Monday, April 29, 2013

ดวงวิญญาณสูงสุดแตกต่างจากดวงวิญญาณมนุษย์



ดวงวิญญาณสูงสุด แตกต่างจากดวงวิญญาณมนุษย์         
    ถ้ามนุษย์ทั้งหมดคือการปรากฎตัวที่แตกต่างกันในหลายรูปแบบของพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะอยู่เหนือการเกิด การตาย ความพอใจและความทุกข์ทรมานได้อย่างไร แล้วใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงและช่วยโลกในเวลาที่โลกมีกิเลสและไม่เป็นธรรมอย่างสูงสุดพระเ้จ้าจะเล่นบทบาทของผู้ให้คุณประโยชน์ต่อโลปและผู้ปลดปล่อยได้อย่างไร

                 ผู้คนมากมายเชื่อว่าผู้นำศาสนาของศาสนาต่างๆ เป็นผู้นำสารของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาจะนำสารเหล่านั้นมาจากไหนและนำมาจากใคร? ในการสวดอ้อนวอนของผู้บูชาที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่าเป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เพื่อขอให้ได้สติปัญญา ความสงบ ความสุข และความสบายที่สูงส่งจากท่าน ถ้าพระเจ้านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่งในรูปต่าง ๆ แล้วทำไมผู้คนจึงต้องเจ็บป่วย หรือทำไมเขาจะต้องสวดอ้อนวอนเพื่อให้พระเจ้าปลดปล่อยพวกเขาจากความเจ็บปวดและทรมานหรือร้องขอบุญจากท่าน

                 นี่แสดงว่าการคงอยู่ของท่านไม่แตกต่างจากดวงวิญญาณทั่วไป แต่เป็นเพราะความสับสนที่เกิดขึ้นโดยความคิดที่ผิด ๆ ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นเองที่ ซานยาสซี (ฤาษี หรือ สมณะ) จำนวนมากแม้แต่ "จักกัดกูรู" (Jagadgurus) ก็มีความขัดแย้งในตนเองโดยที่ตนเองก็บูชากราบไหว้ "ชีว่า ลิงก้า" (หินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าชีว่า) และขณะเดียวกันก็ท่องมนต์ "ชีโวฮัม" (แปลว่า ฉันคือพระเจ้า)

                 ถ้าตัวเขาเองเป็นปรากฏการณ์ของพระเจ้า แล้วเขาจะปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร? ความรู้ที่ถูกต้องจะสามารถทำให้คนเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง เพื่อที่ว่าเขาจะสามารถแยกแยะระหว่างความถูกและผิด ความดีและความเลว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้เขาเห็นว่าไม่มีความแตกต่างกันระหว่างความสูงส่้งกับความชั่วร้าย ความโง่กับความฉลาด และแม้แต่ดวงวิญญาณกับสสารที่ไม่มีความรู้สึกก็ไม่มีความแตกต่างกัน ความคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่อยู่ทุกหนทุกแห่งนี้ช่างไร้เหตุผลเสียนี่กระไร 

ความคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่มีใช่ความจริง
                  ผู้รู้และนักปราชญ์ในสมัยโบราณ หลังจากทำการค้นคว้าอย่างมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าที่แท้จริง ได้มีบทสรุปว่า มนุษย์ไม่สามารถรู้ความจริงเกี่ยวพระเจ้าด้วยความเพียรพยายามของตัวมนุษย์เองซึ่งหมายความว่าพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับตัวท่านเองให้มนุษย์รู้ ดังนั้นในการวิเคราะห์ครั้งสุดท้ายและเป็นที่สุดพวกเขาพูดว่า "เนติ เนติ" ("Neti Neti" แปลว่า ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งนี้) แล้วจะตัดสินว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร

                 ความคิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งก็ถูกพัฒนาเรื่อย ๆ มา ความคิดที่ผิดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผลจากการจินตนาการที่เพ้อฝันของมนุษย์ล้วน ๆ ซึ่งได้มีการพิสูจน์ว่ามันเกิดโทษอย่างสูงสุดต่อมนุษยชาติเมื่อมีความเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งว่าเป็นเรื่องจริง ก็มีผลต่อผู้ที่เชื่อ ว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น พวกเขาก็ทำความเพียรพยายามในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาและเข้าถึงท่าน บัดนี้ พระเจ้า พ่้อชีว่า ประกาศว่า"พ่อไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง" สิ่งซึ่งพระเจ้าชีว่าประกาศนี้จะเห็นชัดเจนในบทต่อไป คำตอบข้อคิดที่ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งมีดังตัวอย่างต่อไปนี้

