Thursday, May 30, 2013

พื้นฐานของราชโยคะ (1)

การฝึกฝนราชโยคะนั้นต้องมีพื้นฐานตามหัวข้อต่อไปนี้




ความรู้ของพระเจ้า
ความรู้เป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความทรงจำทุกอย่างแม้แต่ในความสัมพันธ์กันทางโลก เราต้องมีการแนะนำให้รู้จักกันเพื่อสร้างสายใยแห่งมิตรภาพ ความรักและความสัมพันธ์ การรู้จักและการติดต่อ ก่อให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ปราศจากการรู้จักหรือมีความรู้ ก็ไม่มีประสบการณ์ชีวิตและเข้าใจความหมายของความสัมพันธ์ใด ๆ

ความเข้มข้นในการฝึกปฏิบัติและความเข้าใจสาระสำคัญและขอบเขตของความรู้ที่ได้รับเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อผลของความถูกต้อง ซึ่งสามารถจะแสดงให้เห็นได้โดยตัวอย่างในสัมพันธ์ของเด็กและพ่อแม่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเด็กกับพ่อแม่จะเริ่มต้นทันทีหลังจากที่เขาเกิด แต่ประสบการณ์ในทางปฏิบัติของความสัมพันธ์นี้จะรับรู้หลังจากที่เขาจำพ่อและแม่ของเขาได้ อีกอย่างหนึ่ง ขณะที่เด็กยังเล็ก ๆ อยู่ เขาเพียงแต่จำรูปร่างหน้าตาของพ่อแม่ไ้ด้ เมื่อเด็กโตขึ้นเขาก็เริ่มจะรับความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนิสัย ประเพณีของครอบครัว สังคมและสถานภาพทางการเงินและรายละเอียดอื่น ๆ ของพ่อแม่ นี่เองที่ทำให้เขาเข้าใจลึกซึ้งถึงสาระสำคัญของความสัมพันธ์นี้ เช่นเดียวกัน ความรู้ที่สมบูรณ์และถูกต้องเกี่ยวกับชื่ออันเป็นอมตะ รูปของดวงวิญญาณ ที่อยู่อาศัยสูงสุดและการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้าพ่อสูงสุดและเป็นแม่ของดวงวิญญาณทั้งหมดด้วย นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีก่อนเพื่อก่อให้เกิดการรับรู้การกระทำและสายใยแห่งความรักที่เต็มไปด้วยความหมายและความสัมพันธ์กับท่านซึ่งสรุปลงในคำว่า โยคะ

ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพระเจ้านี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกโยคะกับท่าน เหมือนอย่างเช่นหญิงสาวที่ยังไม่มีการหมั้นก็ไม่สามารถจำคู่หมั้นของเธอได้ ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีชื่อ ไม่มีรูป หรือผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง หรือตัวเองเป็นพระเจ้า จะไม่สามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพใด ๆ กับพระเจ้าได้ การฝึกโยคะของพวกเขานั้นอยู่ในขอบเขตของความไม่เป็นจริงและไม่มีผลเหมือนกับการติดต่อด้วยโทรศัพท์นั้นต้องหมุนหมายเลขที่ถูกต้องจึงจะสามารถติดต่อกันได้ เช่นเดียวกัน โยคะหรือการติดต่อกับพระเจ้าชีว่าจะทำให้ถูกต้องได้เมื่อจดจ่อจิตใจไปที่ท่าน ซึ่งหมายถึงการมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูป ที่อยู่อากศัย ฯลฯ ของท่าน


ศรัทธา
มีคำพูดว่า "ศรัทธา" นั้นสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้ ความรู้ให้แสงสว่างซึ่งนำไปสู่หนทางที่ถูกต้อง ในขณะที่ความศรัทธาเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความมั่นใจและช่วยในการหล่อเลี้ยงความเพียรพยายามและความกระตือรือร้นที่จะต้องมีเพื่อการบรรลุถึงจุดประสงค์สูงสุด อะไรก็ตามที่เชื่ออย่างมั่นคงก็สามารถปฏิบัติอย่างง่ายดาย ศรัทธาเป็นพลังในการหล่อเลี้ยงของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนทั้งหมด เมื่อสองคนได้มาเป็นเพื่อนกัน การวางตัวของพวกเขาก็เป็นกันเองมากขึ้น มนุษย์ได้สร้างภาพลักษณ์ของตัวเองด้วยทัศนคติทางจิตใจต่าง ๆ ซึ่งความศรัทธานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความสำเร็จอย่างสมบูรณ์จะต้องมีทั้งเหตุผลและทัศนคติของจิตใจที่มีความเลื่อมใสศรัทธา ความรู้ทำให้คนพัฒนาด้วยความเข้าใจด้วยเหตุผล ขณะที่ศรัทธาเป็นฐานแห่งความเลื่อมใสบูชา

ศรัทธาจะมีได้เมื่อเหตุผลที่อยู่ในความรู้ของพระเจ้าได้เปิดเผยตัวมันเอง ไม่มีที่ว่างสำหรับความศรัทธาที่มืดบอดในหนทางแห่งความรู้ของพระเจ้า ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นและมั่นคงโดยบุคคลที่มีประสบการณ์ ความก้าวหน้าในหนทางของราชโยคะต้องการความศรัทธาเต็มร้อยว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดความรู้ที่แท้จริงของพระเจ้า และท่านจะสัมผัสได้โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกันของเวลาปัจจุบันนี้ ท่านแสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่เต็มเปี่ยมต่อความรู้ของพระเจ้า และในมรดกของสถานภาพของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิตที่เป็นเทพด้วย ซึ่งพระเจ้ามอบให้ ในสวรรค์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา หลังการตัดสินครั้งสุดท้ายและผู้ที่เต็มไปด้วยความศรัทธาก็จะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ


ความสัมพันธ์
จะสังเกตได้ว่าบุคคลสามารถจำความสัมพันธ์ทางโลกของเขาอย่างทันที ไม่มีความเพียรพยายามใด ๆ ในการทำสิ่งนั้น ความถี่และความเข้มขันของความสัมพันธ์มีความเกี่ยวข้องกับความใกล้ชิดและความสนิทสนมของความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่นในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อหรือแม่และลูก หรือคนรักและผู้เป็นที่รัก การจำที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใจนั้นมันยากที่จะลืมได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับประโยชน์จากแหล่งที่ทรงพลัง แต่ถ้ามีความสัมพันธ์ทุกสิ่งเป็นประโยชน์ก็จะไหลมาโดยอัตโนมัติ

มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้ซึ่งสามารถจะช่วยเขาได้ในเวลาที่เขาต้องการ บัดนี้ ความสัมพันธ์ทางโลกทั้งหมดมีอายุสั้นและสามารถที่จะช่วยได้อย่างมีขีดจำกัด
พระเจ้าเป็น :
1. ผู้ที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านไม่ต้องการสิ่งใด ๆ สำหรับตัวท่านเอง
2. มีความเป็นกลางอย่างสมบูรณ์
3.เต็มไปด้วยพลังทั้งหมด และ
4. คงอยู่ตลอดไป

คุณลักษณะพิเศษเหล่านี้ของพระเจ้าไม่เคยพบเห็นในความสัมพันธ์ทางโลก ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงเป็นเพื่อนและญาติที่ดีที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น จึงได้รับสมญาที่สูงส่งเช่น ผู้เป็นที่รักที่สุด ผู้ที่น่ารักที่สุด ฯลฯ

พระเจ้าได้ให้การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีวิต ในโลกของเทพที่มีการปกครองตัวเองถึง 21 ชาติเกิดต่อเนื่องกันไป ในสวรรค์ซึ่งมีสถานภาพที่สูงที่สุดที่มนุษย์ปรารถนาจะได้ ถึงแม้ว่ามนุษย์จะร้องสรรเสริญท่าน และยกย่องท่านว่าเป็นพ่อและแม่สูงสุด เป็นครูและเป็นผู้นำทางดวงวิญญาณ ผู้นำทางและเป็นผู้กู้ภัย ผู้ไถ่บาป

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะคิดถึงหรือสวดอ้อนวอนเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นแหล่งสุดท้ายเมื่อทุกคนทิ้งพวกเขาไป เราควรจะถามตนเองว่าทำไมดวงวิญญาณควรจะต้องทนทุกข์จากความทุกข์และความโศกเศร้า ในเมื่อเราเป็นลูกที่เป็นอมตะของพระเจ้าดวงวิญญาณสูงสุด ผู้ซึ่งมีพลังอำนาจทั้งหมดที่ทำลายความทุกข์ได้ เป็นนายของทั้งสามโลกและเป็นมหาสมุทรของคุณธรรมทั้งหมด เหตุผลง่าย ๆ ก็คือมนุษย์ได้ลืมเลือนสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าทั้งหมด


ความรักทำให้การจำนั้นง่ายดาย
มนุษย์ใช้โทรศัพท์ วิทยุ การควบคุมทางไกล ฯลฯ เพื่อการติดต่อในระยะไกล เครื่องใช้ทั้งหมด เหล่านี้ใช้พลังไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง เช่น แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็ก ฯลฯ พระเจ้าไม่ใช่วัตถุแต่เป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุด เป็นสิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถรับรู้ได้โดยผ่านประสาทสัมผัสทางกายใด ๆ

มีเพียงแต่พลังอำนาจความคิดซึ่งเป็นพลังอำนาจทางดวงวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มีการเชื่อมต่อกับพระเจ้าได้ ความคิดสามารถไปถึงพระเจ้าผู้ปราศจากร่างที่อาศัยอยู่ในพารามธรรม ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตที่ไกลที่สุดโดยไม่ต้องใช้เวลา พลังอำนาจความคิดนี้เป็นวิธีทำงานโดยการคิดถึงพระเจ้าด้วยความตั้งใจ โดยผ่านการทำสมาธิหรือราชโยคะ การสัมผัสกับพระเจ้าสามารถทำได้ถ้าการจำนั้นอยู่บนฐานของความรู้ของพระเจ้าควบคู่กับความรักที่ลึกซึ้ง ความคิดที่โลดแล่นไปจะต้องได้รับการชี้นำโดยแสงสว่างของความรู้ซึ่งเป็นเครื่องสนับสนุนและเป็นพลังขับเคลื่อนความรักอันทรงอำนาจ ความรักเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งนำมาซึ่งการสัมผัสและการติดต่ออันสูงส่งนี้

โยคะคือการเชื่อมต่อด้วยความรักกับพระเจ้า เมื่อมีความกระตือรือร้นอย่างมากมายและมีความรักที่เปี่ยมล้นต่อพระเจ้าทำให้หัีวใจของโยคีวิ่งไปหาท่านและแนบอยู่ในความคิดถึงผู้ที่เป็นที่รักเพียงผู้เดียวไม่มีผู้ใดอื่น  มันจะต้องเป็นความปรารถนาและความต้องการที่ตอกตรึงความรู้สึกไว้กับพระเจ้า มีผลให้เกิดความคิดเดียวแห่งการบูชาด้วยความรักและซาบซึ้งอยู่ในความสูงส่ง ความรักเช่นนี้ทำหน้าที่เหมือนสิ่งมหัศจรรย์ที่จะทำให้ผู้นั้นอยู่ในสภาวะซึ่งเขาพร้อมที่จะนำนิสัยที่แข็งกระด้างของเขาออกมาสังเวยบนแท่นบูชาแห่งความรักที่สูงส่งนี้

ราชโยคะทำให้มีการชำระจิตใจและเปลี่ยนแปลงความรักของมนุษย์ และความรักก็สามารถที่จะเปลี่ยนรูปได้โดยง่าย โดยเปลี่ยนรูปของความรักนั้นไปเป็นความรักต่อดวงวิญญาณทั้งหมด ในตอนแรกความรักของเด็ก ๆ ก็มีต่อแม่ของเขา ซึ่งต่อมาก็ได้เปลี่ยนไปเป็นความรักต่อเพื่อนที่เล่นด้วยกัน และหลังจากแต่งงานเขาก็ไปรักภรรยา และต่อจากนั้นก็ไปรักลูก ๆ ของเขาแทน การเปลี่ยนความรักทางโลกไปเป็นความรักทางดวงวิญญาณต่อพระเจ้า เรียกว่า โยคะ สรุปง่าย ๆ โยคะคือการคิดถึงพระเจ้าด้วยความรัก.

จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Wednesday, May 29, 2013

ราชโยคะคืออะไร



อะไรคือโยคะ??
โยคะเป็นคำสันสกฤตซึ่งตามความหมายของคำ หมายความว่า "การติดต่อ" หรือ "การเชื่อมต่อ" ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า "วิโยคะ" หมายถึง "การแยกห่าง" มันมีนัยที่แสดงถึงสองสิ่งซึ่งเคยอยู่ด้วยกันและแยกจากกัน ความหมายทางดวงวิญญาณ โยคะเป็นพื้นฐานของการเชื่อมต่อของดวงวิญญาณกับพระเจ้่า มันแสดงให้เห็นถึงการสร้างการเชื่อมต่อทางดวงวิญญาณด้วยความคิดระหว่างดวงวิญญาณกับดวงวิญญาณสูงสุดผู้ทรงอำนาจ เพื่อจะชดเชยแสงและอำนาจของดวงวิญญาณที่ได้สูญเสียไป ซึ่งเป็นผลจากกิเลสและการกระทำผิดของดวงวิญญาณที่ได้ทำผิดไว้ในละครโลก

แบตเตอรี่ที่ใช้ไปจนหมดก็ต้องอัดพลังเข้าไปใหม่ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับตัวเพิ่มพลังแบตเตอรี่
เช่นเดียวกัน ดวงวิญญาณที่อ่อนแอจะต้องได้รับแสงและพลังอำนาจด้วยการเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับพระเจ้าชีว่า การเชื่อมต่อนี้สามารถสร้างขึ้นได้โดยผ่านการคิดถึงพระเจ้าชีว่า ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความรักในสภาวะของสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณ โยคะอาจจะให้คำจำกัดความว่าเป็นการสร้างการเชื่อมต่อโดยความคิดถึงสิ่งเดียว ด้วยความรักอย่างลึกซึ้งและเป็นการระลึกถึงพระเจ้าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ซึ่งมีผลในการชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ สันสการ์ที่ชั่วร้ายก็จะได้รับการให้อภัยและบรรลุถึงความสงบและความปิติสุขที่ยาวนาน

แหล่งกำเนิดและการเติบโตของโยคะ
โยคะเป็นของขวัญของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ ความลับของโยคะที่แท้จริงได้ถูกเปิดเผยโดยพระเจ้าชีว่าเอง เมื่อท่านได้ลงมาบนโลกนี้ในตอนจบที่น่าเบื่อหน่ายของยุคเหล็ก การฝึกโยคะต้องมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณสูงสุดและละครโลกซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเปิดเผยได้ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พระเจ้า หรือที่รู้จักกันว่าเป็น ญาณอิศวร (Gyaneshara) และ โยคอิศวร (Yoneshwara)  ซึ่งหมายความว่ามีเพียงท่านเท่านั้นที่เป็นแหล่งของความรู้และโยคะ ตามวัฒนธรรมโบราณชีว่าถูกยกย่องว่าเป็นพระเจ้าของโยคีด้วยเช่นกัน

หลังจากภาระกิจที่สูงส่งของการชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์และการก่อตั้งยุคทองอีกครั้งหนึ่งได้เสร็จสิ้นลง โยคะดั้งเดิมที่สอนโดยพระเจ้าชีว่าก็จะอันตรธานหายไป ซึ่งต่อมา ภายหลังในยุคทองแดงหลังจากที่โยคะที่แท้จริงของพระเจ้าได้หายไปแล้ว มนุษย์ที่เป็นนักปราชย์ต่าง ๆ เช่นวาสิทธา ปาตัญจารี ได้อธิบายโยคะในรูปแบบของพวกเขา เนื่องจากการกระจัดกระจายของโยคะที่พบกันมากมายในคัมภีร์โบราณของอินเดีย จึงทำให้เวลาต่อมา คำว่าโยคะก็เริ่มที่จะมีการนำมาใช้กับท่าดัดตนบางอย่าง ซึ่งเรียกว่า อาสนะ (Asanas) การฝึกฝนเพื่อควบคุมการหายใจเรียกว่าปราณาญามะ (Pranayam) การปฏิบัติกิจต่าง ๆ (Niyamas) และการฝึกฝนการถอยห่างและการยับยั้งจากสิ่งชั่วร้าย การฝึกฝนจิตใจ เช่น การควบคุมความคิด การไตร่ตรองพิจารณา สมาธิ (Samadhi  = การซึมซับ)

การเติบโตของโยคะในภายหลังในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนมากปรากฏขึ้นจากความคิดที่พัฒนาขึ้นในยุคทองแดง การฝึกฝนเกี่ยวกับการทรมานร่างกาย ซึ่งมารู้จักกันในนามของ "หฐโยคะ" จะสังเกตได้ว่าความคิดเรื่องโยคะที่มนุษย์คิดขึ้นเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วแตกต่างจากโยคะดั้งเดิมที่เปิดเผยโดยพระเจ้าชีว่า ในความเป็นจริงคำว่าโยคะที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นการนำชื่อไปใช้อย่างผิด ๆ สำหรับการฝึกฝนหฐโยคะเหล่านี้ ไม่มี หฐโยคะชนิดใดเลยที่สามารถจะสร้างการเชื่อมต่อทางดวงวิญญาณกับพระเจ้าได้


โยคะที่มีอยู่ทุกวันนี้
ทุกวันนี้คำว่าโยคะถูกใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ใช้ผิดความหมายอย่างสิ้นเชิง พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความลี้ลับที่มีอยู่ทุก ๆ ชนิด หรือ พฤติกรรมที่ประหลาด ๆ การกระทำที่น่าเกลียดและแม้แต่กายกรรมก็ถูกประทับตราว่าเป็นโยคะ ความสูงส่งของคำว่าโยคะได้ถูกตีความไปในทางที่ผิดอย่างหยาบ ๆ เพื่อเป็นการหาเงิน แม้แต่สาวกของ หนทางแห่งการสละละทิ้ง (ซานยาส) หนทางของการบูชาร้องขอ (บัคตี) และ นักศึกษาคัมภีร์ บัดนี้ชอบที่จะเพิ่มเติมคำว่าโยคะไว้ตอนท้าย อย่างผลที่ปรากฏออกมาว่าเป็น ซานยาสโยคะ (Sanyas Yoga) บัคตีโยคะ (Bhakti Yoga) และ ญาณโยคะ (Gyan Yoga) ซึ่งผิดไปจากรูปแบบเดิม

นักปราชญ์บางคนก็สร้างคำขึ้นมา เช่น "โยคะที่สมบูรณ์" "โยคะหลายรูปแบบ" "โยคะเหนือประสาทสัมผัส"  ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องหมายโยคะของพวกเขาเอง แล้วก็มี "กริยาโยคะ" "กูลดาลินีโยคะ" และอื่น ๆ ที่พบเห็นทุกวันนี้อีกมาก ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าโยคะก็เหมือนกับศาสนาด้วยเช่นกัน แต่ได้สูญเสียความหมายดั้งเดิมของมันไปแล้ว จนเข้าถึงสภาพที่เสื่อมอย่างสมบูรณ์ อย่าปล่อยให้ใครมาชักนำไปในทางที่ผิดต่อรูปแบบต่าง ๆ ของโยคะที่เพิ่มขึ้น

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ดูเหมือนจะมีการเปิดโรงพยาบาลชั่วคราวหลายแห่งอย่างเร่งด่วนมากมาย โดยไม่ได้มีการตระเตรียม ในชุมชนเหมือนเป็นสัญญาณเตือนของการแพร่ระบาดของโรคบางอย่าง แต่การเปิดโรงพยาบาลเหล่านั้นกลับไม่ได้ประโยชน์หรือเป็นการพัฒนาสุขภาพของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนนั้นเลย ทำนองเดียวกันกับกระแสการปะทุขึ้นของกิจกรรมโยคะในโลก เป็นเพียงตัวชี้บอกสภาวะที่ทุกข์ทรมานของสัมคมมนุษย์ทุกวันนี้ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเกินที่จะกู้ให้กลับคืนโดยพลังของมนุษย์ใด ๆ มันเป็นเวลาของความืดมิดที่สุดนั่นเองที่พระเจ้าชีว่าผู้ช่วยให้พ้นบาปได้ลงมาจากพารามธรรมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปิดเผยสภาพดั้งเดิมและเก่าแก่ของราชโยคะแห่งภารัต


ความหมาย จุดประสงค์ และชื่อต่าง ๆ ของราชโยคะ
โยคะแท้ ๆ ที่เปิดเผยโดยพระเจ้าชีว่านั้นพิเศษในทุก ๆ เรื่อง โยคะที่เก่าแก่ที่สุดนี้ (5,000 ปี) ในความเป็นจริง เป็นวิถีทางที่เตรียมไว้โดยพระเจ้าชีว่า ท่านเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นมงคลที่สุด ท่านประทานคุณลักษณะและพลังที่สูงส่งของท่านมายังลูก ๆ ผู้เป็นที่รักยิ่งของท่าน ซึ่งเป็นดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย โยคะที่สอนโดยพระเจ้าเองเป็นโยคะที่สมบูรณ์ โยคะแท้ ๆ นี้ได้รับชื่อต่าง ๆ ตามคุณลักษณะที่แตกต่างซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพื้นฐานในความรู้ของพระเจ้า โยคะนี้รู้จักกันในนาม "ญาณโยคะ" (โยคะของความรู้) และ ถูกเรียกว่า "บัคตีโยคะ" (โยคะแห่งการบูชากราบไหว้) ด้วย เพราะต้องมีความศรัทธาที่มั่นคงต่อพระเจ้า

โยคะเดียวกันนี้ก็ถูกเรียกว่า คาร์มาโยคะ (โยคะของการกระทำ) เพราะว่ามันสามารถฝึกฝนได้แม้แต่ขณะที่เรากำลังทำงานที่เป็นภาระกิจทางโลก โยคะอันเดียวกันนี้ก็ถูกให้ชื่อว่า ซานยาสโยคะ (โยคะแห่งการสละละทิ้ง) เพราะว่าผู้ฝึกปฏิบัติสามารถสละกิเลสและสละการยึดติดซึ่งมีต่อวัตถุทางโลกของเขา โดยที่เขาไม่ต้องละทิ้งผู้ที่เป็นที่รักและบ้านเรือน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีโยคะทางโลกชนิดใดจะสามารถถ่ายทอดความเข้าใจความหมายของโยคะของพระเจ้าได้ ดังนั้น เพื่อให้แตกต่างไปจากหฐโยคะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนการทรมานร่างกาย โยคะนี้จึงได้ชื่อว่า โยคะที่ง่ายดาย (สหจะโยคะ) หรือ ราช-โยคะ (ราชา โยคะ ถ้าสองคำนี้เขียนแยกจากกัน คำว่า "ราชา" หมายถึง "กษัตริย์" "ผู้ปกครอง" หรือ "ผู้มีอำนาจในการปกครอง" โยคะนี้เหมาะสมที่จะถูกเรียกว่า ราช-โยคะ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้)

เพราะเป็นโยคะที่สูงที่สุด หรือเป็นสุดยอดของโยคะทั้งหมดเพราะว่าได้สอนโดยครูผู้สูงสุด พระเจ้าชีว่าที่ไร้ร่าง ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งโยคะที่แท้จริงเพียงผู้เดียว
เพราะให้ประโยชน์สูงสุดต่อผู้ฝึกฝนโดยสามารถทำให้จิตใจของเขาสูงส่งและมีอำนาจปกครองเหนือประสาทสัมผัส


เพราะทำให้ผู้ฝึกฝนได้รับสภาพของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต (Jeewan Mukti) ที่สูงสุด นั่นคือมรดกของพระเจ้าผู้เป็นพ่อทำให้ผู้ฝึกฝนกลายเป็นเทพผู้มีอำนาจในการปกครองตนเอง 21 ชาติเกิดติดต่อกันในยุคทองและยุคเงิน(สวรรค์)


การบรรลุผลสำเร็จโดย ราชโยคะ
การบรรลุผลสำเร็จโดยราชโยคะของพระเจ้าเป็นความสูงส่งที่สุดทางด้านดวงวิญญาณ เพราะว่าเป็นการประสานกันของความเพียรพยายามส่วนตนกับพลังอำนาจของพระเจ้าชีว่า เป็นการฝึกฝนที่ทำให้มนุษย์นั้นสูงส่งและนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในบุคคลิกภาพของเขา มันทำให้โยคีมีความสุขเหนือประสาทสัมผัสเกิดความปิติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สูงที่สุดและมีศีลธรรมที่สุด ความปิติสุขนี้ทำให้จิตใจของเขาสูงส่ง ความบริสุทธิ์ที่ได้มาอย่างง่ายดายจะพาเขาขึ้นไปอยู่เหนือตัณหาและความพอใจในประสาทสัมผัส หลอมนิสัยที่ไม่ดีทิ้ง และลบสันสการ์ที่ชั่วร้ายของเขา มันสามารถทำให้เขามีประสบการณ์ที่สงบล้ำลึกและความผ่อนคลายด้วยการละวางและหลุดจากการควบคุมของสภาวะแวดล้อมของสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม สิ่งนี้ทำให้โยคีเยือกเย็น สงบ และนิ่งเงียบอยู่ในความรัก มันจบสิ้นความขัดแย้งระหว่างความคิดและสติปัญญาของเขา ทำให้เขาสามารถที่จะมีความสงบอย่างคงที่อยู่กับตัวเองและมีความจริงใจต่อ เพื่อนมนุษย์อีกด้วย

การกระทำของเขาจะไม่ล่วงล้ำต่อกฏที่สูงส่งหรือกฏของธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ ราชโยคีก็รวมความเมตตากับความถูกต้อง ความรักกับกฏระเบีัยบ และความง่ายกับความตื่นตัวเข้าด้วยกัน เหล่านี้เป็นคุณสมบัติของพระเจ้าเองซึ่งเหล่าราชโยคีซึมซับไว้ในตน พระเจ้าชีว่านั้นยุติธรรมและมีเมตตา ไม่ลำเอียง และก็ยังเป็นที่รักที่สุดของทุกดวงวิญญาณ การได้มาซึ่งพลังที่สูงส่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาที่สูงส่งและเต็มไปด้วยความสุขของโยคี



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Friday, May 24, 2013

ฝึกราชโยคะเพื่ออะไร



สันสการ์ดั้งเดิมของทุกดวงวิญญาณ คือ ความบริสุทธิ์ ความสงบและความปิติสุข ถ้าดวงวิญญาณยังไม่สามารถฟื้นฟูคุณลักษณะดั้งเดิมกลับคืนมา ดวงวิญญาณก็ไม่สามารถจะหลีกหนีจากความทุกข์หรือความโศกเศร้าและมีความสุข ความเบิกบานและความปิติตลอดไปได้ ความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานของความสงบและความร่ำรวยรุ่งเรือง การบรรลุถึงสภาพดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ จะต้องมีการให้อภัยต่อสันสการ์ที่ไม่ดีของตน

ตามกฏแห่งกรรมดวงวิญญาณจะมีประสบการณ์ที่ทุกข์ทรมานเป็นการลงโทษสำหรับการกระทำที่ผิด ซึ่งเรียกว่าบาปที่ทำโดยดวงวิญญาณนั้น ดวงวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ต้องทุกข์ทรมาน ความจริงทุกวันนี้เราจะพบว่า ดวงวิญญาณมนุษย์เกือบทั้งหมดกำลังทนต่อความเศร้าโศกและทุกข์ทรมานอยู่ไม่รูปใดก็รูปหนึ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นกลียุคนี้.

ดวงวิญญาณส่วนมากได้แบกรับภาระของบาปจากสันสการ์ที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นผลมาจากบาปที่เขาได้ทำไว้ในชาติที่แล้วของพวกเขา สันสการ์ที่ชั่วร้ายของดวงวิญญาณทำให้เกิดความคิดที่ชั่วร้ายซึ่งนำไปสู่การกระทำที่ชั่วร้าย และก่อให้เกิดสันสการ์ที่ชั่วร้ายมากยิ่งขึ้นอีก
ด้วยเหตุนี้ ดวงวิญญาณจึงติดกับอยู่ในวังวนที่ชั่วร้าย ซึ่งพวกเขาไม่สามารถที่จะปลดปล่อยตัวพวกเขาเองได้ ราชโยคะเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะชำระบาปในอดีตของดวงวิญญาณ และปลดปล่อยดวงวิญญาณจากบ่วงพันธะทั้งหมด แล้วดวงวิญญาณจึงจะสามารถกลับมารับสภาวะดั้งเดิมของความบริสุทธิ์ และความปิติได้.

เหมือนกับคนติดเหล้ารู้สึกว่าเป็นการยากที่จะเลิกดื่ม แม้ว่าจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ว่าชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย ซึ่งเป็นเพียงการวินิจฉัยอาการป่วยเท่านั้น เช่นเดียวกัน มนุษย์ไม่สามารถจะเอาชนะกิเลสได้ แม้ว่าเขาจะมีความรู้ว่ากิเลสเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ ความรู้อย่างเดียวจึงไม่พอ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมโดยพลังทางดวงวิญญาณอย่างมากมาย เพื่อที่จะยุติสันสการ์ที่ชั่วร้ายลงให้ได้ ราชโยคะได้ให้พลังที่จำเป็นนี้ ราชโยคะเป็นไฟซึ่งจะเผาสันสการ์ที่ชั่วร้ายของดวงวิญญาณที่ความรู้ของพระเจ้าจะให้แสงส่องทาง และให้อำนาจในการให้อภัยต่อบาปของดวงวิญญาณในอดีต.



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ




Thursday, May 23, 2013

ละครโลกที่เป็นอมตะ


ผลสะท้อนที่มีต่อกัน ระหว่างดวงวิญญาณ ธรรมชาติและดวงวิญญาณสูงสุด
พระเจ้าชีว่าครูผู้สูงสุดเปิดเผยว่าละครโลกนี้ไม่มีการเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ มันเป็นอมตะและถูกกำหนดไว้แล้ว มันเคลื่อนไปบนพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกันของแก่นสารสำคัญที่เป็นอมตะสามสิ่ง ดวงวิญญาณ ประกิต (สสารหรือพลังงานที่ไม่มีชีวิต) และ พระเจ้าพ่อชีว่า ละครเป็นเรื่องราวของความสูงส่งและความตกต่ำของมนุษย์ ชัยชนะและพ่ายแพ้ ความสุขและความทุกข์ทรมาน ความรู้และความไม่รู้ ความเป็นอิสระ และการติดบ่วงของพวกเขา

มันต่างเป็นเรื่องราวของการแสดงพลังของความดีและพลังของความชั่วและสภาวะที่แตกต่างซึ่งดวงวิญญาณได้ผ่านมาในทั้งสี่ยุค มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของดวงวิญญาณที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเอง และร่างกายที่สูญสลายได้ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกต่ำของมนุษย์และแล้วก็กลับมาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับตัวเอง ความเสื่อมและความตกต่ำ กระบวนการของกฏแห่งกรรม การเริ่มมีกิเลสในตอนเริ่มต้นของยุคทองแดง การเติบโตของการบูชากราบไหว้ การลงมาเกิดของดวงวิญญาณบริสุทธิ์จากพารามธรรม การลงมาเป็นผู้นำศาสนา บทบาทของศาสนาที่แตกต่างกันในโลก ความเติบโตของผู้ที่คลั่งไคล้ และผลสุดท้าย การเปิดเผยความรู้ที่แท้จริงโดยพระเจ้าชีว่าเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่โดดเด่นของละครนี้


ละครโลกซ้ำรอยเหมือนเดิมทุกประการ

ละครโลกมี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งพระเจ้าชีว่าเปิดเผยผ่านนิมิตที่สูงส่ง เหมือนที่มีภาพประกอบไว้ในวงจรโลก และ ต้นกัลป สวรรค์ซึ่งเคยมีอยู่ บัดนี้กำลังจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในอนาคตอันใกล้ อะไรที่เป็นปัจจุบันได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในอดีต

ผู้คนพูดกันทั่วไปว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย บัดนี้พระเจ้าพ่อชีว่าพูดว่า ประวัติซ้ำรอยเดิมทุกประการทุก ๆ กัลป เหมือนกับภาพยนต์ที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ ซึ่งเป็นอมตะและซ้ำรอยแบบไม่มีจุดจบของเวลา ฉากทั้งหมดใช้เวลา 5,000 ปี และมันก็จะกลับมาฉายซ้ำโดยอัตโนมัติ

