช่น มีการพูดกันว่าด้วยการฆ่าสัตว์ ผู้ฆ่าจะเกิดเป็นสัตว์นั้นในชาติหน้าและสัตว์นั้นก็จะกลับมาเป็นมนุษย์และฆ่าเขาเป็นการล้างแค้น แต่นั่นหมายความว่าเป็นการทำกรรมที่ไม่ดีซ้ำซ้อน ความผิดสองอย่างไม่ได้ทำให้เกิดความถูกต้อง นี่ไม่ใช่กฏแห่งกรรม บาปไม่ได้ถูกชำระโดยการทำบาปมากขึ้น แต่บาปจะถูกชำระด้วยความสำนึกผิดหรือถูกลงโทษ หรือโดยผ่านราชโยคะ ลองมาพิจารณาถึงกรรมของคนฆ่าสัตว์ เช่น ผู้ฆ่าสัตว์เป็นพันๆ ตัวในชีวิตของเขา เขาก็จะถูกฆ่าเป็นพันครั้ง นี่ก็จะชี้ให้เห็นของความเชื่อถือไม่ได้ของทฤษฏีนี้


กระบวนการของดวงวิญญาณจะปรากฏขึ้นโดยผ่านร่างมนุษย์เท่านั้น
มีคำถามอยู่ว่าถ้ามนุษย์ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ชาติเกิดในอดีตและชาติเกิดในอนาคตของเขาเอง แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปเกิดในร่างของสัตว์?? ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยว่าไม่มีการกลับไปเกิดข้ามสายพันธุ์ ซึ่งสามารถสนับสนุนโดยประสบการณ์ที่แน่ชัด 
กล่าวคือ ไม่มีกรณีใดที่บุคคลจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขาหรือเธอได้เกิดเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทุก ๆ เรื่องมีคำยืนยันอย่างชัดเจนว่าชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น นอกจากนี้ การทำนายของนักโหราศาสตร์ถึงชาติก่อนและชาติต่อไปของบุคคล ก็จะอ้างว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์เทานั้น


มนุษย์ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์
ในความเป็นจริงผู้ที่เชื่อเรื่องการเกิดข้ามสายพันธุ์ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณว่า สันสการ์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากสันสการ์ของสัตว์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้เหตุผล ขณะที่สัตว์ถูกชี้แนะโดยสัญชาตญาณของพวกมัน ตัวอย่างเช่น นกและแมลงจะทำรังและรวงของพวกมันในแบบเดิม ๆ โดยที่พวกมันถูกชี้ำนำให้ทำด้วยสัญชาติญาณเพียงเท่านั้น ดังนั้น สัตว์จึงไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาตามต้องการเหมือนกับมนุษย์ที่สามารถทำได้ นอกจากนั้นมนุษย์ยังเสพติดในกามราคะ ความโกรธและความรุนแรงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นดวงวิญญาณซึ่งใช้ร่างมนุษย์ถูกแบ่งขึ้นด้วยการกระทำของพวกเขาเอง ถ้าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปรับร่างของสัตว์ เหตุการณ์ที่ผิดปกติก็จะเกิดขึ้น สติปัญญา สันสการ์ของมนุษย์ ไม่สามารถที่จะแสดงออกโดยผ่านร่างสัตว์ 
ขบวนการที่เหนือกว่าของเขาไม่สามารถที่ใช้ได้ร่างสัตว์ เช่นกันดวงวิญญาณและสันสการ์ของสัตว์จะปรากฏขึ้นอย่างน่าหัวเราะเยาะในร่างมนุษย์ มนุษย์จะไม่เคยเป็นสัตว์และจะไม่เป็นสัตว์ตลอดไป แต่ในเวลานี้เขากลับเลวยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก.