ไม่ีมีควา่มเกี่ยวข้องระหว่างการหยั่งรู้และการอยู่ทุกหนทุกแห่ง
                  ข้อเสนอ: สิ่งที่มีรูปจำักัดก็มีขอบเขตจำักัด มีเพียงสิ่งที่ไม่มีขีดจำกัดสามารถรับรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด เมื่อพระเจ้ารู้ทุกสิ่งท่านก็ไม่มีขีดจำกัด เป็นผู้หยั่งรู้และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง 
                  คำตอบ: ขนาดของคนไม่ได้เป็นตัวกำหนดปริมาณความรู้ที่เขามีอยู่ ดวงวิญญาณสองดวงมีระดับของความรู้แตกต่างกัน แต่ขนาดของดวงวิญญาณทั้งสองเท่ากัน แม้แต่ดวงวิญญา๊๊ณมนุษย์ดวงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า มหาอาตมา หรือ มหาตมะ (ดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่) เกิดจากการกระทำที่สูงส่ง ไม่ใช่เพราะว่าขนาดที่ใหญ่กว่าดวงวิญญาณอื่น เช่นกัน พระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด (Param) เพราะว่าการกระทำที่สูงส่งของท่าน(การกระทำสามอย่างของพระเจ้า การสร้าง การบำรุุงรักษา และการทำลายล้าง)  ไม่ใช่เพราะการอยู่ทุกหนทุกแห่งของท่าน ถ้าพระเจ้าถูกจินตนาการว่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านนั้นก็จะต้องไม่มีการกระทำใด ๆ เพราะว่าไม่มีพื้นที่ว่างให้สิ่งที่อยู่ทุกหนทุกแห่งได้กระทำการใด ๆ ได้เช่นกัน หรือจะเอาความหมายอื่นที่สุดโด่งว่าท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งจะหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในโลกนั้นทำโดยพระเจ้าซึ่งได้อธิบายไว้แล้วว่าไม่สามารถเป็นจริงได้ เพราะว่าพระเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิด อีกอย่างหนึ่งผู้ที่รู้ว่าอะไรอยู่ในห้องก็ไม่จำเป็นต้องตัวใหญ่เท่าห้อง และไม่จำเป็นต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งในห้องนั้น

                   ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างการหยั่งรู้และการอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดวงวิญญาณใดก็ตามที่รู้สิ่งใดก็ตามจะต้องเข้าไปอยู่ทุกที่ที่มีความรู้นั้น ผู้ที่มีความรู้มากก็จะต้องเข้าไปอยู่ในทุกหนแห่งมากกว่าผู้ที่มีความรู้น้อย แต่สิ่งนี้ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ดวงวิญญาณก็ไม่ได้แทรกซึมไปในทุกหนทุกแห่งในร่างกายของตนเอง แต่อาศัยอยู่ระหว่างคิ้ว พ่อรู้จักลูก ๆ ของเขา และผู้กำำกับละครก็รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับบทบาทของตัวละครโดยไม่ต้องเข้าไปแทรกซึมอยู่กับพวกเขา

                  ดังนั้น พระเจ้า ชีว่า ก็รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเราลูก ๆ ในละครโลก ท่านรู้ทุกสิ่งในฐานะที่ท่านเป็นผู้รู้ทุกสิ่ง ด้วยการเข้าไปอยู่ในคนใดคนหนึ่ง สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะรู้แต่เพียงปัจจุบันเท่านั้น แต่จะไม่รู้อดีตและอนาคต พระเจ้าไม่เพียงแต่จะรู้ปัจจุบัน แต่ท่านรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับอดีตและอนาคตด้วย เพราะเหตุนั้นท่านจึงถูกเรียกว่า "ผู้ล่วงรู้กาลเวลาทั้งสาม" (Trikadashi) ท่านรู้ทุกสิ่ง ไม่ใช่เพราะท่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่เพราะการรู้แจ้งในฐานะของผู้กำกับสูงสุดของละครโลก 