ทุก ๆ ความคิดและการกระทำของทุก ๆ ดวงวิญญาณประกอบกันขึ้นเป็นละคร ไม่มีดวงวิญญาณสองดวงที่เหมือนกัน แต่ละดวงวิญญาณมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไปในแต่ละชาติเกิด ในความเป็นจริงในแต่ละบทของแต่ละดวงวิญญาณแตกต่างกันทุก ๆ วินาที ตลอดทั้งกัลป ซึ่งละครนั้นซ้ำรอยเหมือนเดิม เพราะว่าในทุก ๆ วงจร ดวงวิญญาณทุกดวงผู้ซึ่งเป็นผู้แสดงในละครจะเป็นคนเดิม เพราะพวกเขาเป็นอมตะและไม่ตาย

แต่ละดวงวิญญาณจะเล่นบทบาทเดิมในวงจรหน้า เพราะว่าดวงวิญญาณได้บันทึกรอยประทับที่ไม่สามารถลบออกได้ไว้เป็นบทบาทของตัวเอง ซึ่งได้เล่นมาชีวิตแล้วชีวิตเล่าในวงจรโลก สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในละครนั่นคือ ดวงวิญญาณมนุษย์ซึ่งเป็นจุดแห่งแสงที่มีชีวิตบรรจุไว้ด้วยบทบาททั้งกัลป 5,000 ปี อันเป็นพลังที่นอนเนื่องอยู่ภายใน หรือเรียกว่ารอยประทับ ที่ไม่สามารถทำลายได้ มันอยู่ในรูปของสันสการ์


ละครสอนการกระทำที่ถูกต้อง

ละครอธิบายประวัติศาสตร์การคงอยู่ของมนุษย์ มนุษย์คงอยู่เพราะว่าได้มีอยู่มาตั้งแต่อนันตกาล ที่ทำให้ทฤษฏีที่มีอยู่ทั่วไปมากมายเกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์หมดความหมาย การคงอยู่นั้นเป็นอมตะมันหมุนเวียนไปตามวงล้อของเวลา ดวงวิญญาณเป็นผู้แสดงในละคร มนุษย์ที่มีความสุขจะเป็นคนซึ่งมีพฤติกรรมเช่นผู้ดู ไม่ได้รับการกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก การปล่อยวางจากภาระกิจอย่างจริงใจ ด้วยการปล่อยวางทางดวงวิญญาณ ปล่อยวางจากกรอบของความคิดเป็นสัญลักษณ์ของโยคีที่แท้จริง

มัีนเป็นเคล็ดลับของความสุขที่แท้จริงด้วย คาร์มาโยคะ (Karma Yoga) เป็นสาระสำคัญของความสุข จะต้องไม่มีความปรารถนาต่อผล แต่ผลลัพธ์ของการกระทำที่ตนทำไว้จะส่งผลเองโดยอัตโนมัติ การละทิ้งการกระทำเป็นสาเหตุของการไม่มีความสุข

พระเจ้าพ่อชีว่าเปิดเผยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่รายละเอียดของกรรมของแต่ละบุคคลไม่ได้รับการเปิดเผย ดังนั้น เราไม่ต้องนั่งนิ่งด้วยทัศนคติที่ยอมรับต่อโชคชะตา ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตและเป็นละคร เหตุการณ์จะดำเนินไปตามแผนของละคร ความรู้ที่ว่าละครจะซ้ำรอยใช้เป็นเหมือนกับเบรคของรถยนต์ ขณะที่การกระืทำหรือความเพียรพยายามเพื่อพัฒนาตนเองเหมือนกับคันเร่งของรถยนต์ ดังนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินไปตามปกติ

ความรู้ว่าละครจะซ้ำรอยเหมือนเดิมทุกประการ จะต้องไม่นำมาใช้สำหรับอนาคต ยกเว้นในกรณีที่มีความแน่นอน เช่นการกำลังมาถึงของสวรรค์เท่านั้น ความรู้เรื่องละครช่วยให้เราลืมประสบการณ์ที่ขมขื่นและทุกข์ทรมานของอดีต อย่างไรก็ตามทุก ๆ เหตุการณ์ในละครที่เจ็บปวดเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อดวงวิญญาณ ทำให้ดวงวิญญาณรู้แจ้งพอที่จะยอมรับมันในฐานะที่มันเป็นเช่นนั้น ขอให้เราเรียนรู้จากอดีตของเราและนำมาสร้างอนาคต
พระเจ้าชีว่าได้ให้ความรู้เกี่ยวกับละครที่กำลังจะมาถึงตอนจบของกัลป ความรู้นี้สามารถจะช่วยให้โยคีหลีกเลี่ยงการทำความผิดในอนาคตด้วย (ขณะที่ช่วงเวลาของการทำความเพียรทางดวงวิญญาณยังคงดำเนินอยู่) เพราะว่าเขาเข้าใจว่าอะไรก็ตามที่เขาทำบัดนี้ ก็จะซ้ำรอยเดิมหลังจาก 5,000 ปี


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


ดวงวิญญาณมนุษย์ไม่ได้ข้ามชาติไปเกิดเป็นสัตว์



ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ระหว่างกัลปดวงวิญญาณมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติ และได้รับร่างเป็นมนุษย์ตลอด มีมนุษย์บางพวกซึ่งเชื่อว่า ดวงวิญญาณมนุษย์จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์ด้วย พวกเขาเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมายถึง 8ล้าน 4แสนชนิดในโลก ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงสุด พวกเขามีความเห็นว่า ดวงวิญญาณมนุษย์ที่ไปเกิดในสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อเป็นการลงโทษต่อการกระทำที่ไม่ดี

มีสถาบันทางความคิดสองแห่งที่เชื่อในสิ่งนี้ สถาบันแรกมีทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิดที่มีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณจะต้องผ่านวงจรของการเกิดทั้งหมด 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ แหล่งที่สอง มีทฤษฎีที่ความจำกัดในการข้ามสายพันธุ์ ซึ่งมนุษย์จะกลับไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดขึ้นอยู่กับบาปของเขาที่ทำไว้ และหลังจากการทนทุกข์จากการลงโทษในร่างสัตว์หนึ่งชาติหรือหลายชาติ ดวงวิญญาณของเขาจึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็ยังมีทฤษฎีของการวิวัฒนาการที่นำเสนอข้อคิดเห็นโดยนักปราชญ์ฝ่ายตะวันตก ว่ามนุษย์จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาอย่างช้า ๆ จาก อมีบา (สัตว์เซลเดียว) ทฤษฏีเหล่านี้จะนำมาอธิบายในหัวข้อต่อไปนี้


ทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด
ก่อนอื่นเราจะพิจารณาทฤษฏีวงจรของการกลับมาเกิด ผู้สนับสนุนความคิดนี้เชื่อว่าดวงวิญญาณที่เกิดมาในร่างมนุษย์จะ้เกิดได้หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดอย่างสมบูรณ์ในวงจรการกลับมาเกิดที่ยาวนานถึง 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์

ตามที่พวกเขาว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นโอกาสที่หายากเป็นอย่างยิ่งที่เตรียมไว้ให้โดยพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ ท่านจะให้โอกาสกับดวงวิญญาณได้พบกับความหลุดพ้นด้วยตัวเองจากละครโลกตลอดไป มันเป็นช่วงสั้น ๆ ของการเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ดวงวิญญาณสามารถจะทำความเพียรเพื่อบรรลุถึงการหลุดพ้นเช่นนี้ได้ แล้วดวงวิญญาณควรที่จะพลาดโอกาสนี้หรือ ถ้าพลาดมันจะต้องมีการผ่านการทดสอบที่ทรหดอีกรอบหนึ่งในวงจรที่ไม่ได้ร่างเป็นมนุษย์ถึง 8ล้าน 4แสนร่าง ก่อนที่จะได้รับร่างเป็นมนุษย์ในคราวหน้า แล้วจึงจะเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะทำให้ตนเองมีโอกาสที่จะพบกับการหลุดพ้นด้วยตัวเองจากโลกนี้

ดูจากเหตุผลนี้การเกิดในร่างมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากและพิเศษมากอย่างที่พวกเขาอ้างไว้ การตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะพบว่าความคิดนี้เพ้อฝันและไร้เหตุผลอย่างยิ่ง พวกเราลองคิดดูและจินตนาการว่า ดวงวิญญาณได้รับร่างมนุษย์หลังจากเกิดมา 8ล้าน 4แสนสายพันธุ์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ประชากรของเผ่าพันธุ์ในโลกก็จะคงที่ กล่าวคือลิง ยุง วัว อีกา นกกระจอก ปลา แมลงวัน ฯลฯ ก็จะต้องมีจำนวนที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่มันเป็นดังนั้นหรือไม่

นอกจากนี้การเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณ จะเกิดโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเกิดในแต่ละสายพันธุ์มาเป็นลำดับเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาอะไรเป็นหลักการในการเกิดข้ามสายพันธุ์ของดวงวิญญาณไปยังสายพันธุ์ที่ต่ำกว่า (สัตว์) ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำที่ชั่วร้ายหรือทำบาป ถ้าเช่นนั้นกฏแห่งกรรมก็ไม่มีผลใช่ไหม?? แล้วจะอธิบายการเกิดมาเป็นมนุษย์เพียง 2-3 วันได้อย่างไร การตายในวัยทารกที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวงจรที่ยาวนานของการเกิดเป็นสัตว์ถึง 8ล้าน 4แสนชนิด อีกอย่างหนึ่ง การได้เกิดเป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวหลังจากที่เกิดในร่างอื่นถึง 8ล้าน 4แสน ชนิด ก็หมายความว่าโลกนี้เป็นแหล่งที่ทุกข์ระทมที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกดวงวิญญาณ แล้วทำไมผู้สร้าง ซึ่งเป็นผู้ให้คุณประโยชน์และเป็นผู้เอื้ออำนวยความสุขต้องการให้มันเป็นเช่นนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นใครเป็นผู้นับและัพิสูจน์ได้อย่างน่าเชื่อถือว่าจำนวนสายพันธุ์นั้นมี 8ล้าน 4 แสนสายพันธุ์ ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่า ผู้ให้การสนับสนุนทฤษฏีนี้ไม่สามารถให้คำตอบที่เป็นที่น่าพอใจต่อคำถามนี้ได้


การเกิดเป็นสัตว์ไม่สามารถเกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ชั่วร้ายของมนุษย์
ทฤษฎีที่สองเป็นทฤษฏีวงจรการเกิดที่เปลี่ยนแปลงสลับสายพันธุ์ที่จำกัด ด้วยการมีความพยายามที่จะสร้างความเกี่ยวพันระหว่างการข้ามชาติเกิดระหว่างสายพันธุ์และกฏแห่งกรรม มีความพยายามที่จะทำให้ทฤษฏีถูกต้องถึงแม้ว่าจะไร้ผล มันอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญาของมนุษย์ที่มีกิเลสที่ได้จินตนาการไว้ว่า สันดานที่ไม่ดีของมนุษย์จะทำให้เขากลับไปเกิดในร่างของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีการพูดว่าผุ้ที่สร้างความเย้ายวนใจจะไปเกิดเป็นสุนัข คนที่โลภมากจะไปเกิดเป็นงู คนที่มีลูกมากจะไปเกิดเป็นหมูในชาติหน้า ถ้าใครแอบฟังคนอื่นพูดจะเกิดเป็นจิ้งจก ฯลฯ และอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดที่ระบุไว้อย่างชัดเจนได้ว่าการกลับมาเกิดของมนุษย์จะเกิดเป็นสัตว์เช่นนั้นเช่นนี้


เชื่อถือไม่ได้และไร้เหตุผล
เรามาตรวจสอบในกรณีของคนที่มีความหมกมุ่นทางกาม ที่ถูกเชื่อว่าจะกลับมาเกิดเป็นสุนัข ด้วยเหตุผลว่าสุนัขนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศด้วย ถ้าเป็นจริง สันสการ์ของดวงวิญญาณที่เกี่ยวกับกามราคะก็จะไม่จบสิ้น ในทางตรงข้ามมันจะรุนแรงมากขึ้นเพราะว่าสุนัขก็ยังมัวเมาอยู่ในกามตัณหาอย่างต่อเนื่อง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะกลับชาติไปเกิดเป็นสุนัขเพื่อรับโทษ

อีกประการหนึ่งหลังจากดวงวิญญาณและร่างแล้วสัญชาตญาณของกามระคะก็ติดไปกับดวงวิญญาณและอุปนิสัยเดิมก็ติดไปกับเขาด้วย ดังนั้นเขาก็ยังรักษาสัญชาติญาณของการหมกมุ่นอยู่ในกามราคะในรูปที่เป็นมนุษย์ของเขา และแรงกระตุ้นทางกามราคะก็ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เพศตรงข้ามมากกว่าที่จะมีกับสัตว์อื่นใด ทุกวันนี้ มีผู้คนหลายล้านซึ่งมีความต้องการทางเพศมากกว่าสุนัข มันช่างไม่่สมเหตุสมผลเลย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าบุคคลที่มีความขอบหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามราคะเช่นนี้พวกเขาจะกลายเป็นสุนัขในชาติเกิดหน้าจึงไม่สมเหตุสมผลเลย

ตามความเป็นจริงพวกเขาจะกลับมาเกิดในฐานะมนุษย์ที่หมกมุ่นอยู่ในกามระคะเท่านั้น ตัวอย่างอื่นก็อยู่บนพื้นฐานเพียงแต่การนึกฝันและที่ไม่มีเหตุผลพอกัน และควรจะสังเกตว่าบาปเช่นนี้และการเกิดในร่างของสัตว์ได้มีการดึงเข้ามาให้มีการเกี่ยวพันกันในบางกรณีเท่านั้น เพราะว่าสัตว์ต่าง ๆ เช่น นกและสัตว์ที่มีสันสวยงามและน่ารักมีอยู่มากมาย อย่างเช่น นกยูง ผีเสื้อ นกแก้ว กระต่ายป่า กวาง ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับกรรมของมนุษย์ได้เลย


สองสิ่งที่ผิดไม่สามารถทำให้เกิดความถูกต้องได้
บางครั้งแนวคิดของมนุษย์ที่ว่าจะไปเกิดเป็นสตว์เป็นเพียงการค้นหาข้อแก้ตัวเนื่องจากการนำกฏแห่งกรรมไปใช้อย่างผิด ๆ ตัวอย่างเช่น มีการพูดกันว่าด้วยการฆ่าสัตว์ ผู้ฆ่าจะเกิดเป็นสัตว์นั้นในชาติหน้าและสัตว์นั้นก็จะกลับมาเป็นมนุษย์และฆ่าเขาเป็นการล้างแค้น แต่นั่นหมายความว่าเป็นการทำกรรมที่ไม่ดีซ้ำซ้อน ความผิดสองอย่างไม่ได้ทำให้เกิดความถูกต้อง นี่ไม่ใช่กฏแห่งกรรม บาปไม่ได้ถูกชำระโดยการทำบาปมากขึ้น แต่บาปจะถูกชำระด้วยความสำนึกผิดหรือถูกลงโทษ หรือโดยผ่านราชโยคะ ลองมาพิจารณาถึงกรรมของคนฆ่าสัตว์ เช่น ผู้ฆ่าสัตว์เป็นพันๆ ตัวในชีวิตของเขา เขาก็จะถูกฆ่าเป็นพันครั้ง นี่ก็จะชี้ให้เห็นของความเชื่อถือไม่ได้ของทฤษฏีนี้


กระบวนการของดวงวิญญาณจะปรากฏขึ้นโดยผ่านร่างมนุษย์เท่านั้น
มีคำถามอยู่ว่าถ้ามนุษย์ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ชาติเกิดในอดีตและชาติเกิดในอนาคตของเขาเอง แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปเกิดในร่างของสัตว์?? ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยว่าไม่มีการกลับไปเกิดข้ามสายพันธุ์ ซึ่งสามารถสนับสนุนโดยประสบการณ์ที่แน่ชัด 
กล่าวคือ ไม่มีกรณีใดที่บุคคลจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขาหรือเธอได้เกิดเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทุก ๆ เรื่องมีคำยืนยันอย่างชัดเจนว่าชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น นอกจากนี้ การทำนายของนักโหราศาสตร์ถึงชาติก่อนและชาติต่อไปของบุคคล ก็จะอ้างว่าจะไปเกิดเป็นมนุษย์เทานั้น


มนุษย์ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์
ในความเป็นจริงผู้ที่เชื่อเรื่องการเกิดข้ามสายพันธุ์ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณว่า สันสการ์ของมนุษย์นั้นแตกต่างจากสันสการ์ของสัตว์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้เหตุผล ขณะที่สัตว์ถูกชี้แนะโดยสัญชาตญาณของพวกมัน ตัวอย่างเช่น นกและแมลงจะทำรังและรวงของพวกมันในแบบเดิม ๆ โดยที่พวกมันถูกชี้ำนำให้ทำด้วยสัญชาติญาณเพียงเท่านั้น ดังนั้น สัตว์จึงไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาตามต้องการเหมือนกับมนุษย์ที่สามารถทำได้ นอกจากนั้นมนุษย์ยังเสพติดในกามราคะ ความโกรธและความรุนแรงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นดวงวิญญาณซึ่งใช้ร่างมนุษย์ถูกแบ่งขึ้นด้วยการกระทำของพวกเขาเอง ถ้าดวงวิญญาณของมนุษย์จะไปรับร่างของสัตว์ เหตุการณ์ที่ผิดปกติก็จะเกิดขึ้น สติปัญญา สันสการ์ของมนุษย์ ไม่สามารถที่จะแสดงออกโดยผ่านร่างสัตว์ 
ขบวนการที่เหนือกว่าของเขาไม่สามารถที่ใช้ได้ร่างสัตว์ เช่นกันดวงวิญญาณและสันสการ์ของสัตว์จะปรากฏขึ้นอย่างน่าหัวเราะเยาะในร่างมนุษย์ มนุษย์จะไม่เคยเป็นสัตว์และจะไม่เป็นสัตว์ตลอดไป แต่ในเวลานี้เขากลับเลวยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก.