ร่างของสัตว์ไม่ได้มีไว้เพื่อรับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษ
ร่างของสัตว์ไม่ได้มีจุดประสงค์ไว้สำหรับเป็นเครื่องมือลงโทษดวงวิญญาณมนุษย์ จุดประสงค์ของการลงโทษก็เพื่อให้ฆาตกรได้รับประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความโศกเศร้า เพื่อว่าเขาจะได้เรียนรู้และหยุดการกระทำที่เลวร้ายในอนาคต มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความเข้าใจว่าเขากำลังถูกลงโทษโดยผ่านความทุกข์ทรมาน เนื่องจากการกระทำความชั่วในชาติก่อนของเขา
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้แบกความเจ็บปวดและความโศกเศร้าแทนดวงวิญญาณมนุษย์แล้ว ทำไมดวงวิญญาณจึงมามีความทุกข์ในรูปมนุษย์อีก (บางคนทุกข์ทันทีที่เกิด) ในเมื่อได้รับการลงโทษตามกำหนดในร่างสัตว์แล้ว ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรที่เกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความไวในความรู้สึก และความอ่อนโยนของหัวใจ มนุษย์ฉลาดกว่าและมีความรู้สึกไวกว่าสัตว์ ดังนั้น แม้แต่คำพูดที่ทำให้เขาขายหน้าหรือถูกเยาะเย้้ยก็จะทำให้เขาเจ็บปวด เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นจึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ใส่ใจที่จะรักษามารยาทสังคม ประเพณี ชื่อเสียง สถานภาพและอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมาน ก็มีแต่ร่างของมนุษย์เท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับการเป็นเครื่องมือในการลงโทษดวงวิญญาณ บางคนคิดว่าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นร่างสำหรับการลงโทษมนุษย์ เพราะสัตว์ต่าง ๆ มีอวัยระเพื่อการใช้สอยน้อยกว่า แต่เราไม่ได้สังเกตหรือว่า มนุษย์ดก็มีบุคคลซึ่งตาบอด หูหนวก พูดไม่ได้ พิการ ฯลฯ ด้วยเช่นกัน
มีข้อโต้แย้งที่อ้างโดยคนทั่วไป ก็คือ ความกลัวที่จะเกิดมาเป็นสัตว์ทำให้มนุษย์หยุดการกระทำที่ชั่วร้าย แต่คนที่มีสติปัญญาก็จะหยุดการกระทำที่ไม่ดี เพียงแต่เขาได้เห็นการกระทำที่ไม่ดีเหล่านั้นในหมู่มนุษย์ และเห็นคนอื่นทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษเนื่องจากบาปของพวกเขา โดยต้องเป็นคนขี้โรค พิการ เป็นอัมพาต โรคเรื้อน บ้า ตาบอด ฯลฯ ด้วยเหตุจากบาปที่ของพวกเขาทำไว้ ดวงวิญญาณมนุษย์ก็ทุกข์ทรมานต่อผลทั้งหมดในร่างของมนุษย์นั่นเอง
ทุกวันนี้มีมนุษย์มากมายผู้ซึ่งกำลังทุกข์มากมายเหลือคณานับ เนื่องจากความยากจน ความหิวโหย โรคภัย บางคนหนีทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตาย เหตุเพราะความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส ดังนั้นร่างมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำความดีและความชั่วเท่านั้น แต่มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับเก็บเกี่ยวรับผลของการกระทำเหล่านั้นที่จะตามมาด้วย


ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างบาปและการไปเกิดข้ามสายพันธุ์
สัตว์ก็มีประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความสุขในแต่ละสายพันธุ์ของสัตว์ ถ้าสายพันธุ์ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่จะเป็นร่างสำหรับการลงโทษให้กับดวงวิญญาณมนุษย์ สัตว์ก็ควรจะพบกับทุกข์ทรมานตลอดเวลา แต่ไม่ไ้ด้เป็นเช่นนั้น สัตว์บางชนิดมีความสุขมากกว่ามนุษย์หลายคน เศรษฐีดูแลสัตว์เลี้ยงของเขาให้มีความสุขเป็นอย่างมาก สุนัขของคนรวยนั่งอยู่ในรถยนต์มีนมและขนมปัง ขณะที่ผู้คนที่ยากจนนับล้านกำลังอดอยาก มนุษย์บางคนเป็นคนรับใช้ดูแลม้าแข่ง และมีหมอหลายคนที่จะช่วยดูแลสุขภาพของม้าเหล่านั้นด้วย แต่ยังมีมนุษย์ผู้ซึ่งไม่ได้รับนมหรือยาใด ๆ เลย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าดวงวิญญาณมนุษย์จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์ เพราะการทำบาปบนโลกมากมายและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยบาป ประชากรของสัตว์จะต้องเพิ่มขึ้นและประชากรของมนุษย์จะต้องลดลงอย่างรุนแรง ในกลียุคปัจจุบันนี้ โลกก็จะกลายเป็นสวนสัตว์อย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าตกใจและไม่มีการลดลง


ความโศกเศร้าและความสนุกสนานในดวงวิญญาณแต่ละประเภท
ด้วยเหตุนี้ความเห็นเกี่ยวกับการได้ัรับโทษของดวงวิญญาณว่า จะต้องเปลี่ยนชีวิตไปเป็นสายพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ นั้นผิดอย่างแน่นอน การทำงานของกฏแห่งกรรมไม่ต้องอาศัยการเกิดใหม่ในสายพันธุ์สัตว์ ความทุกข์ทรมานและความสุขสามารถทีจะรับประสบการณ์ได้ในสายพันธุ์เดิม ถ้ามนุษย์จะต้องเกิดใหม่เป็นสัตว์เพื่อการลงโทษต่อการกระทำผิดของพวกเขา ก็จะไม่มีความทุกข์ทรมานในรูปที่เป็นมนุษย์ ผู้คนเกิดมาร่ำรวยหรือยากจน แข็งแรงหรืออ่อนแอ ปกติหรือไม่ปกติ ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตของพวกเขา บางคนมีข้อบกพร่องมาแต่กำเนิด บางคนสูญเสียอวัยวะบางส่วนระหว่างชีวิต ดังนั้นการเกิดการตายและเหตุการณ์อื่น ๆ ของชีวิต เกิดขึ้นตามกฏแห่งกรรม


ทำไมจะต้องเป็นสัตว์?? 
อาจจะมีคำถามว่าถ้าไม่มีการข้ามสายพันธุ์ในการเกิดใหม่ แล้วสายพันธุ์ของสัตว์นั้นมีความจำเป็นเพื่ออะไร สิ่งนี้จะต้องมีการอธิบาย แม้แต่การแสดงละครธรรมดาเรายังต้องการเวที ผู้แสดงในชุดต่าง ๆ ฯลฯ โลกนี้เป็นโรงละครใหญ่ ซึ่งมีโลกเป็นเวที (เรียกว่า Karmakshetra) มหาสมุทร ภูเขา แม่น้ำ พืชผักชนิดต่าง ๆ ฯลฯ ไม่ได้เพียงแต่เพิ่มความน่ารักและเป็นฉากที่โอฬารตระการตาให้กับโรงละครเท่านั้น แต่มันก็รับใช้เพื่อการควบคุมระบบของโรคละครด้วย เพราะว่าในละครนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ทำนองเดียวกัน สัตว์มากมาย นก แมลง ฯลฯ ก็ทำหน้าที่ของตนเองที่จะแสดงและรักษานิเวศน์วิทยาของธรรมชาติให้สมดุลพร้อม ๆ กับการเพิ่มความหลากหลายให้กับละครของชีวิตที่ยิ่งใหญ่บนโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ในวิถีทางของทุก ๆ คนและทุกสิ่งมีประโยชน์ในตนเอง และมีบทบาทที่จะเล่นในละครโลกของจักรวาลนี้.