                 ข้อเสนอ: ถ้าะพระเจ้าไม่อยู่ภายในมนุษย์ทั้งหมด ท่านก็จะไม่รู้ความคิดที่ดีและที่เลวของดวงวิญญา๊ณ และก็จะไม่สามารถลงโทษพวกเขาที่่ทำไม่ดีได้
                 คำตอบ: ก่อนอื่นมันไม่ถูกต้องที่จะพูดว่าพระเจ้าจะลงโทษผู้ที่ทำไม่ดีด้วยตัวท่านเอง ในความเป็นจริงมนุษย์ได้รับรางวัลจากการกระทำความดี และได้รับการลงโทษสำหรับการกระทำที่เลว โดยขบวนการที่เป็นอัตโนมัติของ กฎแห่งกรรม (การกระทำ) สิ่งนี้จะมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจนในบทที่ตามมา พระเจ้าให้ความรู้เรื่องกฎเหล่านั้นกับดวงวิญญาณมนุษย์
                ประการที่สอง ในการที่จะศึกษาความรู้เกี่ยวกับบางสิ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ในสิ่งนั้น ความคิดสามารถที่จะหยั่งรู้ได้โดยการส่งความคิด ผู้ที่สามารถรู้แจ้งไม่เคยที่จะเข้าไปอยู่ภายในวัตถุที่เขาเรียนรู้ เหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลก็สามารถที่จะส่งลงมาบนโลก ยาวอวกาศก็ถูกควบคุมและชี้เส้นทางจากพื้นดิน แล้วทำไมพระเจ้าจึงจะต้องอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อจะแสดงพลังและอำนาจของท่าน พระเจ้าเป็นผู้สร้างและเป็นผู้กำกับของละครโลกนี้ ดังนั้นท่านเป็นผู้ที่รอบรู้ ท่านรู้ทุกสิ่งเป็นการล่วงหน้า

                ข้อเสนอ: บางครั้งเราเรียนรู้จากพลังการหยั่งรู้ในบางเรื่องแล้วพลังในการหยั่งรู้ภายในไม่ใช่เสียงของพระเจ้าหรือ?
                คำตอบ: ถ้าพลังการหยั่งรู้้ภายในเป็นเสียงของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่ในร่างกาย ถ้าเป็นดังนั้นใครเป็นผู้่คิดที่จะทำตามหนทงที่ผิดเล่า อีกประการหนึ่ง เมื่อพระเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจโดยไม่มีประมาณ จะเป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่เสียงของท่านก็ถูกมองข้ามและมนุษย์ก็ยังแสดงการกระทำที่ผิดอีก ถ้าพระเจ้าอยู่ในร่างกายทำไมร่างกายจึงไ่ม่มีชีวิตเมื่อดวงวิญญาณจากไป ความจริงนั้นคือ ณ เวลาปัจจุบันของยุคเหล็ก ดวงวิญญาณมีทั้งแนวโน้มที่ดีและเลว นั้นคือ สันสการ์ อย่างเช่นความคิดที่ไม่ดีก็จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นตามมา ถ้ามีความคิดดีก็จะมีความรู้สึกที่ดี ความคิดที่ดีที่เข้าใจผิดกันว่าเป็นเสียงของพระเจ้า แท้จริงคือการปรากฎของสันสการ์ที่ดีบางอย่างของดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นทันทีทันใด

               พระเจ้าไม่ได้อยู่ในความคิดของมนุษย์ ในสัตว์หรือในสิ่งของ
               ข้อเสนอ: บางคนพูดว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน
               คำตอบ: พระเจ้ามีเพียงหนึ่ง ขณะที่หัวใจของมนุษย์จะมีมากมายเท่ากับจำนวนมนุษย์ในโลกที่พระเจ้าจะต้องมีสัมพันธ์ด้วย ในเวลาเดียวกัน ความแตกต่างระหว่างหัวใจและจิตเช่นที่ได้อธิบายมาแล้วในหัวข้อ "จิตใจ"  ควรจะจำไว้ว่าจิตใจเป็นขบวนการความคิดของดวงวิญญาณ และด้วยเหตุนี้เป็นจิตใจนั่นเองที่คิดถึงพระเจ้า การคิดถึงนั้นจะต้องสองสิ่งซึ่้งแยกกันเกิดขึ้นมาก่อน
               (1)ผู้คิดถึง (ดวงวิญญาณ)
               (2)ผู้ที่ถูกคิดถึง (พระเจ้า)
               ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงไม่ได้อยู่ในความคิดของมนุษย์ แต่เป็นความคิดถึงที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์