ร่างของสัตว์ไม่ได้มีไว้เพื่อรับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษ
ร่างของสัตว์ไม่ได้มีจุดประสงค์ไว้สำหรับเป็นเครื่องมือลงโทษดวงวิญญาณมนุษย์ จุดประสงค์ของการลงโทษก็เพื่อให้ฆาตกรได้รับประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความโศกเศร้า เพื่อว่าเขาจะได้เรียนรู้และหยุดการกระทำที่เลวร้ายในอนาคต มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความเข้าใจว่าเขากำลังถูกลงโทษโดยผ่านความทุกข์ทรมาน เนื่องจากการกระทำความชั่วในชาติก่อนของเขา
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้แบกความเจ็บปวดและความโศกเศร้าแทนดวงวิญญาณมนุษย์แล้ว ทำไมดวงวิญญาณจึงมามีความทุกข์ในรูปมนุษย์อีก (บางคนทุกข์ทันทีที่เกิด) ในเมื่อได้รับการลงโทษตามกำหนดในร่างสัตว์แล้ว ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรที่เกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความไวในความรู้สึก และความอ่อนโยนของหัวใจ มนุษย์ฉลาดกว่าและมีความรู้สึกไวกว่าสัตว์ ดังนั้น แม้แต่คำพูดที่ทำให้เขาขายหน้าหรือถูกเยาะเย้้ยก็จะทำให้เขาเจ็บปวด เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นจึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ใส่ใจที่จะรักษามารยาทสังคม ประเพณี ชื่อเสียง สถานภาพและอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมาน ก็มีแต่ร่างของมนุษย์เท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับการเป็นเครื่องมือในการลงโทษดวงวิญญาณ บางคนคิดว่าสายพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นร่างสำหรับการลงโทษมนุษย์ เพราะสัตว์ต่าง ๆ มีอวัยระเพื่อการใช้สอยน้อยกว่า แต่เราไม่ได้สังเกตหรือว่า มนุษย์ดก็มีบุคคลซึ่งตาบอด หูหนวก พูดไม่ได้ พิการ ฯลฯ ด้วยเช่นกัน
มีข้อโต้แย้งที่อ้างโดยคนทั่วไป ก็คือ ความกลัวที่จะเกิดมาเป็นสัตว์ทำให้มนุษย์หยุดการกระทำที่ชั่วร้าย แต่คนที่มีสติปัญญาก็จะหยุดการกระทำที่ไม่ดี เพียงแต่เขาได้เห็นการกระทำที่ไม่ดีเหล่านั้นในหมู่มนุษย์ และเห็นคนอื่นทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษเนื่องจากบาปของพวกเขา โดยต้องเป็นคนขี้โรค พิการ เป็นอัมพาต โรคเรื้อน บ้า ตาบอด ฯลฯ ด้วยเหตุจากบาปที่ของพวกเขาทำไว้ ดวงวิญญาณมนุษย์ก็ทุกข์ทรมานต่อผลทั้งหมดในร่างของมนุษย์นั่นเอง
ทุกวันนี้มีมนุษย์มากมายผู้ซึ่งกำลังทุกข์มากมายเหลือคณานับ เนื่องจากความยากจน ความหิวโหย โรคภัย บางคนหนีทุกข์ด้วยการฆ่าตัวตาย เหตุเพราะความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส ดังนั้นร่างมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำความดีและความชั่วเท่านั้น แต่มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับเก็บเกี่ยวรับผลของการกระทำเหล่านั้นที่จะตามมาด้วย


ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างบาปและการไปเกิดข้ามสายพันธุ์
สัตว์ก็มีประสบการณ์ของความเจ็บปวดและความสุขในแต่ละสายพันธุ์ของสัตว์ ถ้าสายพันธุ์ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่จะเป็นร่างสำหรับการลงโทษให้กับดวงวิญญาณมนุษย์ สัตว์ก็ควรจะพบกับทุกข์ทรมานตลอดเวลา แต่ไม่ไ้ด้เป็นเช่นนั้น สัตว์บางชนิดมีความสุขมากกว่ามนุษย์หลายคน เศรษฐีดูแลสัตว์เลี้ยงของเขาให้มีความสุขเป็นอย่างมาก สุนัขของคนรวยนั่งอยู่ในรถยนต์มีนมและขนมปัง ขณะที่ผู้คนที่ยากจนนับล้านกำลังอดอยาก มนุษย์บางคนเป็นคนรับใช้ดูแลม้าแข่ง และมีหมอหลายคนที่จะช่วยดูแลสุขภาพของม้าเหล่านั้นด้วย แต่ยังมีมนุษย์ผู้ซึ่งไม่ได้รับนมหรือยาใด ๆ เลย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าดวงวิญญาณมนุษย์จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์ เพราะการทำบาปบนโลกมากมายและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยบาป ประชากรของสัตว์จะต้องเพิ่มขึ้นและประชากรของมนุษย์จะต้องลดลงอย่างรุนแรง ในกลียุคปัจจุบันนี้ โลกก็จะกลายเป็นสวนสัตว์อย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าตกใจและไม่มีการลดลง


ความโศกเศร้าและความสนุกสนานในดวงวิญญาณแต่ละประเภท
ด้วยเหตุนี้ความเห็นเกี่ยวกับการได้ัรับโทษของดวงวิญญาณว่า จะต้องเปลี่ยนชีวิตไปเป็นสายพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ นั้นผิดอย่างแน่นอน การทำงานของกฏแห่งกรรมไม่ต้องอาศัยการเกิดใหม่ในสายพันธุ์สัตว์ ความทุกข์ทรมานและความสุขสามารถทีจะรับประสบการณ์ได้ในสายพันธุ์เดิม ถ้ามนุษย์จะต้องเกิดใหม่เป็นสัตว์เพื่อการลงโทษต่อการกระทำผิดของพวกเขา ก็จะไม่มีความทุกข์ทรมานในรูปที่เป็นมนุษย์ ผู้คนเกิดมาร่ำรวยหรือยากจน แข็งแรงหรืออ่อนแอ ปกติหรือไม่ปกติ ขึ้นอยู่กับการกระทำในอดีตของพวกเขา บางคนมีข้อบกพร่องมาแต่กำเนิด บางคนสูญเสียอวัยวะบางส่วนระหว่างชีวิต ดังนั้นการเกิดการตายและเหตุการณ์อื่น ๆ ของชีวิต เกิดขึ้นตามกฏแห่งกรรม


ทำไมจะต้องเป็นสัตว์?? 
อาจจะมีคำถามว่าถ้าไม่มีการข้ามสายพันธุ์ในการเกิดใหม่ แล้วสายพันธุ์ของสัตว์นั้นมีความจำเป็นเพื่ออะไร สิ่งนี้จะต้องมีการอธิบาย แม้แต่การแสดงละครธรรมดาเรายังต้องการเวที ผู้แสดงในชุดต่าง ๆ ฯลฯ โลกนี้เป็นโรงละครใหญ่ ซึ่งมีโลกเป็นเวที (เรียกว่า Karmakshetra) มหาสมุทร ภูเขา แม่น้ำ พืชผักชนิดต่าง ๆ ฯลฯ ไม่ได้เพียงแต่เพิ่มความน่ารักและเป็นฉากที่โอฬารตระการตาให้กับโรงละครเท่านั้น แต่มันก็รับใช้เพื่อการควบคุมระบบของโรคละครด้วย เพราะว่าในละครนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ทำนองเดียวกัน สัตว์มากมาย นก แมลง ฯลฯ ก็ทำหน้าที่ของตนเองที่จะแสดงและรักษานิเวศน์วิทยาของธรรมชาติให้สมดุลพร้อม ๆ กับการเพิ่มความหลากหลายให้กับละครของชีวิตที่ยิ่งใหญ่บนโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ในวิถีทางของทุก ๆ คนและทุกสิ่งมีประโยชน์ในตนเอง และมีบทบาทที่จะเล่นในละครโลกของจักรวาลนี้.


สัตว์จะคงอยู่ในความเป็นสัตว์ชนิดนั้นตลอดไปหรือไม่ ???
บางคนเห็นว่าสัตว์นั้นต่ำและน่าสงสาร ดังนั้นจึงถามว่าสัตว์จะคงอยู่เป็นสัตว์เช่นนั้นหรือ ?  ได้มีการอธิบายไว้แล้วว่า ดวงวิญญาณของสัตว์ก็มีอารมณ์และความรู้สึกที่สนุกสนานและเศร้าเป็นของตนเอง พวกเขาสนุกสนานและทนทุกข์ในวิถีทางของตน โดยผ่านนร่างกายในแต่ละชนิดของพวกตนตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปคิดว่าพวกเขานั้นต่ำหรือน่ารังเกียจ ความจริงก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดในสายพันธุ์ทั้งหมดและเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความดีงามของโลกทั้งโลก เมื่อมนุษย์กลายเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลส โลกทั้งโลกก็เสื่อมทราม ในยุคทองยุคเงินมนุษย์บริสุทธิ์สมบูรณ์และโลกก็เป็นสวรรค์ สัตว์ต่าง ๆ นกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสร้างทั้งหมดก็มีความสุขสูงสุด มีคำกล่าวที่เล่าลือกันเกี่ยวกับอาณาจักรของรามว่า สิงโตและวัวดื่มน้ำในบ่อเดียวกัน แสดงถึงสภาพที่บริสุทธิ์




ความบริสุทธิ์ของมนุษย์มีผลกระทบต่อการคงอยู่ของระบบนิเวศน์วิทยาทั้งหมด ดังนั้น ก่อนที่จะมีความเมตตาต่อสัตว์ มนุษย์ควรจะมีความเมตตาต่อตนเองด้วยการกลายมาเป็นผู้ที่สูงส่งและเป็นราชโยคี....บุญเริ่มต้นที่บ้าน


มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิง
ประมาณร้อยปีมาแล้ว นักธรณีวิทยาสองคน ชาร์ล (Charles) เรเยล (Lyel) และ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ (Theary of Evolution) เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสายพันธุ์ ตามที่พวกเขาอ้าง ชีวิตบนโลกนี้เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเองจากธาตุธรรมชาติในรูปของน้ำ ซึ่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า อมีบา ขึ้นมา แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่สายพันธุ์นับไม่ถ้วน



บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันถูกคิดว่าเป็น ลิงเอบ (Ape) และ ลิงชิมแปนซี มันเป็นทฤษฏีที่ไม่ได้มีการพิสูจน์ และได้มีการไม่เห็นด้วยอย่างมากโดยคนจำนวนมาก ดาร์วิน (Darwin)เองค่อนข้างจะสงสัยเกี่ยวกับสิ่งนี้และพูดว่า "ผู้ซึ่งเชื่อว่าการบันทึกของธรณีวิทยามีความถูกต้องระดับหนึ่ง ไ่ม่เชื่อทั้งหมด จะปฏิเสธทฤษฏีอย่างไม่ต้องสงสัย" นักธรณีวิทยาและนักศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตที่ตามมาภายหลังทั้งหมด ก็มีการพิสูจน์ว่า ทฤษฏีของ ชาร์ล ดาร์วิน เป็นทฤษฏีที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัย ข้อเสียพื้นฐานของทฤษฏีนี้คือ มันเป็นความคิดที่โง่เขลาที่สุด เป็นความคิดที่ต่อต้านการมีอยู่ของดวงวิญญาณ มันไม่ได้มีการพิจารณาถึงความจริงว่าดวงวิญญาณและร่างกายเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน ด้วยเหตุุเพียงมีความคล้ายคลึงกันระหว่างร่างกายของมนุษย์และ ลิงเอบ (Ape) และลิงชิมแปนซี เท่านั้น ซึ่งต่อมาก็ถูกประกาศว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์
นักอภิจิตวิทยา (Parapsychologist) ก็ยอมรับถึงการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าดวงวิญญาณแล้ว (ดูหัวข้อ : ดวงวิญญาณมีอยู่จริงหรือ??) ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าสายพันธุ์ที่มีชีวิตได้ปรากฏขึ้นมาจากธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตด้วยตัวเอง  แล้วอะไรคือสาระสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณ??


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Monday, May 20, 2013

หนึ่งชาติในยุคแห่งการบรรจบพบกัน


ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และนรก มันเหมือนกับช่วงเวลารุ่งสางที่เชื่อมกลางวันและกลางคืน สวรรค์ที่กำลังจะมาถึงถูกวางรากฐานในยุคนี้ ซึ่งจะตามมาหลังจากการทำลายล้างโลกที่ชั่วร้าย และผลคือการเปลี่ยนแปลงยุค ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สำคัญที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลที่สุดในกัลป เนื่องจากมันเป็นเวลาของการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าพ่อชีว่าผู้ปราศจากร่าง ดวงวิญญาณมนุษย์ที่เกิดอีกครั้งหนึ่งในยุคนี้มีค่าเหมือนเพชร

ดังนั้นยุคแห่งการบรรจบพบกันก็มีชื่อว่ายุคเพชรด้วย ช่วงสั้น ๆ นี้เป็นช่วงที่มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสเป็นมนุษย์ที่ไร้ค่าของกลียุคได้เปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ที่ปราศจากกิเลส เป็นเทพผู้ที่มีค่าเยี่ยงเพชรของยุคทอง



ยุคแห่งการบรรจบพบกันอยู่ในช่วงท้ายของกลียุค สำหรับผู้ที่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันเป็นยุคบรรจบพบกันของเขา แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันคือกลียุค ในภาพตัวอย่างของบันไดแสดงให้เห็นว่าตอนจบของกลียุคมี บราห์มินนั่งฝึกปฏิบัติราชโยคะอยู่


บราห์มินคือการเกิดทางดวงวิญญาณ
ในยุคนี้ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วย กิเลส คือ ศูทร (Sudra) เมื่อได้ศึกษาความรู้ของพระเจ้า และทำตามกฎระเบียบอันสูงส่งเพือจะได้รับความบริสุทธิ์ได้กลายเป็นบราห์มิน คือผู้ซึ่งเข้าใจว่าพระเจ้าได้อวตารลงมาในร่างของ บราห์มา บราห์มินของยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นที่รู้จักกันในนามของ บราห์มากุมาร และบราห์มากุมารี การเกิดทางดวงวิญญาณของศูทร (Sudra) หรือ บราห์มินนี้ก็ถูกเรียกว่า การตายจากโลกเก่าทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หมายความว่ามนุษย์ได้หันหลังให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลสแห่งกลียุค ละทิ้งสภาวะของศูทร (Sudra) และกลายเป็นบราห์มิน แล้วเริ่มที่จะทำการปฏิบัติฝึกฝนทางดวงวิญญาณ ฝึกฝนและปฏิบัติราชโยคะเพื่อให้ได้รับสถานภาพเทพที่หลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต

ดวงวิญญาณเช่นนี้ได้กลับมาบริสุทธิ์ด้วยการชำระล้างบาปในอดีตของพวกเขา นั่นคือพระเจ้าชีว่าได้ช่วยยกระดับให้พวกเขาบนพื้นฐานของราชโยคะ และนำพวกเขากลับไปสู่พารามธรรม จากนั้นก็ส่งพวกเขาลงมาในโลกยุคทองในเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความเพียรทางดวงวิญญาณของแต่ละบุคคลในการพัฒนาตนเองในยุคแห่งการบรรจบพบกัน
สถานภาพของดวงวิญญาณบราห์มินนั้นสูงสุดเนื่องจากสร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้า เป็นสถานภาพที่มนุษย์ได้ค้นหามาชาติแล้วชาติเล่า การบูชากราบไหว้คือการเสาะหาพระเจ้า และผลที่ได้รับคือความเข้าใจท่าน ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกัน โอกาสทองนี้เป็นเพียงครั้งเดียวในทั้งกัลปและเป็นเพียงในช่วงสั้น ๆ ขอให้พวกเราสละตนเองช่วยเหลือในงานรับใช้ของท่าน และอุทิศตนต่อท่านอย่างสมบูรณ์


การกลับมาเกิดคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนจบ
ดวงวิญญาณทั้งหมดนับแต่ชาติเกิดแรกที่ลงมายังโลกที่มีตัวตน ก็เริ่มสูญเสียคุณลักษณะดั้งเดิมของพวกเขาอย่างช้า ๆ ตามกฎของความเสื่อม ด้วยเหตุนี้ เทพแห่งยุคทองกลายเป็นกษัตริย์ในยุคเงิน เป็นพ่อค้าในยุคทองแดงและศูทร (Sudra) ในกลียุค มันมีแต่เพียง ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้เท่านั้นที่ดวงวิญญาณได้กลายเป็นบราห์มินจากศูทร (Sudra) และกลับกลายมามีชีวิตชีวาและถูกยกระดับ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่เกิดในยุคทองหลังจากนั้นก็กลับมาเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงตอนจบของกลียุค ไม่มีดวงวิญญาณใดกลับไปยังพารามธรรมจนกว่าวงจรของละครจะจบลงอย่างสมบูรณ์




จำนวนชาติเกิดที่ดวงวิญญาณสามารถจะเกิดได้ในโลกนี้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ลงมาเกิดในชาติแรกของดวงวิญญาณนั้นบนโลกนี้ ดวงวิญญาณผู้ที่ลงมาจากพารามธรรมในตอนเริ่มต้นของยุคทองจะได้รับชาติเกิด 84 ชาติเต็ม คนอื่นก็จะได้รับชาติเกิดน้อยกว่าตามเวลาที่พวกเขาลงมา และจำนวนชาิติเกิดของดวงวิญญาณบนโลกนี้แต่ละดวงวิญญาณก็จะผ่านสภาวะ บริสุทธิ์ (Satoguni) สภาพปานกลาง (Rajoguni) และ สภาพที่ไม่บริสุทธิ์ (Tamoguni) ทุกดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุขในครึ่งแรกของบทบาทในละครโลกและเริ่มมีความทุกข์ในครึ่งหลัง



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Sunday, May 19, 2013

84 ชาติเกิดของดวงวิญญาณมนุษย์


ดวงวิญญาณมนุษย์เกิดได้มาที่สุด 84 ชาติ
ในหนึ่งกัลป ดวงวิญญาณของมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติเกิด ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลา 5,000 ปี เรื่องราวการกลับชาติมาเกิดจำนวนชาติเกิด และสภาวะที่ผ่านยุคทั้งสี่ของดวงวิญญาณดวงหนึ่งสามารถแสดงได้โดยบันได 84 ขั้น



เรื่องราวของดวงวิญญาณมนุษย์ที่ใช้ชาติเกิด 84 ชาติ

ดวงวิญญาณมนุษย์สามารถที่จะเกิดได้มากที่สุดเพียง 84 ชาติ ในละครโลกที่มีระยะเวลา 5,000 ปี ในช่วงบนของบันไดชีวิตมนุษย์เป็นเทพที่สูงส่ง แต่ในช่วงท้ายของบันไดชีวิตมนุษย์กลับกลายเป็นปีศาจ เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ตกต่ำอย่างที่สุดแล้ว พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้ลงมาเพื่อยกระดับและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์เพื่อการกลับไปเป็นเทพอีกครั้งหนึ่ง




8 ชาติของยุคทอง
ดวงวิญญาณเกิด 8 ชาติในยุคทอง ช่วงระยะเวลาของยุคนี้ 1,250 ปี ซึ่งหมายความว่าอายุเฉลี่ยประมาณ 150 ปี นี่เป็นเพราะพลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณและของวัตถุธาตุ ดวงวิญญาณและธาตุธรรมชาติไม่เพียงแต่จะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่ยังคงอยู่อย่างประสานกลมกลืนมีความสมดุลย์ระหว่างกันและกันอย่างสมบูรณ์



ประชากรก็มีจำกัดมาก ในตอนแรกแห่งยุคทองซึ่งมีเพียง 900,000 คน ลักษณะของชีวิตที่นั่นมีความสงบ ความเจริญรุ่งเรืองและปิติสุขสูงสุด นับเป็นยุคของความสมบูรณ์เหลือล้น ที่เปรียบว่าเป็นช่วงของเวลาของน้ำนมและน้ำผึ้ง ยุคที่กฎสูงสุดมีความสมบูรณ์และมีระเบียบปรากฎอยู่ทั่วโลก (Divya Maryada) ความป่วยไข้ ความทุกข์ ความกังวล ความโศกเศร้า ไม่เป็นที่รู้จัก ณ ที่นั้น ดวงวิญญาณอยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง และความสมบูรณ์ของพวกเขาใช้แทนด้วยความเต็มเปี่ยม 16 องศาของพระจันทร์เต็มดวง นี่เรียกว่า สาโทปราทาน (Satopradhan -ความถูกต้องสูงสุด) ซึ่งเป็นสภาวะของดวงวิญญาณที่อยู่ในยุคทอง ผู้คนในยุคนี้ถูกเรียกว่าเป็น เทพ (Devta Varna) ศรีลักษมีและศรีนารายัญแห่งสุริยราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในช่วงยุคทอง

12 ชาติเกิดในยุคเงิน
จำนวนชาติเกิดทั้งหมดในยุคเงินคือ 12 ชาติ ในยุคนี้ 1,250 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ดวงวิญญาณในยุคนี้อยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสและสมบูรณ์พร้อมถึง 14 องศา เมื่อเปรียบเทียบกับ 16 องศา ในยุคทอง สภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นสภาพ สาโทกูนี (Satoguni-ความถูกต้อง) ของดวงวิญญาณ ชีวิตยังเต็มไปด้วยความสุขและความปิติถึงแม้ว่าระดับจะน้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับยุคทอง ศรีสีดาและศรีรามแห่งจันทรราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในยุคเงิน ผู้คนในยุคนี้เป็นสกุลนักรบ (Kshatriya Varan)



ด้วยเหตุนี้คันธนูจึงได้แสดงไวั้เป็นเครื่องประดับของศรีราม นี่ไม่ได้หมายความว่ามีสงครามหรือมีความขัดแย้งในยุคเงิน เช่นเดียวกันกับยุคทอง ยุคเงินก็เต็มไปด้วยความสงบและความไม่มีความรุนแรงด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ถูกเรียกว่านับรบเพราะในชาติสุดท้ายของวงจรโลก พวกเขามีความอุตสาหะที่จะมีชัยชนะเหนือกิเลสต่างๆ แต่พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับมายาในขณะที่การทำลายล้างโลกเกิดขึ้นในตอนจบของกลียุค ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับสภาวะความบริสุทธิ์ (สูงถึง 16 องศา) เช่นเทพแห่งยุคทองที่ลงมาก่อนพวกเขา


อาณาจักรของราม และอาณาจักรของราวัน 
(Ram Rajya and Ravan Rajya) 
ดวงวิญญาณเกิดมาอย่างต่อเนื่องในยุคทองและยุคเงิน ซึ่งสองยุคนี้จะเป็นสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิตในยุคนี้รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์ มันถูกเรียกว่าเป็นอาณาจักรของราม ซึ่งหมายถึงเป็นอาณาจักรที่เป็นสวรรค์ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า (คำว่า ราม ที่ใช้ ณ ที่นี่มีความหมายเหมือนกับพระเจ้าผู้ไร้ร่่าง โดยเป็นประเพณีที่ฝึกปฏิบัติสืบทอดกันมาในชนหมู่ใหญ่ของผู้สักการะบูชาชาวฮินดู) ในครึ่งแรกของกัลปซึ่งมีระยะเวลา 2,500 ปี แม้แต่มนุษย์ทุกวันนี้ก็ร้องเพลงสรรเสริญอาณาจักรของราม
หลังอาณาจักรของรามก็ตามมาโดยอาณาจักรของราวัน (Ravan Rajya) ประกอบด้วยยุคทองแดงและกลียุค มีชื่อเรียกว่า นรก นรกเป็นครึ่งหลังของกัลปมีระยะเวลา 2,500 ปีเช่นกัน สภาพที่มีอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของราวันเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับอาณาจักรของราม ช่วงเวลานี้ดวงวิญญาณที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในอาณาจักรของ ราวันก็อยู่ในสภาวะที่ชีวิตของพวกเขาติดบ่วงพันธะ

21 ชาติในยุคทองแดง
ในยุคทองแดงมรดกของพ่อผู้เป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้หมดไปและช่วงเวลาของนรกก็เริ่มขึ้น ผู้คนมีสำนึกเป็นร่าง กิเลสเริ่มปรากฏขึ้น ความสงบ ความปิติและความสุขได้เริ่มหายไปทีละน้อยๆ ราชวงศ์ผู้ซึ่งมีมงกุฎสองชั้นของเทพและกษัตริย์ผู้ปกครองโลกก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป มีศาสนามากมาย หลายอาณาจักร หลายผู้ปกครองและหลายภาษาปรากฎขึ้นตามกันมา
ขณะที่เทพผู้ปกครองสวรรค์ผู้เคยมีมงกุฎสองชั้นและมีสมญานามว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดหายไป ก็มีผู้ปกครองของยุคทองแดงมีเพียงมงกุฎที่ประดับด้วยเพชรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้มีสถานภาพที่ร่ำรวยทางวัตถุและเป็นตำแหน่งที่สูงของเขามาแทน พวกเขาไม่ได้มีมงกุฎที่สองของความบริสุทธิ์ที่ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งแสงและเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มงกุฎแห่งแสงได้ไปปรากฎอยู่ที่ผู้นำศาสนาอย่างไรก็ตามผู้นำศาสนาก็ไม่ได้ครอบครองมงกุฎของความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน 
ด้วยเหตุนี้ ในยุคนี้มงกุฎของความศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎของความสูงส่งได้ถูกแยกออกจากกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อำนาจทางศาสนา และอำนาจการปกครอง ได้แยกออกจากกัน
ในยุคทองแดงการบูชากราบไหว้ก็เริ่มขึ้น ผู้ที่เคยมีค่าควรแก่การบูชา เป็นเทพบัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้เพราะว่าพวกเขาไม่มีความบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสอีกต่อไป สภาวะของดวงวิญญาณจึงอยู่ในระดับปานกลาง ความบริสุทธิ์ลดลงเหลือ 8 องศา วรรณะของพวกเขาก็ต่ำลง พวกเขาถูกจัดอยู่ในวรรณะพ่อค้า (ชั้นที่สอง) ระยะเวลา 1,250 ปีของยุคทองแดงดวงวิญญาณมนุษย์เกิด 21 ชาติ ช่วงอายุก็ลดลงไปด้วยตามลำดับ

42 ชาติในกลียุค
ในกลียุคหรือยุคเหล็กนั้น ดวงวิญญาณสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สภาพ ทาโมกุนา (Tamoguna) ซึ่งหมายความว่าต่ำสุด อุปนิสัยที่ผิดได้กลับมามีอำนาจมากกว่า โลกได้แบ่งเป็นหลายร้อยรัฐ เป็นรัฐใหญ่และรัฐเล็ก เหล่ากษัตริย์ถูกชิงอำนาจหรือถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงในนาม ระบบของรัฐบาลที่แพร่หลายคือ ประชาตันตระ (Praja Tantra) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลของประชาชนโดยประชาชน
ในยุคนี้สภาพไร้กฎหมายปรากฏขึ้นสู่จุดสูงสุด สังคมทำตามอำเภอใจโดยปราศจากความอาย ผู้หญิงถูกตีค่าเป็นเพียงตุ๊กตาแห่งกามารมณ์ สภาพไร้ศีลธรรมขึ้นสู่จุดสูงสุด การบูชากราบไหว้ไปสู่สภาพที่ตกต่ำ และมีรูปแบบที่เสื่อมถอยที่สุด รูปปั้นของเทพและเทวีมากมายถูกทำขึ้นมาบูชากราบไหว้แล้วก็เอารูปปั้นเหล่านั้นไปทิ้งในแม่น้ำ ฯลฯ การบูชายัญด้วยสัตว์ต่างๆ โดยมนุษย์ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอโทษต่อเทพเจ้า กล่าวง่ายๆ คือ ความเชื่อที่มืดบอดปกคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลในยุคนี้จัดอยู่ในประเภท ศูทร (Sudra) ซึ่งหมายถึงผู้คนที่มีกิเลสชั่วร้ายและหมายถึงสภาพจิตที่สกปรกต่ำต้อย ศูทร (Sudra) ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรแตะต้อง เป็นเพราะพวกเขาได้รับเชื้อโรคร้ายของกิเลสทั้งห้าไว้อย่างมากมายแล้วพวกเขาก็นำไปติดผู้อื่น
คนทั้งหมดของกลียุคได้รับผลกระทบจากกิเลสทั้งหลายในระดับที่แตกต่างกันไปพวกเขาก็ถ่ายทอดกิเลสไห้แก่กันและกันเป็นอาจิณ ซึ่งก่อให้เกิดวงจรแห่งกิเลส คำว่า "ศูทร" (Sudra) (ไม่ควรจะแตะต้องเป็นอันขาด) ถ่ายทอดความหมายของการมีกิเลสในตัวมนุษย์ไม่ใช่วรรณะ หรือผู้ที่มีอาชีพเป็นคนคุ้ยขยะ ในยุคเหล็ก 1,250 ปี ดวงวิญญาณเกิด 42 ชาติ อายุเฉลี่ยนั้นต่ำสุดในยุคนี้ การทำแท้ง การตายของทารก การตายจากอุบัติเหตุและการตายของเด็กที่เกิดก่อนกำหนดเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ

Saturday, May 18, 2013

การหลุดพ้น (Mukti)


การหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต
(Mukti and Jeewan Mukti)
เป้าหมายของมนุษย์ที่ต้องการจะได้รับจากการฝึกราชโยคะทุกวันนี้คือ การบรรลุถึงการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต ความหมายของคำทั้งสองจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ในกลียุคนั้น เนื่องจากความมีสำนึกแห่งการเป็นร่างอย่างเต็มที่ มนุษย์จึงถูกผูกติดไว้กับบ่วงพันธะแห่งสัมพันธ์ทางร่างกับบุคคลหรือสิ่งของในโลกนี้ พวกเขาทะยานอยากในกามารมณ์หรือมีความพอใจ จากการสัมผัสซึ่งมีความสุขที่สั้นมาก ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าจะต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างมากหลังจากนั้น

การผูกพันยืดติดที่มากที่สุดคือ การผูกพันยึดติดกับร่างกายของตนเอง บ่วงพันธะทั้งหมดเหล่านี้เป็นรากเหง้าของความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมทั้งหมด ดังนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับดวงวิญญาณที่จะต้องสลัดให้หลุดจากบ่วงพันธะเหล่านี้ เพื่อที่จะได้บรรลุถึงสภาวะของความเป็นอิสระและการหลุดพ้นทางดวงวิญญาณ

อะไรคือการหลุดพ้น (Mukti)
มีสองสภาวะของดวงวิญญาณซึ่งเป็นอิสระจากสำนึกแห่งการเป็นร่าง สภาวะแรก คือ เงียบสงบอย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความพอใจและไม่มีความปิติ มันเป็นการอยู่อย่างปราศจากความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอะไรก็ตาม เป็นที่รู้จักกันในนามของสภาวะแห่งการหลุดพ้น (Mukti) สภาวะนิรวาน (Nirvana) การหลุดพ้น การปลดปล่อยหรือการช่วยให้พ้นภัย มันมีอยู่ในพารามธรรมซึ่งเป็นบ้านที่เงียบสงบของทุกดวงวิญญาณที่จะไปอยู่ในตอนจบของกัลปเพียงเท่านั้น