สัตว์จะคงอยู่ในความเป็นสัตว์ชนิดนั้นตลอดไปหรือไม่ ???
บางคนเห็นว่าสัตว์นั้นต่ำและน่าสงสาร ดังนั้นจึงถามว่าสัตว์จะคงอยู่เป็นสัตว์เช่นนั้นหรือ ?  ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ดวงวิญญาณของสัตว์ก็มีอารมณ์และความรู้สึกที่สนุกสนานและเศร้าเป็นของตนเอง พวกเขาสนุกสนานและทนทุกข์ในวิถีทางของตน โดยผ่านนร่างกายในแต่ละชนิดของพวกตนตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปคิดว่าพวกเขานั้นต่ำหรือน่ารังเกียจ ความจริงก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดในสายพันธุ์ทั้งหมดและเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความดีงามของโลกทั้งโลก เมื่อมนุษย์กลายเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลส โลกทั้งโลกก็เสื่อมทราม ในยุคทองยุคเงินมนุษย์บริสุทธิ์สมบูรณ์และโลกก็เป็นสวรรค์ สัตว์ต่าง ๆ นกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสร้างทั้งหมดก็มีความสุขสูงสุด มีคำกล่าวที่เล่าลือกันเกี่ยวกับอาณาจักรของรามว่า สิงโตและวัวดื่มน้ำในบ่อเดียวกัน แสดงถึงสภาพที่บริสุทธิ์




ความบริสุทธิ์ของมนุษย์มีผลกระทบต่อการคงอยู่ของระบบนิเวศน์วิทยาทั้งหมด ดังนั้น ก่อนที่จะมีความเมตตาต่อสัตว์ มนุษย์ควรจะมีความเมตตาต่อตนเองด้วยการกลายมาเป็นผู้ที่สูงส่งและเป็นราชโยคี....บุญเริ่มต้นที่บ้าน


มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิง
ประมาณร้อยปีมาแล้ว นักธรณีวิทยาสองคน ชาร์ล (Charles) เรเยล (Lyel) และ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ (Theary of Evolution) เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสายพันธุ์ ตามที่พวกเขาอ้าง ชีวิตบนโลกนี้เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเองจากธาตุธรรมชาติในรูปของน้ำ ซึ่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า อมีบา ขึ้นมา แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่สายพันธุ์นับไม่ถ้วน



บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันถูกคิดว่าเป็น ลิงเอบ (Ape) และ ลิงชิมแปนซี มันเป็นทฤษฏีที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ และได้มีการไม่เห็นด้วยอย่างมากโดยคนจำนวนมาก ดาร์วิน (Darwin)เองค่อนข้างจะสงสัยเกี่ยวกับสิ่งนี้และพูดว่า "ผู้ซึ่งเชื่อว่าการบันทึกของธรณีวิทยามีความถูกต้องระดับหนึ่ง ไ่ม่เชื่อทั้งหมด จะปฏิเสธทฤษฏีอย่างไม่ต้องสงสัย" นักธรณีวิทยาและนักศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตที่ตามมาภายหลังทั้งหมด ก็มีการพิสูจน์ว่า ทฤษฏีของ ชาร์ล ดาร์วิน เป็นทฤษฏีที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัย ข้อเสียพื้นฐานของทฤษฏีนี้คือ มันเป็นความคิดที่โง่เขลาที่สุด เป็นความคิดที่ต่อต้านการมีอยู่ของดวงวิญญาณ มันไม่ได้มีการพิจารณาถึงความจริงว่าดวงวิญญาณและร่างกายเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน ด้วยเหตุุเพียงมีความคล้ายคลึงกันระหว่างร่างกายของมนุษย์และ ลิงเอบ (Ape) และลิงชิมแปนซี เท่านั้น ซึ่งต่อมาก็ถูกประกาศว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์
นักอภิจิตวิทยา (Parapsychologist) ก็ยอมรับถึงการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าดวงวิญญาณแล้ว (ดูหัวข้อ : ดวงวิญญาณมีอยู่จริงหรือ??) ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าสายพันธุ์ที่มีชีวิตได้ปรากฏขึ้นมาจากธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตด้วยตัวเอง  แล้วอะไรคือสาระสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณ??


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

No comments:

Post a Comment