               ข้อเสนอ: มีการพูดว่าพระเจ้าอยู่ในสัตว์ทั้งมวล อยู่แม้แต่ในทุก ๆ อะตอมของสสาร
               คำตอบ: การที่คิดว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านแทรกซึมอยู่ในสัตว์ทุก ๆ เผ่าพันธ์ รวมทั้งสุนัข หมู ลา งู แมลงป่อง จิ้งจก ฯลฯ มันอาจจะขยายไปในขอบเขตที่มากกว่านี้ ที่ว่าท่านอยู่ในหิน กองขยะ ในความสกปรกและกากของเสีย แม้แต่มนุษย์เองก็หวาดกลัวเมื่อคิดว่าจะต้องกลับมาเกิดใหม่ในร่างของงูและจิ้งจก
               ทำนองเดียวกัน ถ้าพ่อทางร่างกายของมนุษย์คนใดถูกเรียกว่า หมา หมู หรือไอ้ลาโง่ เขาจะรู้สึกว่าถูกสบประมาท มันไม่ใช่ความโง่ที่สุดของมนุษย์หรือที่จะสบประมาทพ่อสูงสุดในรูปแบบนี้ สำหรับดวงวิญญา๊ณมนุษย์ก็ไม่เคยมีการพูดว่า ดวงวิญญาณนั้นอยู่ในก้อนหินและขยะ แล้วความคิดที่มีต่อพระเจ้าเช่นนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร พระเจ้านั้นต่ำถึงขนาดที่จะอยู่ในกากขยะที่ไร้ค่าที่สุดที่จะต้องนำไปทิ้งเพียงอย่างเดียวเชียวหรือ

               ข้อเสนอ: คัมภีร์มาหมายพูดว่าพระเจ้านั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง
               คำตอบ: คัมภีร์ต่าง ๆ นั้นน้อยมากที่จะเป็นเอกฉันท์ในประเด็นของความรู้บางอย่างเกี่ยวกับผู้สร้างของท่าน แม้แต่คัมภีร์ของศาสนา้เดียวกันก็ขัดแย้งในตัวเองอยู่บ่อย ๆ ดวงวิญญาณมนุษย์มากมายได้รับนิมิตของพระเจ้า พ่อชีว่า เป็นจุดแห่งแสงในโลกวิญญาณ(พารามธรรม) นี่เองที่ทำไมผู้บูชาร้องขอมองขึ้นไปเบื้องบนเมื่อสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า พวกเขาได้พูดว่าพระเจ้าได้ลงมายังโลกนี้เพื่อช่วยชีวิตมวลมนุษย์ และมาปลดปล่อยมนุษย์จากบ่วงพันธะั และพาดวงวิญญาณกลับไปยังที่อยู่ดั้งเดิม
               มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า เมื่อมนุษย์มีความปรารถนาที่จะได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงพันธะทางโลก ทำไมพระเจ้า พ่อชีว่า จะต้องเข้ามาพัวพันกับพวกมนุษย์ด้วยการกลายเป็นผู้อยู่ทุกหนทุกแห่งเล่า
               มีเพียงผู้ซึ่งตัวเองเป็นอิสระเท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้อื่นเป็นอิสระได้ พระเจ้า พ่อชีว่า ปลดปล่อยเราได้เพราะว่า ท่านเป็นผู้ที่มีอิสระเป็นนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกเรียกว่า "ซาดา-ชีว่า" (Sada-Shiva - ชีว่าผู้เป็นอมตะ) และเป็นผู้ปลดปล่อยผู้คนจากอำนาจชั่วร้าย ทำให้มวลมนุษย์ชาติหลุดพ้นจากภัย


จาก หนังสือ "ราชโยคะ ศาสตร์เพื่อการรู้แจ้ง"
BK. เรืออากาศเอกทรงยศ เปี่ยมใจ


No comments:

Post a Comment