หลังจากการทำลายของกลียุคโลกเก่า ดวงวิญญาณทั้งหมดจะกลับไปยังอาณาเขตที่เป็นธาตุแห่งแสง เรียกว่า "บราห์มา ตัตตะวา" (Brahma Tattwa) และอยู่ที่นั่นในสภาวะของการหลุดพ้น ณ ที่นั่นหน่วยงานทั้งสามของดวงวิญญาณ กล่าวคือ จิต สติปัญญาและสันสการ์แฝงตัวหรือไม่ปรากฏและสงบอยู่ชั่วคราว เมื่อดวงวิญญาณได้ลงมายังโลกแห่งความมีตัวตนเพื่อเล่นบทบาทใหม่อีกครั้งหนึ่งในกัลปหน้า พื้นฐานที่ดวงวิญญาณจะได้รับร่างใหม่ก็เป็นไปตามสภาวะของสันสการ์ของเขา

อะไรคือการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต?
(Jeewan Mukti)
สภาวะที่สองคือ สภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต มันเป็นสภาวะของความสุขและความปิติสุขอย่างสมบูรณ์พร้อม คงที่และไม่มีสิ่งใดมาขัดความสุข ซึ่งดวงวิญญาณจะได้รับประสบการณ์นี้ขณะที่มีร่างกาย การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตนี้เป็นความเพลิดเพลินของเหล่าเทพในสวรรค์ ระหว่างยุคทองและยุคเงินเหล่าเทพนั้นมีร่างกาย แต่ไม่มีร่องรอยแห่งการทนทุกข์หรือเจ็บปวดแม้แต่น้อยในขณะที่เข้ารับร่าง ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างและขณะที่ออกจากร่าง ร่างกายของเหล่าเทพนั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่งและปราศจากกิเลส ซึ่งผู้กราบไหว้บูชาทุกวันนี้ก็ยังกราบไหว้รูปปั้นและภาพวาดของเทพเหล่านั้น

เหล่าเทพได้รับสมญาว่าเป็นผู้ที่มีดวงตาเหมือนดอกบัว มีปากเหมือนดอกบัว มือและเท้าเหมือนดอกบัวและอื่นๆ อีก ทุกส่วนในร่างกายของเหล่าเทพถูกนำมาเปรียบกับคุณภาพของดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธ์ พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวไม่มีการตายโดยไม่รู้ล่วงหน้า พวกเขามีความเต็มใจที่จะละร่างเมื่อถึงเวลาที่ร่างนั้นเข้าสู่วัยชรา พวกเขาได้รับนิมิตของร่างใหม่ล่วงหน้า ร่างที่พวกเขาจะไปอาศัยอยู่ในสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต เหล่าเทพเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มั่งคั่งและมีความสุขอยู่ตลอด สภาวะเช่นนี้บราห์มินได้รับในฐานะที่เป็นมรดก ณ ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ชีว่า มอบให้




การหลุดพ้น เปรียบเทียบกับ การหลุดพ้นในขณะที่มีชีวิต
สภาวะของการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตมีลักษณะที่เหมือนกันหลายอย่างคือ ทั้งสองสภาวะพระเจ้า พ่อชีว่า เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถประทานให้ได้ ทั้งสองสภาวะจะได้รับหลังจากการจบสิ้นกลียุค ทั้งสองสภาวะสามารถบรรลุถึงได้โดยดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น ทั้งสองสภาวะจะนำมาซึ่งความจบสิ้นของความทุกข์ทรมานทั้งหมดของมนุษยชาติ

สภาวะการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต (Jeewan Mukti) นั้นสูงกว่า สภาวะการหลุดพ้น (Mukti) ดวงวิญญาณทั้งหลายที่ได้รับการหลุดพันคงอยู่ในสภาวะที่เงียบสงบในพารามธรรม ขณะที่ดวงวิญญาณซึ่งบรรลุถึงการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตได้เพลิดเพลินกับความสุขและความปิติอย่างสนุกสนานในสวรรค์

ในการหลุดพ้นดวงวิญญาณทั้งหลายถูกตัดขาดจากบทบาทในโลกที่มีตัวตน (ตราบเท่าที่สภาวะหลุดพ้นยังคงอยู่) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นบทบาทที่ดีมีความสุขได้แม้เพียงบทบาทเดีย ในขณะที่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตพวกเขาไม่เพียงแต่จะเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ทรมานเพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังได้เล่นบทที่มีความสุขและสนุกสนานในสวรรค์อย่างต่อเนื่อง

หลังจากกลียุคจบสิ้นลงดวงวิญญาณทั้งหมดก็จะบรรลุถึงการหลุดพ้นที่เป็นไปตามบทบาท ไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามใดๆ ในการบรรลุถึงการหลุดพ้นของพวกเขา แต่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตจะได้รับเพียงเมื่อดวงวิญญาณได้รับความรู้ทางดวงวิญญาณจากพระเจ้าชีว่าและผ่านการฝึกฝนราชโยคะเท่านั้น ดวงวิญญาณที่ได้รับการหลุดพ้นเพียงอย่างเดียวจะต้องชำระบัญชีกรรรมของพวกเขาโดยการถูกลงโทษใน ธรรมราชบุรี (Dharamraj Puri) ขณะที่ผู้ที่ได้บรรลุถึงการหลุดพ้นในชีวิตจะพ้นจากการลงโทษมากน้อยตามระดับที่พวกเขาได้มีการชำระล้างบาปในอดีตของพวกเขา โดยผ่านความอุตสาหะพยายามทางดวงวิญญาณของพวกเขาเอง นั่นคือ ผ่านการฝึกฝนราชโยคะ บางคนไม่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษใดๆ เลยและไปสู่สวรรค์โดยผ่านพารามธรรมอย่างมีเกียรติ

ด้วยเหตุนี้การหลุดพ้นเป็นเพียงสภาวะของความเงียบ มันไม่ใช่สถานภาพ ขณะที่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิตเป็นสถานภาพที่สูงสุดของเทพที่ซึ่งมนุษย์ปรารถนาจะได้บรรลุถึง

ความแตกต่างระหว่างการหลุดพ้น และ การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต
เราสามารถที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ โดยผ่านสัญลักษณ์ง่าย ๆ ทางคณิตศาสตร์ คือ เครื่องหมาย ลบ(-) เครื่องหมายศูนย์ (0) และเครื่องหมายบวก (+) เครื่องหมายลบ(-) เป็นเครื่องหมายแทนบ่วงพันธะของดวงวิญญาณในยุคเหล็ก สภาวะความทุกข์ทรมานอย่างสมบูรณ์แบบ เครื่องหมายศูนย์ (0) แสดงถึงการหลุดพ้นซึ่งเป็นสภาวะของความเงียบ เครื่องหมายบวก (+) ชี้บอกถึงยุคทองของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต สภาวะของความสุขอย่างสมบูรณ์พร้อมตามที่แสดงไว้ข้างล่าง
ลบ (-)
กลียุคของบ่วงพันธะ (ชีวิตที่ติดกับ) สภาวะของความทุกข์ ความเจ็บปวดที่สุด
ศูนย์(0)
สภาวะของการหลุดพ้น นั่นคือ ความเงียบสงัดในพารามธรรม
บวก(+)
ยุคทองคือการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะ ขณะที่มีชีวิต สภาวะของความสุขที่สมบูรณ์พร้อมขณะที่อยู่ในร่าง


แนวคิด โมกษะ (Moksha)
ซานยาสซีและสาวกของศาสนาอื่นๆ คิดว่าสภาวะการหลุดพ้นคือ โมกษะ หรือ นิพพาน นั้นสูงกว่าสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต มันเป็นการคาดเดาเอาเองของพวกเขาว่าความโศกเศร้าและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในโลกที่มีตัวตนนี้มีมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น พวกเขาคิดว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสาเหตุหลักของความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมที่ดวงวิญญาณได้รับ เพราะว่ามันมีโรคภัยไข้เจ็บ ความแก่และความตาย

พวกเขาพูดว่าดวงวิญญาณไม่สามารถจะเป็นอิสระจากความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดได้ตราบเท่าที่ดวงวิญญาณยังมีบ่วงพันธะกับร่างและยังต้องกลับมาเกิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งเป้าของพวกเขาไปยังการหลุดพ้นจากวงจรของการเกิดและการตาย ความเพียรพยายามของพวกเขามีเป้าหมายไปสู่จุดที่พวกเขาคิดว่าสูงสุดนี้

พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่ดวงวิญญาณบรรลุถึงการหลุดพ้น นั่นคือการหลุดพ้นไปจากวงจรของการกลับมาเกิดบนโลกนี้ตลอดไป โยคะของพวกซานยาส คือการมีโยคะกับ บราห์ม (Brahm-ธาตุแสง) พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่ได้บรรลุถึงการหลุดพ้น ดวงวิญญาณจะต้องหลอมรวมเข้าไปกับ บราห์ม อีกพวกหนึ่งค้นหานิพพานอมตะโดยคิดว่าดวงวิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมไปอยู่กับพระเจ้าในดินแดนนิพพานนิรันดร


ดวงวิญญาณไม่ได้หลอมรวมเข้ากับพระเจ้า
ทฤษฎีนี้ไม่สมเหตุผล และสะท้อนให้เห็นความไม่รู้จริงของผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้เกี่ยวกับดวงวิญญาณ พระเจ้า บราห์ม โลกละคร สวรรค์และนรก ฯลฯ มันเป็นการเข้าใจผิดที่จะยืนยันว่า เมื่อบรรลุถึงการหลุดพ้นดวงวิญญาณจะหลอมเข้าไปกับบราห์มหรือพระเจ้า

ดวงวิญญาณนั้นเป็นอมตะ ไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ ผู้ที่ถูกหลอมรวมหมายถึงการจบสิ้นของการมีอิสระภาพแห่งการดำรงอยู่ ถ้าดวงวิญญาณหลอมรวมเข้ากับบราห์มหรือพระเจ้า เราจะถือว่ามันเป็นอมตะได้อย่างไร

บราห์มเป็นธาตุที่ไม่มีชีวิตแพร่กระจายอยู่ในพารามธรรม ขณะที่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งสมบูรณ์ที่สามารถดำรงอยู่เป็นเอกเทศและมีชีวิตแล้วทั้งสองสิ่งจะหลอมรวมกันได้อย่างไร พระเจ้าเป็นผู้กำกับละครโลก ขณะที่ดวงวิญญาณมนุษย์เป็นผู้แสดงในละครโลก แล้วผู้แสดงจะสามารถหลอมรวมหรือละลายหลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับได้อย่างไร

ไม่มีดวงวิญญาณสองดวงซึ่งเหมือนกัน ดวงวิญญาณแต่ละดวงนั้นมีบุคลิกภาพเป็นของตนเอง มีสันสการ์เป็นของตน และมีบทบาทของตนที่จะต้องเล่น ด้วยเหตุนี้ หน้าตาของคนสองคนก็มีลักษณะเฉพาะของตน (หรือแม้แต่ลายนิ้วมือ) ดังนั้นดวงวิญญาณไม่สามารถที่จะหลอมรวมกันได้หลังจากการหลุดพ้น แล้วจะมีความคิดเกี่ยวกับการหลอมรวมกับพระเจ้าได้อย่างไร

ดวงวิญญาณไม่สามารถกลายเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งคงอยู่ตลอดไปได้ ดังนั้น ดวงวิญญาณสูงสุด จึงถูกเรียกว่า 
สัตยัม (Satyam) ผู้ที่เป็นอมตะ, ชีวัม (Shivam) ผู้ให้คุณประโยชน์ และ ซันดารัม (Sandaram) ผู้ที่งดงามที่สุด หลังจากการหลุดพ้นแล้วดวงวิญญาณก็กลับไปยัง พารามธรรม และอยู่ที่นั่นอย่างเป็นดวงวิญญาณที่แยกเป็นอิสระจากกัน ที่อยู่ของดวงวิญญาณคือ ปรโลก หรือ โลกวิญญาณ ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นบ้านของดวงวิญญาณที่นับไม่ถ้วน มิฉะนั้น มันคงไม่ถูกเรียกว่าโลก มีพวกที่คิดอย่างผิด ๆ ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งเพราะความไม่รู้และทันทีที่ความไม่รู้นั้นถูกทำลายลงเขาก็จะเข้าใจ อนึ่งถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านก็จะต้องกลายเป็นผู้ไม่รู้ไปด้วย แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อพระเจ้านั้นเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งตลอดกาล เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเชื่อนี้อยู่บนสมมุติฐานของความเชื่อที่ผิด

ไม่มีหลักฐานของการหลุดพ้นที่ถาวร
ไม่มีสิ่งสนับสนุนการกล่าวอ้างว่าดวงวิญญาณบรรลุถึงการหลุดพ้นอย่างถาวร ถ้ามีการหลุดพ้นอย่างถาวรจริง ก็จะไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถกลับมายังโลกและพูดว่า บัดนี้ฉันได้อยู่ในพารามธรรมอย่างถาวรแล้ว และถ้ามีใครบางคนพูดถึงเรื่องนี้ คำพูดนั้นเป็นเพียงการคาดเดาของบุคคลนั้นโดยไม่มีประสบการณ์ที่เป็นจริง

ความจริงแท้ก็คือมนุษย์ปัจจุบันนี้ค้นหาการหลุดพ้นอย่างถาวรซึ่งเป็นการคาดหวังเอาเอง นั่นคือพวกเขาอยู่ในสภาวะที่มีบ่วงพันธะของทุกวันนี้และอยากไปให้พ้นไปอย่างถาวร สิ่งนี้พิสูจน์ตัวมันเองว่าไม่เคยมีสภาวะการหลุดพ้นที่ถาวรเลยในอดีต สิ่งนี้นำไปสู่การสรุปโดยอัตโนมัติว่า สภาวะเช่นนี้ไม่สามารถบรรลุถึงได้ในอนาคตด้วย แม้แต่พระเจ้าดวงวิญญาณสูงสุดก็ยังต้องลงมาบนโลกนี้ กัลปละหนึ่งครั้ง แล้วดวงวิญญาณมนุษย์จะได้รับสภาวะที่สูงกว่าพระเจ้าได้อย่างไร
ถ้าดวงวิญญาณทั้งหมดสามารถไปอยู่อย่างถาวรในโลกวิญญาณเหมือนอย่างที่คนเหล่านี้คิด ก็จะไม่มีความต้องการพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ได้รับการจดจำว่าเป็นผู้ปลดปล่อย เป็นผู้นำทาง เป็นครูผู้สูงสุด ฯลฯ

การหลุดพ้นเป็นสภาวะชั่วคราว
อย่างที่ได้อธิบายไว้ตอนต้นแล้ว ดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหลายเป็นนักแสดงที่เป็นอมตะในละครโลกที่เป็นอมตะ ถ้าการหลุดพ้นมีจุดประสงค์เพื่อให้ดวงวิญญาณกลับไปยังพารามธรรมตลอดกาล แล้วละครนี้ก็ไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นละครอมตะได้ การเพิ่มของประชากรมนุษย์อย่างต่อเนื่องในโลกเป็นเครื่องชี้ชัดด้วยเช่นกันว่า ดวงวิญญาณไม่ได้อยู่ในสภาวะหลุดพ้นตลอดกาล 
ดวงวิญญาณที่หลุดพ้นอาจจะเปรียบได้กับเมล็ดพืช เมล็ดพืชมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติที่จะเติบโตเป็นต้นพืช ดังนั้น ดวงวิญญาณมนุษย์ก็เช่นกัน มีความชอบเป็นธรรมชาติที่จะรับร่างที่จะแสดงบทบาทในโลกที่มีตัวตนนี้ เหมือนกับเมล็ดพืชที่มีแนวโน้มเป็นธรรมชาติที่จะงอกขึ้นมาเมื่อฤดูกาลมาถึง
เช่นเดียวกัน มันเป็นลักษณะที่เป็นธรรมชาติของทุก ๆ ดวงวิญญาณที่จะได้รับการกระตุ้นตามเวลาที่กำหนดไว้แล้วในกัลปเพื่อจะเล่นบทบาทในละครโลก


ในขณะที่ดวงวิญญาณแสดงบทที่ดีก็จะสนุกสนานกับการแสดงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเริ่มแสดงบทที่เลวก็เริ่มพ่ายแพ้ต่อมายา อันเป็นเหตุให้เกิดการพ่ายแพ้อย่างซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อการแสดง และทำให้ดวงวิญญาณค้นหาการหลุดพ้นจากบทบาทของตน แต่หลังจากที่ได้รับการหลุดพ้นก็เกิดควาปรารถนาที่จะแสดงขึ้นมาอีก เมื่อเวลาที่บทในละครได้มาถึงอีกครั้งหนึ่งในกัลปหน้า มันเหมือนกับเด็กที่พ่ายแพ้และเหนื่อยอ่อนต่อการเล่น ต้องการจะกลับไปนอน เด็กนั้นไม่ได้นอนอยู่ตลอดไป เมื่อการนอนเป็นเพียงสภาวะการพักผ่อนชั่วคราว หลังจากช่วงหนึ่งเขาก็กลับมามีความปรารถนาที่จะเล่นอีก

ดวงวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะจะผ่านสภาวะต่าง ๆ จากการหลุดพ้นไปสู่การหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะีที่มีชีวิต และไปสู่ชีวิตที่มีบ่วงพันธะ แล้วก็เริ่มการหลุดพ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นไปในรูปของวงจร สภาวะเหล่านี้ไม่มีความถาวรหรือคงที่ เพราะว่าละครโลกเองนั้นเป็นสภาวะที่เคลื่อนไหวหมุนไปเป็นนิรันดร

ทั้งการหลุดพ้นและการมีบ่วงพันธะไม่เป็นอมตะ
ประเด็นข้างบนอาจจะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ด้วยความปรารถนาอย่างมากต่อการหลุดพ้น แสดงว่าดวงวิญญาณได้เคยมีประสบการณ์ของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในอดีต แต่ปัจจุบันมันได้ห่างไกลจากสภาวะนั้น บ่วงพันธะนั้นก็ไม่ได้คงอยู่มาตั้งแต่อนันตกาลมันเป็นเช่นนั้น ดวงวิญญาณไม่สามารถกำจัดมันไปได้ เพราะว่าอะไรก็ตามที่เป็นอมตะจะต้องมีอยู่ตลอดไป

ดังนั้นการหลุดพ้นหรือการช่วยให้พ้นภัยหมายถึง การเป็นอิสระ การปลดปล่อย หรือความมีอิสระจากบ่วงพันธะ มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสภาวะของดวงวิญญาณก่อนที่จะมีบ่วงพันธะได้กลับมามีบ่วงพันธะในภายหลัง อีกอย่างหนึ่งบ่วงพันธะชี้ให้เห็นถึงสภาวะของความเป็นอิสระจากบ่วงต่าง ๆ ซึ่งเคยมีมาก่อน ซึ่งบัดนี้ดวงวิญญาณต้องการจะเป็นเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง นี่หมายความว่าดวงวิญญาณจะกลับมาสู่สภาวะดั้งเดิมของการหลุดพ้นแต่มันจะไม่คงอยู่ตลอดไป
สำหรับดวงวิญญาณมนุษย์ การหลุดพ้นเป็นสภาวะที่จะได้รับ(และสูญเสีย) และมันไม่ได้เป็นมรดกที่ถาวรของพวกเขา พระเจ้าพ่อชีว่าเพียงเท่านั้นที่สามารถประทานการหลุดพ้นและการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะขณะที่มีชีวิต หลังจากการทำลายล้างความไม่ชอบธรรมและสวรรค์ ท่านนี่เองที่ปลดปล่อยแม้แต่ นักบุญ สาธุ ซานยาสซี และผู้ก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ ทั้งหมด รวมทั้งดวงวิญญาณของราชวงศ์เทพได้กลับไปสู่สวรรค์โดยผ่านพารามธรรม ซึ่งได้มีการสร้างขึ้นอีกครั้งหนึ่งบนโลก เป้าหมายของทุกดวงวิญญาณอยู่ในมือของพวกเขาเองและพวกเขาจะต้องตัดสินใจ ณ บัดนี้ว่าจะไปนรกหรือไปสวรรค์


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Friday, May 17, 2013

สวรรค์ และ นรก


สวรรค์และนรกมีอยู่จริง สวรรค์ไม่ใช่โลกที่อยู่ห่างไกลออกไปนอกจักรวาล ทั้งนรกและสวรรค์อยู่บนโลกนี้และไม่ได้อยู่ในเขตชั้นบรรยากาศที่ห่างไกลเหนือโลก พระเจ้าพ่อชีว่าได้ให้นิิมิตของสวรรค์กับบางดวงวิญญาณ เมื่อพวกเขาเข้า็ฌาณไปเห็นในขณะที่ฝึกฝนราชโยคะ ผู้ซึ่งไม่เข้าใจธรรมชาติของนิมิตก็ทำการสรุปอย่างผิด ๆ พระเจ้าชีว่า สร้างสวรรค์ และ ราวัน (ปีศาจ หรือ มายา) ได้เปลี่ยนมันไปเป็นนรก ทั้งสวรรค์และนรกอยู่บนโลกนี้ 

ใครคือ ราวัน
สวรรค์คือยุคทองและยุคเงินเป็นโลกของความบริสุทธิ์ ความสมบูรณ์พร้อม ความสุขและความปิติ สร้างโดยพระเจ้าชีว่า บางคนมีความคิดที่ผิดเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสวรรค์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นโลกที่มีไวน์ไหลเหมือนแม่น้ำและมีหญิงสาวคอยสนองความใคร่อย่างเสรี ภาพเหล่านี้ถูกสร้างโดยความคิดที่บิดเบือนไม่มีความรู้จริงของพวกเขาเอง ในความเป็นจริงความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานหลักของสวรรค์ กิเลส เช่น กามราคะไม่ได้มีที่นั่น นรกเป็นคำบรรยายความเลวร้ายของราวัน ราวันไม่ใช่บุคคลอย่างที่ยืดถือกันมาแต่อดีตที่มีบางคนจินตนาการว่าราวันมีสิบหัว

คำว่า ราวัน หมายถึง ผู้ซึ่งทำให้คนอื่นโศกเศร้า ความทุกข์ทรมานทั้งหมดซึ่งทำให้คนโศกเศร้ามีรากฐานมาจากกิเลสทั้งห้าของผู้ชายและกิเลสทั้งห้าของผู้หญิง ราวันมีชื่อว่า ปีศาจ ซาตานหรือมายา ด้วย ในนรก มายามีอำนาจปกครองสูงสุด ดวงวิญญาณทั้งหลายถูกครอบงำโดยกิเลสซึ่งรู้กันในนาม "อสูระ" (Asuras) กิเลสทำให้ชีวิตปราศจากความสงบและมีแต่ความทุกข์โศก ในอินเดีย ผู้คนเผาหุ่นจำลองของราวันทุกปี เมื่อพวกเขาเฉลิมฉลอง "เทศกาล ดัสเซรา" (Dussehra) แต่ผู้เผาหุ่นก็ไม่ได้ยุติการกระทำที่เป็นกิเลส ซึ่งมีราวันเป็นสัญลักษณ์

หมายเหตุ : ราวัน ก็คือ ทศกัณฑ์ในรามเกียรต์


การกลับไปเกิดในสวรรค์นั้นจริงหรือ??
เมื่อมีคนตายมักมีการพูดกันบ่อย ๆ ว่า ดวงวิญญาณได้จากไปสวรรค์แล้ว ไม่มีดวงวิญญาณใดที่อาศัยอยู่ในนรกแล้วไปเกิดใหม่ในสวรรค์ได้ นรกและสวรรค์ไม่ได้มีอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน สวรรค์และนรกจะตามกันมาในรูปของวงจรที่เป็นระเบียบ ถ้าวันนี้มีคนพูดว่า "ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์" มันเป็นเพียงสิ่งชี้ว่าพวกเขากำลังอาศัยอยู่ในนรกและดวงวิญญาณที่จากไปก็ไปเกิดอยู่ในนรกเช่นเดิม ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ต้องเศร้าโศก หรือไว้ทุกข์ต่อดวงวิญญาณที่จากไปสู่สถานที่ดีกว่า




เงื่อนไขสำหรับสวรรค์-ความบริสุทธิ์
ไม่มีผู้ใดสามารถไปสวรรค์ได้โดยไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ด้วยการดำเนินชีวิตที่มีคุณธรรมในทางปฏิบัิติจริงเป็นฐานเท่านั้นคือเกณฑ์ บนพื้นฐานของความรู้ของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยพระเจ้าชีว่า เรื่องนี้เป็นไปได้เพียงในช่วงเวลาของยุคแห่งการบรรจบพบกันเท่านั้น เมื่อพระเจ้าชีว่าได้อวตารลงมาก่อตั้งระเบียบโลกใหม่และทำลายล้างระเบียบโลกเก่า นับตั้งแต่ยุคทองแดงเริ่มมา ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณเดียวที่ได้กลับไปยังสวรรค์ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่ได้ลงมาจาก พารามธรรม (โลกวิญญาณ) ได้มีการเกิดซ้ำและกำลังอยู่ในโลกที่มีตัวตนนี้

ประตูของสวรรค์ที่กำลังจะมาถึง จะเปิดหลังจากการทำลายล้างของโลกเก่า เวลาแห่งการไปสวรรค์กำลังใกล้เข้ามาแลัว มีเพียงดวงวิญญาณที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยวิธาราชโยคะแล้วเท่านั้นที่จะได้ไปเกิดในสวรรค์ และดวงวิญญาณที่เหลือทั้งหมดจะพักอยู่ในพารามธรรมและจะลงมาอีกครั้งในโลกที่มีตัวตนในเวลาที่แน่นอนที่จะตามมาในวงจรหน้าของละครโลกนี้

ข้อสังเกต: มายาหมายถึงสำนึกแห่งความเป็นร่าง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของกิเลศทั้งห้า กิเลสนั้นแสดงตัวมันอยู่ในรูปใดรูปหนึ่งของบุคคลิกภาพที่อ่อนแอ ความล้มเหลว และ ความขาดแคลน ราวัน ปีศาจ หรือ ซาตาน นั้น มีความหมายใกล้เคียงกับมายา มายามีรูปที่ละเอียดอ่อนหลายรูป การฝึกฝนราชโยคะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ค้นพบสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากทั้งหมด


จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


Wednesday, May 15, 2013

ความแตกต่างระหว่างพระเจ้าและผู้นำศาสนา

เราจะสังเกตได้จากการอธิบายต้นกัลปว่า บทบาทของพระเจ้าพ่อชีว่าและผู้ก่อตั้งศาสนาต่างๆแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พระเจ้าชีว่าเป็นเมล็ดของต้นกัลป แต่ผู้ก่อตั้งศาสนาเป็นเหมือนดอก และดวงวิญญาณ ที่เหลือเป็นเหมือนใบ พระเจ้าชีว่าเป็นพ่อสูงสุด (Parampita) ของดวงวิญญาณทั้งหมด ผู้ก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ นั้นเป็น พ่อที่สูงส่ง (Dharam Pitas) ของดวงวิญญาณซึ่งนับถือศาสนานั้น ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทุกดวงวิญญาณจึงมีพ่อสามคน
1. พ่อทางกาย(Lokik Pita)
2. พ่อสูงส่ง (Dharam Pita)
3. พระเจ้าผู้เป็นพ่อ (Param Pita)




ขณะที่พ่อสูงส่งได้ลงมายังโลกที่มีตัวตนตามบทบาทของพวกเขาในละครโลก ดวงวิญญาณต่าง ๆ ที่นับถือ ศาสนาเหล่านั้นก็เริ่มตามพวกเขาลงมายังโลกนี้จากพารามธรรม ดังนั้นในหนทางนี้ผู้ก่อตั้งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะนำดวงวิญญาณเหล่านี้ลงมาบนโลกจากพารามธรรมภาระกิจของการนำดวงวิญญาณทั้งหมดกลับไปจาก โลกที่มีตัวตน (สนามของการกระทำ, Karam Kshetra) ไปยัง โลกที่ปราศจากร่าง (Paramdham) จะกระทำโดยพระเจ้าชีว่าตอนสิ้นกัลป

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าชีว่าเพียงเท่านั้นที่เป็นผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมด พ่อที่สูงส่งก็ทำงานในบทบาทของการบำรุงรักษาศาสนาของพวกเขาด้วยการกลับมาเกิดอย่างต่อเนื่อง พวกเขายังไม่ได้กลับไปยังพารามธรรม ต้องรอจนกว่าละครโลกจะจบสิ้น ดวงวิญญาณที่นับถือศาสนาเหล่านี้ก็กลับมาเกิดในศาสนาของตนและดวงวิญญาณก็ลงมาเกิดเพิ่มบนโลกนี้ด้วยอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือเหตุผลหลักว่าทำไมจำนวนของสาวกของทุก ๆ ศาสนาได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ก่อตั้งศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อการขยายศาสนาในโลกนี้ ขณะที่พระเจ้าชีว่าทำให้ศาสนาที่มนุษย์สร้างขึ้นจบสิ้นลงและมาสถาปนาศาสนาเทพดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งซึ่งเกิดเป็นลำต้นของต้นกัลป พ่อที่สูงส่งทุก ๆ คนได้ให้คำสอนของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้า ความหลากหลายในคำสอนของพวกเขามีมากมาย

ในทุกวันนี้ ในแต่ละศาสนาก็มีปรัชญาและรายละเอียดที่แตกต่างกันของพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้นำสารของพระเจ้า ถ้าเป็นผู้ที่นำสารจริงการสอนและข่าวสารของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งสร้างของพระเจ้าจะต้องเหมือนกัน ดังนั้นพระเจ้าชีว่าจึงได้ลงมาบนโลกด้วยตัวท่านเอง เพื่อ เปิดเผยความรู้ของพรเจ้าที่เท้จริง 


ผู้นำศาสนาต่างทำให้การเสื่อมถอยช้าลง
ดวงวิญญาณผู้ก่อตั้งศาสนาทั้งหมดของศาสนาต่าง ๆ ลงมายังโลกใบนี้ระหว่างยุคทองแดงและยุคเหล็ก ซึ่งหมายความว่าเป็นครึ่งหลังของกัลปเมื่อโลกอยู่ในสภาพที่เก่า บทบาทของพวกเขาก็เปรียบได้กับผู้ที่ซ่อมแซมบ้านที่ทรุดโทรมผุพัง บ้านในที่นี้คือโลก ผลจากความเพียรพยายามของพวกเขาทำให้ความเร็วของความเสื่อมโทรมผุพังช้าลงแต่การเสื่อมทรามก็ยังคงดำเนินต่อไป และเมื่อเวลาสุดท้ายมาถึงก็จะไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับอยู่อาศัยได้อีกต่อไป นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาเพื่อก่อตั้งโลกใหม่ และทำลายโลกเก่า


พระเจ้าชีว่าเท่านั้นที่สามารถขจัดความไม่รู้
ระยะเวลาระหว่างที่ผู้นำศาสนาต่าง ๆ ได้ลงมายังโลก โลกถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา คำว่า กลางคืน ในที่นี้หมายถึงดวงวิญญาณอยู่ในความมืดหรือความไม่รู้นั่นเอง ระหว่างหลางคืนที่มืดมิดมนุษย์ใช้แสงที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อจัดการงานของพวกเขา เช่นกัน ระหว่างช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณอยู่ในความมืด พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากการชี้แนะที่มนุษย์ได้ให้ไว้คือคำสอนของผู้นำศาสนาที่เป็นมนุษย์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงทางศีลธรรมและจริยธรรม เหมือนกับแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นในรูปต่าง ๆ มีตั้งแต่ตะเกียงธรรมดาไปจนถึงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างทรงพลัง

ดังนั้นความรู้ทางดวงวิญญาณที่หาได้จากความคิดธรรมดาของนักบุญธรรมดา เปรียบดั่งเช่น แสงที่มนุษย์สร้างขึ้นที่มีพลังมากที่สุดก็ยังริบหรี่เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงและอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ เช่นกัน ปรัชญาของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ที่เปิดเผยโดยพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์พ่อชีว่าผู้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ญาณสุริยา" (Gyan Suriya) พระอาทิตย์แห่งความรู้


นัยสำคัญของ "ชีว่า ราตรี" (Shiva Ratri) 
เหมือนอย่างเช่นแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะมากเท่าไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลางคืนไปเป็นกลางวันได้ ซึ่งรุ่งอรุณนั้นจะมีได้เพียงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เช่นกันความมืดของความไม่รู้จะหายไปเพียงเมื่อพระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาบนโลก ในอินเดีย ประเพณี ชีว่า ราตรี ได้มีการเฉลิมฉลองทุกปีเพื่อเป็นการระลึกถึงการอวตารลงมาอันสูงส่งของพระเจ้า ชีว่า แล้วกลางคืนของบราห์มาก็จบสิ้นลงเมื่อนั้น ยุคทองและยุคเงินซึ่งถูกเรียกว่ากลางวันของบราห์มาก็จะมาแทนที่ ซึ่งในระหว่างเวลากลางวันนั้นแสงที่สร้างขึ้นก็ไม่มีความจำเป็น เช่นเดียวกันจึงไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนาซึ่งเป็นพ่อที่สูงส่งในยุคทองและยุคเงินเพราะว่าไม่มีความจำเป็น





ชีว่า-ราตรี การอวตารที่สูงส่งของพระเจ้า
เทศกาล ชีว่า-ราตรี นั้นมีการเฉลิมฉลองทุก ๆ ปี เพื่อรำลึกถึงการลงมาของชีว่า ณ เวลาที่มืดสนิทหรือขาดความรู้มากที่สุด (ที่แสดงให้เห็นโดยราตรีหรือกลางคืน) เพื่อปลดปล่อยโลกจากบ่วงพันธะของมายาหรือกิเลสทั้ง 5 กล่าวคือ ตัณหา ความโกรธ ความโลภ ความผูกพันยืดติด และความหยิ่งทะนงตน

ต้นไม้โลก


โลกมนุษย์เปรียบเหมือนต้นไม้กลับหัว เมล็ดและรากนั้นอยู่ข้างบน กิ่งก้านสาขาและใบแผ่ปกคลุมเบื้องล่าง มันเป็นโครงร่างที่ใช้เปิดเผยประวัติศาสตร์ทั้งกัลป (วงจรโลก) จากตอนต้นไปถึงตอนจบมันมีชื่อเรียกว่า "ต้นกัลป" ต้นไม้โลก หรือ ต้นไม้พันธุกรรมของมวลมนุษย์ 

ต้นกัลป 
เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็คือ พระเจ้าชีว่า ผู้สรรค์สร้างนั่นเอง ผู้ซึ่งสถิตย์อยู่ในที่สูงสุดเรียกว่า พารามธรรม เมล็ดพันธุ์อันหลากหลายที่ไม่มีชีวิตไม่มีความรู้สึกจะมีคุณสมบัติทั้งหมดของพันธุ์ไม้นั้นอยู่ภายในพระเจ้าชีว่าคือเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต ผู้ซึ่งมีความรู้ จุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางและจุดสุดท้ายของพันธุกรรมมนุษย์โลกอย่างสมบูรณ์ รากของต้นไม้นั้นก็คือ บราห์มิน โดยใช้บราห์มินเป็นเครื่องมือ พระเจ้าชีว่าได้สร้างสวรรค์ขึ้น ซึ่่งประกอบไปด้วย ยุคทองและยุคเงิน ซึ่งครึ่งหนึ่งของลำต้นต้นไม้นี้เป็นตัวแทนของสวรรค์ คือ สุริยราชวงศ์ของศรีลักษมีและศรีนารายัญผู้ซึ่งปกครองในยุคทอง และจันทรราชวงศ์ของศรีสีดาและศรีรามที่ปกครองในยุคเงิน ช่วงเวลาของยุคทั้งสองนี้มีความพิเศษด้วยการมีผู้ปกครองเดียว อาณาจักณเดียวและภาษาเดียวทั่วทั้งโลก
เทพผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครอง มีชื่อเรียกว่า "จักราวาดิ" (Chakravarti) มีอำนาจปกครองทั่วทั้งโลก ในช่วงของยุคนี้ ศาสนาทั่วทั้งจักรวาลคือ ศาสนาเทพโบราณ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma) ซึ่งเป็นศาสนาแรกและเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ไม่มีศาสนาอื่นใด ณ เวลานั้น ความบริสุทธิ์ ความสงบและความมั่งคั่งมีอยู่ทั่วไปบนโลก ทุกสิ่งในโลกอยู่ในสภาพที่ดีเลิศ เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมนั้นเบ่งบานและปราศจากกิเลส เต็มไปด้วยความสนุกสนานและปราศจากความกลัว ไม่มีความรุนแรงปรากฎให้เห็นแม้แต่ในหมู่สัตว์ มีคำเปรียบเปรยสำหรับยุคทองว่า สิงห์โตและวัวดื่มน้ำจากแอ่งน้ำเดียวกัน อินเดียในอดีตกาลนั้นมีชื่อเรียกว่า "ภารัต" ดินแดน "นกกระจอกทองคำ"


photo Tree_World_1_zps771459e1.jpg

ต้นไม้โลก
โลกเติบโตเหมือนต้นไม้ ในช่วงยุคทองและยุคเงิน มีเพียงศาสนาเดียวคือ ศาสนาเทพ กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดต่างศักดิ์สิทธิ์และเป็นเทพโดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงมีแต่ความสงบ ความรักและความมั่งมีอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ต่อมาภายหลัง สำนึกแห่งความเป็นร่างกายและกิเลสต่าง ๆ ปรากฏขึ้น ศาสนาต่าง ๆ และหน่อของศาสนานั้นปรากฏขึ้น ความเสื่อมถอยและเสื่อมโทรมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งจุดสุดท้ายของยุคเหล็ก เมื่อการกระทำของมนุษย์ที่มีกิเลสนำโลกไปสู่การทำลายล้างโดยอาวุธนิวเคลียร์และอื่น ๆ


แหล่งกำเนิดของศาสนาที่แตกต่างกัน
ตอนปลายของยุคเงินดวงวิญญาณซึ่งมาจากสุริยราชวงศ์และจันทรราชวงศ์ หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ได้หลงลืมตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาว่าเขาคือดวงวิญญาณและได้กลับกลายมามีสำนึกว่าตัวเองนั้นคือร่างกาย จึงเป็นการเริ่มต้นเของยุคทองแดง เนื่องจากการตกต่ำของศาสนาเทพโบราณจึงปรากฎให้เห็นศาสนาอื่น ๆ ที่แตกหน่อออกมาราวกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นกัลป เวลาได้ผ่านไป...ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ก็ลงมาจากพารามธรรมเพื่อมาก่อตั้งศาสนาที่แตกต่างเหล่านั้น ดวงวิญญาณหลักของผู้ก่อตั้งศาสนา ต่างๆ ที่ลงมาบนโลกคือ
อับบราฮัม ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม
พระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ
พระคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์เตียน
พระสังฆราจารย์ ผู้ก่อตั้งศาสนาซานยาสและ
พระโมฮัมเหม็ด ผู้ก่อตั้งศาสนามุสลิม
ศาสนาฮินดู ไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา

เมื่อเหล่าเทพสูญเสียความบริสุทธิ์และคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเทพอีกต่อไปและได้ชื่อใหม่ว่า ฮินดัส คนกลุ่มนี้เดิมทีเป็นผู้ที่นับถือศาสนาเทพ (ฮินดู) ได้กระจัดกระจายไปตามศาสนาใหม่ของโลกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ภายหลังจากผู้ก่อตั้งศาสนาได้ลงมาแล้ว ดวงวิญญาณอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาเหล่านั้นก็ตามลงมาจากพารามธรรม และนี่คือที่มาที่ว่าศาสนาเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างไร

คัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ก็ถูกเขียนขึ้นในยุคทองแดงนี้เองคัมภีร์สำคัญ ๆ สี่คัมภีร์ คือ
1. ศรีมัต ภควัต กีตะ ของศาสนาฮินดู (Shrimad Bhagwad Gita of Hinduism)
2. คัมภีร์ไบเบิ้ล ของศาสนาคริสต์ (Bible of Christianity)
3. คัมภีร์ไตรปิฎก ของศาสนาพุทธ (Dhampad)
4. คัมภีร์กูรอาน ของศาสนาอิสลาม (Quoran of lslam)




คัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้เขียนโดยผู้ก่อตั้งศาสนาเอง แต่เขียนโดยสาวกทั้งหลายในภายหลัง ในยุคทองแดงทุกสิ่งอยู่ในสภาพปานกลาง (Rajoguni) ประชากรโลกซึ่งมีน้อยมากในตอนเริ่มต้นยุคทองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในสวรรค์เคยมีเพียงศาสนาเดียว อาณาจักรเดียว มีผู้ปกครองเดียวและภาษาเดียว บัดนี้ความเป็นหนึ่งนี้ได้เกิดการแตกแยก มีศาสนาหลายศาสนา มีหลายอาณาจักร ราชวงศ์ที่ทำการปกครองมีหลายราชวงศ์และหลายภาษา ความสอดคล้องกลมกลืนของการอยู่ร่วมกันแตกกระจายไปสู่ความไม่ปรองดองกัน สิ่งนี้นำไปสู่การแข่งขันกัน ความไม่เป็นหนึ่งและความขัดแย้ง ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นสงคราม!


การเสื่อมของต้นไม้
ในกลียุคซึ่งติดตามยุคทองแดงมา กิ่งและก้านปรากฎบนต้นกัลปมากขึ้น ศาสนาหนึ่งที่เป็นที่น่าสังเกตคือ ศาสนาซิกซ์ ก่อตั้งโดย กูรูนานาค (Nanak) ศาสนาที่มีอยู่หลังจากผ่านสภาวะต่าง ๆ มาก็ถึงสภาวะสุดท้ายซึ่งเป็นสภาวะที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือการแบ่งแยกออกไปด้วยการแตกแยกไปเป็นลัทธิ นิกาย นิกายย่อยๆ สมาคม และสำนักต่างๆ มากมาย




เมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งก็กลับมาอยู่ในสภาพที่ไม่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ (Tamoguni) นั่นคือ ความตกต่ำเลวทรามเต็มไปด้วยกิเลส กิเลสทั้งห้ามีพลังควบคุมเหนือมวลมนุษย์ มีความมืดอย่างถึงที่สุดในทุกหนแห่ง ผู้คนกลับมาชั่วร้ายเลวทราม ระบบการปกครองโดยกษัตริย์ถูกยึดอำนาจ การปกครองโดยประชาชนถูกสถาปนาขึ้น สถานภาพของผู้หญิงถูกกดให้ต่ำ และพวกเธอถูกกำหนดให้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ปลดเปลื้องกามราคะ

ความคิดที่แตกต่างก็มามีอิทธิพลในครอบครัว ความไม่ชอบธรรม ความไร้ซึ่งศาสนา ความอยุติธรรม ความเห็นแก่ตัว การปนปลอม ตลาดมืด ติดสินบน ความลำเอียงจากการใช้ความเป็นพี่น้องเครือญาติเพื่อเป็นเครื่องตัดสิน การให้สิทธิพิเศษเข้ามาเกาะกุมสังคมมนุษย์ ความป่าเถื่อนมีอยู่ทั่วไป ความหายนะตามธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ การตายก่อนเวลาอันควร อุบัติเหตุ การหักหลัง การหมิ่นประมาท ความไม่ปลอดภัยและองค์ประกอบอื่นๆ อีกนับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ มนุษย์มีความทุกข์ทรมานที่ไม่สามารถพูดอธิบายได้ การแตกแยก ขยายไปจนถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง สงครามภูมิภาคและสงครามโลก!

ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล
เมื่อมาถึงจุดจบที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของกลียุค พระเจ้าพ่อชีว่าได้มาวางรากฐานของสวรรค์โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา ยุคสั้นๆ ระหว่างจุดจบของกลียุคและเริ่มต้นของสัตยุคถูกเรียกว่า "ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล" หรือ Sangam Yuga พระเจ้าได้อวตารลงมาในร่างของบุคคลผู้ซึ่งกราบไหว้บูชาศรีนารายัญ ศรีนารายัญ นั้นมีค่าควรต่อการบูชาในตอนเริ่มต้นของยุคทองและบัดนี้ได้มาเกิดในรูปของผู้กราบไหว้บูชา พระเจ้าชีว่าตั้งชื่อท่านว่า ประชาปิตาบราห์มา และพระเจ้าก็สร้าง บราห์มิน โดยให้ความรู้ของพระเจ้าแก่พวกเขาผ่านปากของท่านบราห์มา

การพูดว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชาและเป็นผู้สักการบูชาใช้กับดวงวิญญาณบราห์มาอย่างแท้จริง ไม่ได้ใช้กับดวงวิญญาณสูงสุด พระเจ้าชีว่าเป็นผู้ซึ่งมีความบริสุทธิ์เป็นนิรันดร์และเป็นผู้มีค่าควรแก่การบูชา ในรูปของต้นกัลป บราห์มินถูกแสดงไว้ว่ากำลังนั่งสมาธิภายใต้ลำต้น นั่นคือในอาณาเขตที่เป็นราก บราห์มินคือรากของต้นกัลป

กองทัพทั้งหมดของบราห์มินผู้ปราศจากความรุนแรงถูกก่อตั้งโดยพระเจ้าชีว่า เพื่อกู้ชีวิตมวลมนุษย์ ในกองทัพกู้ภัยทางจิตนี้ พี่สาวน้องสาวและบรรดาแม่ทั้งหลายเป็นหลักของกองทัพ พวกเขารู้จักกันในฐานะว่าเป็น ชีพ ชัคตี (Shiv Shaktis) ดวงวิญญาณที่เอาชนะกิเลสทั้งห้าได้หมด ก็ถูกสร้างขึ้นเป็น พวงประคำแห่งชัยชนะ (Vijayanti Mala)

ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga) หน่อและต้นอ่อนของอารยธรรมใหม่ซึ่งมนุษย์จะมีความสนุกเพลิดเพลินภายในและมีความผสมกลมกลืนภายนอก ครอบครองคุณธรรมทั้งหมดและมีอารมณ์ที่อยู่บนศีลธรรมนำไปสู่การเปิดศักราชของโลกใหม่ ยุคของความยุติธรรมมาแทนที่ความอยุติธรรม ความยากจนถูกแทนที่โดยความมั่งคั่ง สุขภาพและคุณธรรมมาทดแทนความเหลงไหลและหยาบคาย นำไปสู่การจบสิ้นซึ่งความขัดแย้ง การสูญเสีย เหตุแห่งทุกข์ ความริษยา หยิ่งทะนง ของกลียุคทั้งหมด (ยุคเหล็ก)


การทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมด
นี่เป็นเวลาแห่งจุดจบของกลียุค มันเป็นเวลาของการทำลายล้างทุกสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหมด กิเลสจะถูกทำลายโดยสงครามกลางเมือง ความหายนะของธรรมชาติ อาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาจะต่อสู้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์และเป็นเหตุของการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ความชั่วร้ายจะทำลายตัวมันเอง ในรูปของต้นกัลป มหาอำนาจทางนิวเคลียร์ถูกแสดงให้เห็นเป็นแมวป่าสองตัวต่อสู้กันเพื่อการปกครองโลก ในไม่ช้าการต่อสู้ก็ขยายมากขึ้นไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างธรรมและอธรรม ก่อนวันพิพากษา ซึ่งเป็นระฆังบอกถึงความตายของพวกเขา




อะไรเกิดขึ้นหลังการทำลายล้าง? 
ในสงครามนิวเคลียร์ซึ่งเป็นสงครามล้างโลกจะตามมาด้วยความหายนะทางธรรมชาิติ มวลมนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทำลาย ดวงวิญญาณทั้งหมดคืนสู่พารามธรรม หลังจากที่ได้รับการลงโทษต่อบาปที่พวกเขาได้ทำไว้โดยผ่าน ธรรมราช (Dharamraj) คือผู้ชี้ขาดสูงสุด โลกไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง มันเปลี่ยนแปลงและดำเนินต่อไป หลังจากการทำลายล้างความชั่วร้ายแล้ว สวรรค์ก็จะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อดวงวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว นั่นคือ บราห์มินที่แท้จริงจะเป็นผู้ซึ่งจะกลับมาเกิดเป็นเทพของยุคทอง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหลายชั่วอายุ ณ เวลานี้เราอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล ส่วนใหญ่ของช่วงเวลานี้ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อย การทำลายโลกกิเลส คือ กลียุคก็เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้น ณ บัดนี้จงพยายามอย่างที่สุดที่จะกลับกลายมาเป็นเทพ เหมือนศรีลักษมีหรือศรีนารายัญ มิฉะนั้นมันก็จะสายเกินไป!



จากหนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK.เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